วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๑๗



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            จอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าลานน้ำค้าง กำลังเปิดภาพดารา นักร้องหญิงชื่อดัง “มาตา” ดาวค้างฟ้าที่อยู่ในวงการมาเกือบยี่สิบปี หญิงสาวมองใบหน้านักร้องชื่อดังอย่างละเอียด ยอมรับว่ามาตาเป็นผู้หญิงสวยอย่างไม่น่าเชื่อ แม้วัยจะใกล้แตะเลขสี่รอมร่อ แต่ดูหน้าตาไม่น่าเกินยี่สิบห้า

            พอสังเกตละเอียดกว่าเดิม ก็สะดุด มีบางอย่างคุ้น เหมือนเคยเห็นดวงตาของมาตาจากที่ไหนมาก่อน

            ลานน้ำค้างยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีต่อภาพที่เห็นเมื่อตอนเย็น ยังดีที่บูรพาช่วยคลี่คลายความรู้สึกนั้นได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังสนใจเปิดหา ค้นข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับนักร้องสาวคนนี้...

            มือคลิกเข้าไปตรงประวัติอย่างละเอียด...ข้อมูลปรากฏรวดเร็ว

            มาตาเริ่มต้นชีวิตวงการบันเทิงด้วยการประกวดนางงามบนเวทีระดับประเทศ หลังจากได้ตำแหน่งเธอโลดแล่น ในวงการบันเทิงเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ พอพ้นตำแหน่งเธอก็แต่งงานกับแพทย์หนุ่มไฮโซ ร่ำรวย ตระกูลดัง ลือกันว่าเป็นการท้องก่อนแต่งด้วยซ้ำ

            หลังคลอดลูกชายไม่กี่ปี เธอก็หย่าขาดกับสามีนายแพทย์ และกลับเข้าวงการบันเทิง โดยทิ้งลูกชายให้อยู่ในความดูแลของสามี

            ผลงานชิ้นต่อมาของมาตาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ยิ่งผันตัวมาเป็นนักร้องค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ก็ยิ่งส่งชื่อเสียงโด่งดัง เพลงติดหูคนฟัง ความสามารถด้านการร้องเพลงเข้าถึงจิตใจแฟนเพลง

            หลายปีผ่านไป มาตากลายเป็นคนคุณภาพในวงการบันเทิง คือดาวค้างฟ้าที่เต็มไปด้วยความสามารถ ชื่อเสียงที่เธอได้มา ไม่ใช่เพราะโชคช่วย

            ลานน้ำค้างเลือกดูรายละเอียด เกี่ยวกับประวัติครอบครัวของมาตาอีกที พยายามหาภาพอดีตสามี และลูกชายของเธอให้เจอ

            แล้วความพยายามก็เป็นผล เมื่อปรากฏภาพและชื่อของสามีกับลูกชายของมาตาออกมา เป็นภาพครอบครัวภาพเดียวที่คนทำเว็บไซด์สามารถค้นหามาจนได้

            ลานน้ำค้างมองภาพนายแพทย์ไฮโซ สามีของมาตา ไล่ลงมาจนถึงรูปเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้ม สวยราวกับเด็กผู้หญิง ข้างใต้ภาพมีชื่อเด่นชัด...

               ...นายแพทย์นภัทร และเด็กชายโดม...

            ถึงตอนนี้ลานน้ำค้างคงไม่สงสัยแล้วว่า ทำไมถึงรู้สึกสะดุดกับดวงตาของมาตา...ที่จริงไม่ใช่แค่ความสะดุดตา แต่เป็นความคุ้นตา...คุ้นตากับใบหน้า จมูก ปาก คิ้วคาง ที่ละม้ายมาตาอย่างยิ่ง

            หน้าตาเช่นนี้ ถูกจำลองมาอยู่บนใบหน้าเด็กหนุ่มคนคุ้นเคย...โดม...

            ไม่อยากคิดเลยว่า เด็กหนุ่มหน้าสวย ปอน ๆ ไม่มีแม้ที่ซุกหัวนอนจะกลายเป็นลูกชายนักร้องดัง ทายาทนายแพทย์ไฮโซตระกูลดังคนหนึ่งของประเทศ

            ดูไปแล้วชักเหมือนนิยายน้ำเน่า ประเภทเจ้าชายปลอมตัวหารักแท้ แต่เท่าที่เห็นโดมไม่ได้แกล้งทำตัวจน สีหน้าแววตาเขาจริงจัง ไม่มีร่องรอยล้อเล่น

            ลานน้ำค้างถอนใจ จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ตั้งใจค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับนายแพทย์นภัทร พ่อของโดม ดูสักหน่อย เขาเป็นคนตระกูลดัง น่าจะหาข้อมูลจากอินเตอร์เนตได้ไม่ยากนัก

            หญิงสาวยอมรับกับตนเอง หากคืนนี้ไม่สามารถสะสางปัญหาคาใจ รับรองคงนอนไม่หลับแน่

 

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -

 


            โดมมองดูนาฬิกา เห็นเวลาค่อนข้างดึก ปกติไม่ควรโทรหาใคร แต่คืนนี้เขามีเรื่องน่ายินดี อยากบอกกับบางคนจนทนไม่ไหว ไม่ว่าอย่างไรต้องโทรไปหาให้ได้

            สัญญาณเรียกดังเพียงสองครั้งก็มีคนรับสาย

            “สวัสดีค่ะ” เสียงของลานน้ำค้าง

            “ผมโดมนะ”

            ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ฝ่ายโทรมาหารู้สึกผิด จนต้องรีบพูดต่อ

            “ขอโทษที่โทรมาตอนดึก พอดีผมมีเรื่องอยากบอก”

            “จ้ะ...ว่ายังไงโดม...ไม่ดึกหรอก พี่ยังไม่ได้เข้านอน” หญิงสาวรีบตอบ น้ำเสียงแจ่มใสมีรอยบางอย่างเปลี่ยนไป

            “คือพรุ่งนี้ผมจะได้ไปเซ็นสัญญาแล้ว” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยินดีแบบปิดไม่มิด

            “จริงเหรอ” หญิงสาวดีใจตาม “พี่ดีใจด้วยนะ จะได้เป็นนักร้องดังแล้ว”

            “ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” คำพูดถ่อมตัวจากใจจริง “ผมคงต้องฝึกฝน เรียนรู้ ทำอะไรอีกเยอะเลย”

            “พี่ก็เห็นโดมเป็นมืออาชีพแล้วนะ ทั้งในร้านอาหาร สวนสาธารณะ โดมสะกดคนฟังได้ ฝีมือระดับนี้ ค่ายเพลงไหนไม่สนใจก็แย่เต็มที”

            “ถ้าจะออกอัลบั้ม ผมต้องเป็นมืออาชีพกว่านี้เยอะ” น้ำเสียงโดมมีรอยยิ้ม “ที่ผมโทรมาบอก ก็มีเรื่องอยากชวน... คืนพรุ่งนี้ว่างมั้ย”

            “มีอะไรเหรอ”

            “ผมจะเล่นดนตรีที่ร้านเป็นคืนสุดท้าย อยากให้ไปฟัง ชวนพี่บูไปด้วยก็ได้”

            “อ๋อ...อย่างนั้นก็ได้” หญิงสาวไม่อิดเอื้อน

            ฝ่ายตรงข้ามเงียบไป ไม่คิดจะได้ยินคำตอบรับรวดเร็วขนาดนี้ ความยินดีแล่นพล่าน อยากกระโดดสุดตัว หัวเราะให้เต็มเสียง คำสุดท้ายที่หลุดมาก็คือ...

            “ขอบคุณครับ”

            โดมวางหูโทรศัพท์ลงด้วยความยินดีล้นหัวอก รอยยิ้มที่ไม่ค่อยมีบ่อยนักก็ผลิบานสุกสว่างเต็มดวงหน้า มองผนังห้องแคบรอบตัวเหมือนเป็นสวนดอกไม้ ใจกระโดดโลดเต้นร่าเริง มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

            ยามที่ยินดี จิตใจเบิกบานเช่นนี้ มองอะไรดูดีไปหมด เห็นข้าวของที่แม่ใช้อุบายซื้อให้วางกองอยู่ปลายเตียง ก็อดยิ้มไม่ได้ ความขัดเคืองด้วยทิฐิหายไปไหนไม่รู้ กระทั่งบัตรเครดิตที่วางบนหัวเตียง ตั้งใจจะไม่หยิบใช้ ไม่แตะต้อง ไม่ยอมเหลือบแล ก็เห็นมันน่ารักผิดหูผิดตา

            ชั่วขณะนั้น สัมผัสได้ถึงความรักของแม่ รู้สึกถึงกระแสธารอันอบอุ่นหลั่งไหลมาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเงื่อนไข

            แม่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาเลย มีแต่อยากจะให้เพียงอย่างเดียว...ให้ทั้ง ๆ ที่เขาแสดงท่าทีหมางเมิน มีทิฐิเข้าใส่ตลอด แม่ก็ไม่เคยท้อที่จะทำดีกับเขา

            นั่นเพราะความรักใช่ไหม?

            โดมเข้าใจความรักของแม่ เมื่อตอนที่รู้สึกว่าหัวใจตนเองกำลังมีความรัก...รักอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน... รักโดยไม่ต้องการอะไรจากฝ่ายตรงข้ามมากมาย มีความสุขแค่ได้ยินเสียงของเธอ อยากกระโดดโลดเต้นเหมือนคนบ้า เมื่อเธอตอบรับง่าย ๆ ว่าจะไปดูเขาเล่นดนตรีที่ร้านเป็นคืนสุดท้าย

            ...เขารักเธอ....ลานน้ำค้าง...

            เมื่อโดมเห็นหัวใจตัวเอง เขาก็เห็นหัวใจของแม่...พอเห็นความรักของตนเอง ก็เข้าใจความรักของแม่...

            อย่างนี้เอง...ที่แม่พูดไว้...

            “ถ้าลูกเคยรักใครสักคน ลูกจะเข้าใจความรู้สึกของแม่”

            โดมมองดูนาฬิกา...ยังไม่ถึงเที่ยงคืน เขากดโทรศัพท์ไปยังเบอร์ ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเบอร์ส่วนตัวของนักร้องดัง ‘มาตา’ เบอร์นี้ให้ไว้สำหรับคนพิเศษ สามารถโทรหาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ว่าจะมีธุระอะไร

            โดมไม่เคยเป็นฝ่ายโทรไปที่เบอร์นี้ก่อนเลยสักครั้ง...นี่เป็นครั้งแรก


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            แม่รับสายแทบจะทันที

            “โดม...มีอะไรหรือเปล่าลูก” ความห่วงกังวลเจืออยู่ในน้ำเสียง ลูกชายไม่เคยเป็นฝ่ายโทรมาหาก่อนเลยสักครั้ง ถ้าโทรมาเช่นนี้ หวั่นจะเกิดเรื่องร้าย

            “สุขสันต์วันเกิดครับแม่

            โดมพูดด้วยเสียงอบอุ่นอ่อนโยนที่สุด เท่าที่เขาเคยพูดกับใคร ๆ ความรัก ความจริงใจหลั่งไหลออกมาจนผู้ฟังสัมผัส รู้สึกได้

            คนเป็นแม่นิ่งอั้น พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ...โดมยิ้มให้กับโทรศัพท์ ก่อนพูดต่ออีกประโยค

            “ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ...ผมรู้แล้วว่าแม่รักผมมากแค่ไหน”

            “โดม...” แม่พูดได้เพียงเท่านี้ ก็ไม่สามารถเปล่งวาจาอื่นออกมาได้ มีแต่เสียงสะอึกสะอื้นมาตามสาย...น้ำตา ความตื้นตันหลั่งไหลไม่ขาดสาย

            โดมอยากพูดต่ออีกประโยค แต่กลัวแม่จะร้องไห้มากกว่าเดิม จึงพูดสั้น ๆ ก่อนวางหู

            “ผมมีความสุขมากจริง ๆ เลยอยากบอกให้แม่รู้...ราตรีสวัสดิ์ครับแม่”

               ทันทีที่วางสาย เด็กหนุ่มรู้สึกวูบในอก ใจหายวาบโดยไม่มีสาเหตุ...

               จู่ ๆ ความยินดี ความสุขก็สูญหายฉับพลัน โดยไร้เหตุผล...







บทที่๑๑



            “หมดวันฝึกงานแล้วหรือนี่ เร็วจังเลยน้องลาน” พี่มุกเอ่ยขึ้นหลังจากลานน้ำค้างช่วยเคลียร์งานต่าง ๆเรียบร้อย

            มันเป็นคำที่คุณเลขาพูดไม่ต่ำกว่าสามรอบในวันนี้ ทั้งที่รู้ล่วงหน้าเป็นสัปดาห์แล้ว

            “เร็วสิคะ อีกปีเดียวลานก็จะเรียนจบแล้วด้วย” หญิงสาวบอก

            “ปีสุดท้ายแล้ว ไม่ใจหายบ้างเหรอ” พี่มุกถาม

            “ไม่หรอกค่ะ ดีใจด้วยซ้ำ จะได้ออกมาทำงานเลี้ยงแม่สักที”

            “แหม เป็นลูกกตัญญูจังเลย” พี่มุกชม แล้วตั้งคำถาม “แล้วจะมาสมัครงานที่นี่มั้ยเอ่ย”

            “ถ้าที่นี่เปิดรับ ก็มาอยู่แล้วค่ะ” ลานน้ำค้างยิ้มใส “ทำงานที่นี่ดีจะตาย ลานคุ้นเคยกับคนที่นี่แล้วด้วย”

            “น่าเสียดายจัง ช่วงนี้คุณหญิงท่านยุ่งเรื่องลูกสาว ไม่งั้นพี่จะเสนอให้ท่านจัดเลี้ยงส่งน้องลานซะเลย”

            “โอ๊ย ไม่เอาละค่ะพี่มุก เกรงใจท่านแย่ แค่ท่านอนุญาตให้มาฝึกงานที่นี่ได้ก็ดีมากแล้ว...ลานได้ประสบการณ์ดี ๆ จากที่นี่เยอะเชียว”

            “งั้นพี่เลี้ยงส่งน้องลานเองดีกว่า ในฐานะที่มาช่วยแบ่งเบาภาระให้พี่ตั้งเยอะ”

            “อุ๊ย ไม่ต้องค่ะพี่มุก... ลานเกรงใจ”

            “ไม่ได้ ไม่ได้พี่ไม่ยอมหรอก เอาอย่างนี้...เย็นนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

            “แล้วไม่ต้องกลับไปดูลูกหรือคะ” ลานน้ำค้างหาทางเลี่ยง กึ่งเกรงใจ

            “ไม่เป็นไร วันนี้พ่อมันกลับบ้านเร็ว พี่จะโทรไปย้ำอีกที วันนี้ขอเป็นสาวโสดสักวัน”

            ลานน้ำค้างยิ้มแหย พูดอะไรไม่ออก แต่วันนี้หล่อนกับบูรพามีนัดไปดูโดมเล่นดนตรีที่ร้านอาหารเป็นคืนสุดท้ายเสียแล้ว

            “เอ่อ...” หญิงสาวพยายามหาทางประนีประนอมสองด้าน “เออ...จริงสิ เอาอย่างนี้มั้ยคะ พอดีลานมีนัดไปทานข้าวกับเพื่อนอยู่แล้ว...พี่มุกไปกินด้วยกันเลยดีมั้ยคะ”

            “เอ๋...” พี่มุกยิ้ม รู้ทัน “ใช่เพื่อนรูปหล่อที่มารับวันก่อนหรือเปล่า...ถ้าตั้งใจไปสวีทกันสองคน พี่ก็ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอหรอกจ้ะ”

            ลานน้ำค้างหัวเราะ คร้านจะแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น

            “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะพี่มุก...คือมีเด็กรุ่นน้องคนนึง เขาทำงานเล่นดนตรีในร้านอาหาร ตอนนี้ได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องแล้ว เลยจะเล่นดนตรีส่งท้ายให้กับทางร้าน แล้วมาชวนลานกับเพื่อนไปดู พี่มุกไปด้วยกันสิคะ หลายคนสนุกดีออก”

            “ไปที่ไหนสนุกดีหรือครับ!”

            เสียงดังจากเบื้องหลัง สองสาวมัวแต่คุยไม่ทันรู้ตัว พอหันกลับไปดูต้นเสียง แทบปรับสีหน้า อารมณ์ไม่ทัน

            “สวัสดีค่ะคุณเลียบเมือง มาหาคุณหญิงหรือคะ” มุกดาคล่องแคล่วว่องไวเสมอกับสถานการณ์เช่นนี้

            เลียบเมืองยืนยิ้ม สีหน้าอารมณ์ดี ร่างสูงเด่น แม้แต่งกายง่าย ก็ยังดูมีรสนิยม เขามาพร้อมสาวสวยอีกคน ซึ่งลานน้ำค้างได้พบเป็นครั้งที่สอง หญิงสาวคนนั้นเปิดรอยยิ้มให้ลานน้ำค้างกับมุกดาอย่างมีไมตรี คุ้นเคยต่อมารยาทสังคม

            “สวัสดีค่ะคุณเกรซ แหมวันนี้มาพร้อมกันเลย” มุกดาทักทายกันเองกึ่งทางการ

            ลานน้ำค้างยกมือไหว้คนทั้งสองโดยไม่ได้พูดจาอะไร นึกเพียงอย่างเดียว คืออยากให้มีงานด่วนอะไรก็ได้ มาเรียกตัวให้หล่อนหลบจากห้องนี้

            “ตะกี้คุยกัน จะไปเที่ยวที่ไหนหรือครับ” เลียบเมืองยังสนใจประเด็นเดิมอยู่

            “อ้อ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนค่ะ จะพาน้องลานไปเลี้ยงส่งน่ะ วันนี้เขาฝึกงานเป็นวันสุดท้าย”

            “น้องลาน” ชื่อนี้สะดุดหูเลียบเมือง “คุณชื่อลานหรือครับ”

            “ลานน้ำค้างค่ะ” หญิงสาวตอบกึ่งกระดาก เจอกันสองสามครั้งแล้ว เลียบเมืองยังไม่เคยรู้จักชื่อหล่อนสักที เรียกแต่ “คุณผู้ช่วยเลขา”

            “ชื่อเพราะจังเลยค่ะ” เกรซเอ่ยขึ้น “ฟังแล้วคิดถึงบรรยากาศตอนเช้า ๆ ที่มีน้ำค้างพรมเต็มสนามหญ้า...”
    
            ลานน้ำค้างฟังแล้วเห็นภาพตาม เพิ่งรู้ว่าชื่อตนสามารถก่อให้เกิดมโนภาพเช่นนั้น

            เลียบเมืองฟังแล้วสะดุดหู นึกถึงชื่อ ‘พี่ลาน’ ที่ปันปันร่ำร้องเรียกหาในโรงพยาบาล ไม่คิดว่าในบริษัทก็มีคนชื่อแบบเดียวกัน

            “น้องลานแกเป็นนักศึกษาฝึกงาน ทำงานวันนี้เป็นวันสุดท้าย มุกตั้งใจจะพาน้องเขาไปเลี้ยงส่งค่ะ” มุกดาอธิบายเพิ่มเติม

            “จะไปกันที่ไหนครับ” เลียบเมืองถามตามมารยาทมากกว่าอยากรู้จริง หากใจยังคากับชื่อ “พี่ลาน” อดคิดไม่ได้ว่าจะเป็นคนเดียวกับที่ปันปันอยากเจอหรือไม่

            “ไปที่ไหนจ๊ะน้องลาน” มุกดาหันมาถาม

            “ที่ร้าน...” หญิงสาวบอกชื่อร้านตามจริง

            “อ๋อ” เกรซอุทาน “ร้านที่เรานัดเจอกับเพื่อน ๆ คืนนี้นี่เลียบ”

            “ใช่” เลียบเมืองตอบรับ “ร้านเขาบรรยากาศดี นักดนตรีก็เก่ง...”

            ชายหนุ่มพูดเรื่อย ๆ พยายามหาวิธีถามผู้ช่วยเลขาอย่างอ้อม ๆ เรื่องเกี่ยวกับปันปันและโรงพยาบาล...เขาเริ่มสงสัยก็จริง แต่ไม่มีความแน่ใจพอจะถามตรง ๆ

            ระหว่างที่เลียบเมืองกำลังจะชวนลานน้ำค้างคุย เพื่อดึงเข้าสู่ปัญหา ข้อสงสัย คุณหญิงรัดเกล้าก็เปิดประตูห้องทำงานออกมาทันที

            “อ้าว เลียบมาแล้วหรือ?” คุณหญิงพูดพลางเห็นหญิงสาวที่ยืนข้างลูกชาย “หนูเกรซก็มาด้วยหรือจ๊ะ เข้ามาสิ แหมดีจังจะได้คุยกับเจ้าตัวเลย”

            สองหนุ่มสาวเข้าไปในห้องประธานกรรมการเรียบร้อย มุกดาหันมาคุยกับลานน้ำค้างอย่างชื่นชม

            “แหม ดูสมกันจังเลยนะคู่นี้”

            “ค่ะ” ลานน้ำค้างตอบรับ พลางถามข้อสงสัย “เอ่อ...แล้ววันนี้คุณหญิงท่านให้คุณสองคนมาพบเรื่องอะไร หรือคะ”

            “อ๋อ” มุกดารู้รายละเอียด “คุณหญิงท่านเป็นกรรมการจัดงานเดินแบบการกุศล หารายได้ช่วยผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ห่างไกลเมืองน่ะ ท่านคงอยากให้คุณเกรซมาร่วมงานเดินแบบครั้งนี้ด้วย”
  
            ลานน้ำค้างพยักหน้ารับฟังเข้าใจ พี่มุกคงรู้สึกยังเล่าไม่จุใจ จึงให้ข้อมูลเพิ่มเติม

            “ปกติคุณเกรซเธอเลือกรับงานจะตาย ไม่ออกงานพร่ำเพรื่อหรอก แหมก็เธอทั้งสวย การศึกษาสูง ฐานะดี ชาติตระกูลดีอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเลียบเมือง เธออาจไม่มาก็ได้”

            ลานน้ำค้างแอบกลืนน้ำลาย คิดไม่ถึงจะมีผู้หญิงที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอย่างนี้ในโลก นึกเปรียบเทียบกับตนเองแล้วชวนหดหู่ใจ...สงสัยทำบุญมาต่างกันมากเกินไป...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมื่อเสร็จจากเคลียร์งานเรียบร้อย ลานน้ำค้างเข้าไปลาคุณหญิงรัดเกล้าในห้องทำงาน

            “ครบกำหนดฝึกงานแล้วหรือ? ตายจริง ฉันแทบลืมไปเลย” คุณหญิงพูดกันเอง มีระยะห่างระหว่างเจ้านายลูกน้องเพียงเล็กน้อย

            “ค่ะ ลานตั้งใจเข้ามาขอบคุณ แล้วก็มาลาคุณหญิงที่เมตตากับลานมาตลอดช่วงเวลาฝึกงานนี้” หญิงสาวยกมือไหว้

            “ฉันก็ดีใจนะ ที่ได้หนูมาทำงานด้วย นี่ต้องกลับไปเรียนอีกปีใช่มั้ย”

            “ค่ะ”

            “รีบเรียนให้จบเร็ว ๆ นะ” คุณหญิงพูดแค่นั้น ไม่มีการพูดจาให้ความหวัง แต่รอยยิ้มที่มี ทำให้ผู้รับรู้สึกอบอุ่นใจ สัมผัสถึงความปรารถนาดี

            การสนทนาดำเนินต่ออีกเล็กน้อย คุณหญิงพูดจาแนะนำกึ่งชวนคุยแบบคนคุ้นเคย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ถามถึงโครงการอนาคตหลังเรียนจบ ครู่ใหญ่การสนทนาจึงจบลง

            ลานน้ำค้างยกมือไหว้ เตรียมตัวออกจากห้อง แต่แล้วใจกลับหายวูบแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นอาการใจหายรุนแรงชนิดไม่เคยเกิดมาก่อน

            ชั่ววูบหนึ่ง หล่อนมองเห็นภาพคุณหญิงเลือนหายวับต่อหน้าในชั่วเสี้ยววินาที

            หญิงสาวเบิกตากว้าง พูดอะไรไม่ออก ตอบไม่ถูกว่าเหตุใดถึงเศร้าใจขนาดนี้ ปรากฏการณ์เมื่อครู่เสมือนลางบอกเหตุ ที่หล่อนยังไม่กระจ่างแก่ใจ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP