วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๑๖



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๐



            ใบหน้าโดมค่อนข้างบึ้งปนอึดอัด สายตาผู้คนในซูเปอร์มาร์เกตกำลังจ้องมองมายังเขา และหญิงสาวที่เดินนำหน้า สายตาที่เหลือบดู เหลียวมอง ล้วนมีความหมายในทิศทางเดียวกัน เป็นความหมายที่เขากระอักกระอ่วนใจยิ่ง

            หญิงสาวที่เดินนำหน้าหยิบของใส่รถเข็นโดยไม่แคร์สายตาใครนั้น ยังดู ‘สาว’ มาก ในสายตาคนทั่วไป ยังสาวและสวย อีกทั้งเป็นคนดัง ดารา นักร้องหญิงระดับแนวหน้าของประเทศ

            เขาไม่เคยคิดอยากมาเดินช้อปปิ้ง ซื้อข้าวของกับหญิงสาวคนนี้เลย แต่ไม่สามารถขัดคำขอร้องของเธอได้

            วันนี้วันเกิดแม่ ขอเวลาให้แม่สักวันไม่ได้หรือจ๊ะโดม

            ใครจะคิดว่า “มาตา” นักร้องสาวผู้โด่งดัง จะมีลูกชายโตเป็นหนุ่ม แถมยังหล่อขนาดนี้!

            ที่จริงมันไม่ใช่ความลับอะไร หากใครค้นประวัตินักร้องสาวคนนี้ จะพบว่า เธอเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ!

            หลังจากได้ตำแหน่งนางงามเพียงปีเดียว เธอก็วิวาห์สายฟ้าแลบ แต่งงาน มีลูกไม่กี่ปีก็หย่าขาดกับสามี หันหน้ามารับงานวงการบันเทิง อาศัยชื่อเสียง ดีกรีนางงาม ประกอบกับรูปร่างหน้าตายังดูสดสะพรั่ง เริ่มงานถ่ายแบบ เดินแบบ แสดงภาพยนตร์ ละคร จนก้าวมาเป็นนักร้อง

            ชื่อเสียงของเธอมาพร้อมกับข่าวคาวในวงการบันเทิง ทั้งเรื่องการคบหาดูใจกับพระเอก นายแบบ ผู้กำกับหลายคน ตกเป็นข่าวมือที่สาม ทำให้คู่รักวงการบันเทิงกลายเป็นคู่ร้าง แต่ยิ่งมีข่าวด้านลบมากเท่าไหร่ ชื่อเสียงของเธอยิ่งไม่เลือนหายไปจากความทรงจำผู้คนมากเท่านั้น

            เมื่อได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ที่มีความสามารถดูแลศิลปินในสังกัดเป็นอย่างดี อีกทั้งหาแนวเพลงที่ถูกกับความสามารถของเธอ ทำให้มาตากลายเป็นนักร้องคุณภาพ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถสะกดผู้ฟัง แฟนคลับให้ติดตามอย่างเหนียวแน่น

            นานวันผ่านไป ชื่อของมาตาเหมือนดาวค้างฟ้า จรัสแสงอยู่บนฟากฟ้าบันเทิงไทย โดยชีวิตส่วนตัวยังครองความเป็นโสด แม่ม่ายเนื้อหอมที่หนุ่ม ๆ ใฝ่ฝัน แม้จะมีข่าวล่าสุดว่าเธอเป็นคู่รักกับหนุ่มใหญ่ไฮโซ เจ้าของกิจการนับร้อยล้าน แต่ก็ไม่ได้รับคำยืนยันจากปากเจ้าตัวจนแล้วจนรอด

            มาตาไม่เคยคิดปกปิดฐานะความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกกับโดม เพราะคนที่ติดตามข่าว แฟนคลับมาตาย่อมรู้ว่าเธอมีบุตรแล้ว คนที่ต้องการปกปิดฐานะนี้คือพ่อโดม อดีตสามีเธอเอง!

            พ่อของโดมพยายามตีกรอบ ป้องกันลูกชายอย่างสุดความสามารถ ไม่ยอมให้นักข่าวคนไหนได้ภาพโดมไปขาย ไม่ยอมแม้กระทั่งให้พูดถึงมาตาในบ้าน

            เรื่องที่มาตาเคยแต่งงานมีลูก จึงค่อย ๆ เลือนไปจากความทรงจำผู้คนทั่วไป แต่ไม่มีวันเลือนไปจากความรู้สึกทุกคนในครอบครัว

            แม่ติดต่อโดมสม่ำเสมอ เคยรับไปนอนค้างที่บ้านสมัยเป็นเด็กบ่อย ๆ โดยพ่อไม่สามารถคัดค้าน เพราะถ้าทำเช่นนั้น แม่จะฟ้องร้องขอเลี้ยงดูเขาเอง ซึ่งฐานะแม่ก็มั่นคงพอที่พ่อจะกลัว หากมีการขึ้นศาลกันจริง ๆ

            โดมรู้ว่าแม่รักเขามาก แต่ไม่พร้อมเลี้ยงดูเขาเต็มที่ ความเป็นดารา นักร้องที่ต้องออกหน้าออกตา มีงานเต็มมือ มีสังคมส่วนตัว

            ยิ่งตอนนี้ แม่มีแววจะลงเอยกับผู้ชายคนปัจจุบัน คงไม่สะดวก หากให้เขาร่วมชายคา แต่ด้วยความรัก ทำให้คอยเป็นห่วงเป็นใย ติดตามช่วยเหลือตลอดเวลา เขาเองที่เป็นคนปฏิเสธความหวังดีเหล่านั้น

            ตอนแรกที่รู้ว่าโดมหนีออกจากบ้าน แม่เคยบอกให้เขากลับไปอยู่กับพ่อ แต่เขาปฏิเสธ โดยมีเหตุผลที่แม่เถียงไม่ออก

            แม่ยังอยู่กับพ่อไม่ได้เลย แล้วคิดว่าผมจะอยู่กับเขาได้เหรอ

            พอแม่ชวนอยู่ด้วย โดมก็มีเงื่อนไขที่แม่ทำไม่ได้

            ผมจะอยู่กับแม่ ถ้าแม่จะไม่ให้ผู้ชายคนนั้นเข้าบ้าน!”

            โดมรู้ว่าแม่ทำไม่ได้ แต่เขาก็กระอักกระอ่วนใจ หากต้องอยู่บ้านแม่ ร่วมกับสามีคนใหม่ของเธอ

            แม่ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ โดมก็พูดความรู้สึกในใจตรงไปตรงมา

            แม่ก็ไม่ต่างกับพ่อหรอก ผมอยู่บ้านนั้นไม่ได้ยังไง ผมก็อยู่บ้านแม่ไม่ได้อย่างนั้น!”

            แม่เสนออีกทางเลือก คือจะซื้อคอนโดฯให้อยู่คนเดียว ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เขาอยากเรียน โดมก็ปฏิเสธอีก แถมยังจงใจไปเช่าห้องราคาถูก ทำงานร้องเพลงตามร้านอาหาร เล่นดนตรีเปิดหมวกตามสวนสาธารณะ ไม่สนใจเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ยอมให้มารดายื่นมือมาเกี่ยวข้องเรื่องส่วนตัว

            ผมอยู่อย่างนี้สบายดีแล้ว ถ้าแม่มาวุ่นวายกับผมมาก ผมจะไปอยู่ที่อื่น แล้วแม่จะไม่เจอตัวผมอีกเลย

            คำพูดนี้ทำให้แม่ต้องยืนมองห่าง ๆ นานทีถึงจะได้ยื่นมือช่วยเหลือสักครั้ง โดมแสดงให้เห็นว่า เขาโตพอที่จะรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว

            ...เมื่อกล้าหนีออกจากบ้าน ก็ต้องกล้าเผชิญความลำบากนอกบ้านด้วย...



            วันเกิดทั้งทีแม่กลับพามาซื้อของในซูเปอร์มาร์เกต ข้าวของที่ซื้อมีแต่อาหารแห้ง ข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับแม่ แต่ดูแม่มีความสุข บางครั้งยังหันมาถามเขาว่าซื้อของชิ้นนั้นชิ้นนี้ใช้ดีไหม

            โดมคอยพยักหน้าแกน ๆ อึดอัดกับสายตาผู้คนเป็นระยะ

            ออกจากซูเปอร์มาร์เกต โดมหิ้วถุงข้าวของตามแม่ไปที่ลานจอดรถ ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของแม่ดังขึ้น

            “ค่ะ...ตาเอง” แม่รับสายเสียงหวาน โดมไม่อยากสนใจ แต่เสียงแม่ชัดเจนในหู

            “ตอนนี้อยู่ลานจอดรถ...ไม่ลืมนัดคุณหรอกค่ะ ไปช้าหน่อยก็อย่าว่ากันสิ” พูดกึ่งอ้อนกึ่งล้อเลียน ไม่ผิดกับสาวน้อยคุยกับแฟนหนุ่ม โดมเกิดโทสะขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ

            หลังจากแม่วางหู เด็กหนุ่มพูดลอย ๆ

            “ถ้าแม่มีนัด ก็ไม่น่าชวนผมมาซื้อของเลยนี่”

            แม่หันมายิ้มสวย ถ้าไม่ติดว่าอยู่กลางลานจอดรถ คงเข้ามากอด และหอมแก้มเขาอย่างเคยทำประจำ

            “อย่างอนเลยน่า โดมจ๋า...วันเกิดแม่ทั้งที ยิ้มสวย ๆ เป็นของขวัญให้แม่หน่อยไม่ได้เหรอ”

            พูดอย่างนั้น ใบหน้าเด็กหนุ่มยิ่งบึ้งตึงกว่าเดิม

            “เปิดท้ายรถสิครับ ผมจะได้เอาของเก็บให้” เสียงเขาไม่ห้วนเช่นเคย

            “ไม่ต้องหรอกจ้ะ เอาขึ้นมาบนรถเลย เดี๋ยวแม่จะไปส่งโดม”

            “แม่ไม่ต้องไปส่งหรอก ผมกลับเองได้” เด็กหนุ่มเสียงแข็ง

            คนเป็นแม่ยังยิ้มหวาน รู้ใจลูกชาย

            “ยังไงก็ไม่ยอมให้แม่รู้จักบ้านใช่มั้ย”

            โดมเงียบ ไม่ตอบ แม่จึงเดินเข้ามาใกล้ แล้วหยิบบัตรเครดิตยัดใส่กระเป๋าเสื้อลูกชาย

            “แม่” เด็กหนุ่มพูดเสียงแข็ง รีบวางถุงของลงกับพื้น กำลังจะล้วงมือหยิบบัตรเครดิตคืน แต่แม่ขัดขึ้นก่อน

            ยอมรับของจากแม่บ้าง เป็นของขวัญวันเกิดให้แม่ ได้มั้ยโดม

            โดมชะงักมือ สบตามารดาที่อยู่หลังแว่นกรอบหนาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

            “แม่เป็นห่วงโดมนะลูก ไม่อยากเห็นลำบากแบบนี้” เสียงแม่เกือบอ้อนวอน

            “ผมไม่ได้ลำบากอะไร...” เขาพูดกึ่งเถียง

            “ถ้าลูกเคยรักใครสักคน แล้วลูกจะเข้าใจความรู้สึกของแม่” คำพูดอ่อนโยนนักหนา มีความจริงใจชัดเจน

            มือที่กำลังจะล้วงกระเป๋าเสื้อกลับตกผล็อยลงข้างตัว เรี่ยวแรงหายไปเฉย ๆ

            “ผมไม่เป็นไรหรอก...” เขาพูดเสียงอ่อน

            แม่เดินเข้ามาใกล้อีกนิด เงยหน้ามองลูกชายด้วยดวงตาเปี่ยมความรัก ยกมือลูบแก้มเบา ๆ สัมผัสบอกชัด มันคือความรักที่แม่ไม่เคยปิดบังหัวใจตัวเอง

            “โดมรู้มั้ย การที่แม่ได้ให้อะไรกับลูกบ้างน่ะ มันเป็นความสุขของแม่...ถ้าลูกมีความรัก ลูกจะรู้ว่า การที่เราได้ทำอะไรให้กับคนที่เรารักนั้น มันมีความสุขมากแค่ไหน...แม่มีความสุขเมื่อเห็นลูกยิ้ม แม่ไม่เคยสบายใจเลย ถ้าเห็นลูกลำบาก...”

            ความเงียบระหว่างสองแม่ลูกครอบคลุมในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ...ช่วงเวลานั้น เกิดสมรภูมิเล็ก ๆ ขึ้นในใจโดม

            “ขอบคุณครับ...ผมยอมรับของขวัญชิ้นนี้ของแม่” โดมพูดออกมาในที่สุด

            สิ่งที่เขาให้กับแม่ ไม่ใช่การยอมรับบัตรเครดิต หรือข้าวของใด ๆ แต่คือการที่เขายอมลดทิฐิ ความถือตัวให้แก่มารดาตนเอง

            “ถ้าอย่างนั้น” แม่ยิ้มแปลก ๆ “ห้ามหักบัตรเครดิตแม่ทิ้ง แล้วก็ช่วยรับของที่แม่ซื้อให้วันนี้ด้วยนะ”

            โดมยิ้มอย่างนึกขัน นี่แม่วางแผนซื้อของใช้ และให้บัตรเครดิตเขาตั้งแต่ต้น โดยเอาเรื่องวันเกิดมาอ้าง

            ...ถึงรู้ทันตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว...

            “นี่แหละ ยิ้มอย่างนี้แม่ค่อยชื่นใจหน่อย”

            แม่ทำท่าจะเข้ามากอด โดมถอยหลังอย่างนึกกระดาก รีบล้วงมือลงในกระเป๋า หยิบการ์ดเล็ก ๆ ยื่นให้

            “ผมไม่รู้จะซื้ออะไรมาให้วันเกิดแม่ เลยทำการ์ดนี้มาแทน”

            การ์ดใบนั้นเป็นการ์ดทำเอง ด้านหน้าเป็นภาพลายเส้นใบหน้ามาตากำลังยิ้มอ่อนโยน ด้านในเขียนด้วยประโยคสั้นที่เห็นกันดาษดื่น

            ...สุขสันต์วันเกิดครับ...จากโดม...

            คนเป็นแม่รู้ว่าโดมไม่เคยทำของแบบนี้ให้ใครง่าย ๆ และเขาไม่เคยแต่งวาจา คำพูดสวย ๆ ให้กับคนที่เขาคุ้นเคย สนิทใจ

            แม่กอดโดม และหอมแก้มโดยไม่ให้ตั้งตัว เด็กหนุ่มยืนนิ่ง ทำตัวไม่ถูก จนแม่ผละออก แล้วมองดูการ์ดใบนั้นอย่างชื่นชม

            ...โดมสเก็ตภาพลายเส้นของแม่จากความทรงจำ...ความทรงจำที่แม่มีรอยยิ้มอ่อนโยนเหลือเกิน...

            “ขอบใจมากนะจ๊ะโดม”



            แม่ขับรถจากไป ไม่พยายามเซ้าซี้จะไปส่งลูกชายอีก รู้ว่าที่เขายอมลดทิฐิขนาดนี้ ก็มากกว่าปกติแล้ว อย่างน้อยโดมก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีทุกเรื่อง

            โดมมองตามท้ายรถแม่ที่แล่นจากไป ก่อนก้มดูถุงข้าวของที่แม่ซื้อให้อย่างนึกขันปนขมขื่น

            ...ความสุขของแม่ คือการได้เห็นรอยยิ้มของลูก...จริงหรือ?

            โดมถอนใจยาว วันนี้เขาอารมณ์ดี มีความสุขมากกว่าทุกวัน เพราะทางบริษัทฯ ชอบในผลงาน และโทรศัพท์นัดไปเซ็นสัญญาวันพรุ่งนี้ ดังนั้นจึงไม่อยากคิดเรื่องอะไรที่ทำให้แสลงใจ...

            แม่กลับไปแล้ว โดมคิดจะโทรศัพท์บอกข่าวดีของตนกับลานน้ำค้าง พอดูสภาพตัวเองกับข้าวของพะรุงพะรังตรง ลานจอดรถอย่างนี้ เห็นทีต้องรอเวลาอื่นดีกว่า...

            เด็กหนุ่มหิ้วของออกจากลานจอดรถ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า หากเขาโทรหาลานน้ำค้าง ก็จะได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจากบริเวณนั้นเอง


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างกับบูรพาแอบเดินตามดูห่าง ๆ เห็นภาพการแสดงออก อากัปกิริยาของคนทั้งสองโดยไม่ได้ยินเสียงพูดจา เริ่มรู้สึกว่าพวกตนละเมิดเรื่องส่วนตัวคนอื่นมากเกินไปแล้ว

            หลังจากมาตา นักร้องดังขับรถจากไป สองหนุ่มสาวก็มองหน้ากัน ยิ้มแหย ๆ ด้วยความรู้สึกผิด ตอนแรกไม่ตั้งใจตามมา ขามันไม่เชื่อฟัง ความอยากรู้อยากเห็นคอยกระทุ้งใจ ชนิดใครเตือนใครไม่ได้ ต้องแอบดู เห็นภาพไม่ได้ยินเสียง เพียงเท่านี้ก็ทำให้ทั้งคู่ละอายใจ ไม่รู้ว่าละอายใจตนเอง หรือละอายใจแทนคนที่ยืนกอดกันกลางลานจอดรถ

            เตรียมตัวหันกลับไปที่จอดมอเตอร์ไซค์ สายตาเห็นเงาคนแวบผ่าน คน ๆ นั้นมีกล้องคล้องคอ ติดเลนส์ซูม ยาวดูเป็นมืออาชีพ

               ...ปาปารัชชี่...

            สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน สายตาบอกแทนคำพูด

               ...ซวยแล้ว...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างเดินหงอย ๆ หิ้วของเข้าบ้าน มีสายตาบูรพามองตาม จิตใจที่เขามีต่อหญิงสาวคล้ายสายใยบาง ๆ ที่โยงใยผูกหัวใจกัน เมื่อเธอมีความสุข เขาจะรู้สึกและยิ้มได้ เมื่อเธอกังวลใจ หดหู่ หัวใจเขาก็เศร้าหมองเช่นกัน

            ชายหนุ่มกำลังสตาร์ทรถขับกลับบ้าน แล้วเปลี่ยนใจ ดึงขาตั้งลง ปลดกุญแจ เดินตามลานน้ำค้างเข้าบ้าน

            “ลืมอะไรเหรอหมู” ลานน้ำค้างสงสัย

            “เปล่า...จะมาช่วยหิ้วของเข้าบ้านให้” บูรพาตอบพร้อมดึงถุงข้าวของจากหญิงสาวมาถือไว้เอง

            “มาช่วยอะไรเอาป่านนี้วะ” ถึงจะแกล้งบ่น ก็ยังไม่ปฏิเสธน้ำใจ ลึกลงข้างในก็รู้ เพื่อนหนุ่มมีเจตนาอย่างไร

            “แม่จะกลับมาตอนไหนน่ะ” ชายหนุ่มเห็นบ้านยังล็อคกุญแจ

            “เดี๋ยวคงมาแล้วล่ะ อยู่กินข้าวด้วยกันสิ” ลานน้ำค้างชวนด้วยความชินปาก

            “เอาสิ...” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ สายตามองหญิงสาวไขกุญแจเข้าบ้านโดยไม่พูดอะไรมากความ

            หลังจากเข้าบ้าน เก็บข้าวของเรียบร้อย บูรพาก็เข้าครัวพร้อมลานน้ำค้าง คอยช่วยหยิบจับ เตรียมอาหารมื้อค่ำอย่างคล่องแคล่ว คุ้นเคย

            “มีอะไรจะพูด ก็พูดมาได้นะ” บูรพาออกปากลอย ๆ เมื่อเห็นเพื่อนสาวยังเงียบ ไม่ยอมพูดจา

            คำเริ่มต้นนี้ทำให้ลานน้ำค้างถอนใจเฮือกใหญ่ เงยหน้าสบตาเขาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ในใจมีความกรุ่นของอารมณ์บางอย่าง

            “อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นมากนักเลย” บูรพาพูดเหมือนเห็นตะกอนขุ่นในอารมณ์ จิตใจคนอยู่ใกล้

            “ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็นมากกว่านะหมู” ลานน้ำค้างยอมเอ่ยปาก “มันรู้สึกเหมือนเราดูคนผิดไปอย่างไม่น่าให้อภัย”

            “ที่เธอรู้สึกไม่ดี เพราะคิดว่ามองคนผิดไปแค่นั้นเหรอ” บูรพายิงเข้าประเด็นคาใจ

            “ก็ทำนองนั้น ฉันเคยมองโดมเขาเป็นเด็กที่...มีความคิด มีความเป็นผู้ใหญ่ เหมือนจะเข้าถึงยาก แต่เป็นคนที่มีเนื้อใจดี...ไม่น่าที่จะ...” หล่อนไม่กล้าพูดให้จบ

            “เกาะผู้หญิงกิน!” บูรพาพูดแทนให้

            “อือ...” คำพูดของเพื่อน คือการช่วยทะลวงสิ่งคาใจออกมา

            ภาพที่โดมกับนักร้องสาวคนนั้นแสดงออกมา มันไม่ชวนให้คิดไปในแง่อื่นได้เลย

            “อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นมากนักเลยนะ” บูรพาย้ำประโยคเดิม

            “ถ้าสิ่งที่เราเห็น ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด...แล้วมันจะเป็นอะไร” ลานน้ำค้างถามกึ่งเถียง

            บูรพายิ้ม มองหญิงสาวข้าง ๆ อย่างเข้าใจอารมณ์ เข้าใจจิตใจ รู้ว่าจะมีวิธีใดช่วยให้หล่อนสบายใจได้

            “แล้วยังไงล่ะ” ชายหนุ่มย้อนถาม “เขาจะเป็นอย่างที่เราคิดหรือไม่...ทำไมเธอต้องมาทุกข์ใจด้วย”

            คำถามกระแทกใจ ลานน้ำค้างหยุดคิด มองดูจิตใจตัวเองก่อนตอบ

            “คงเพราะฉันรู้สึกดีกับเด็กคนนี้มั้ง...เราเคยช่วยเหลือเขา มองเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่ง แล้วจู่ ๆ เหมือนโดนหักหลังยังไงไม่รู้...”

            พอพูดออกมา ใจค่อยคลายลง สามารถแยกตัวเองออกมาเป็นฝ่ายดู “จิตใจ” ดู “อารมณ์” ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา เป็นกลาง

            เขาไม่ได้หักหลังเราหรอก...เขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็น...เราต่างหากที่หาความทุกข์มาใส่ใจโดยไม่จำเป็น...”

            ลานน้ำค้างอึ้ง กระจ่างใจ...บูรพาพูดถูก โดมไม่ได้หักหลังใคร ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่รู้จักกัน เขาไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัว ไม่เคยบอกอะไรเกี่ยวกับตนเอง...เขาเป็นอย่างที่เป็น หล่อนเองต่างหาก ที่เกิดความรู้สึกดี ๆ กับเขา แล้วกลับพลิกเสียความรู้สึกกับเขาเอง

            “เราจะดูคนไม่ผิด ถ้าเรียนรู้ที่จะมองเขาอย่างตรงไปตรงมา มองอย่างที่เขาเป็นจริง ๆ โดยไม่เอาใจเราไปแทรกแซง ไม่วาดภาพเขาในใจ แทนเห็นภาพเขาตามความเป็นจริง”

            บูรพาสรุปปิดท้าย

            “เราถึงบอกเธอไง ว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็นมากนัก เรามองเขาไกลขนาดนั้น รับรู้ความจริงแค่ส่วนเดียว ที่เหลือเป็นส่วนที่เราคิดปรุงแต่งกันไปเองทั้งนั้น”

            ฟังถึงตรงนี้ลานน้ำค้างค่อยยิ้มออก สิ่งที่ติดคา ทึบตันในใจคลายออกมา ความแจ่มใสกลับคืน เสมือนดวงตะวันที่รอให้หมู่เมฆเคลื่อนผ่าน เปิดโอกาสให้ทอแสงสดใส หลังจากถูกความมัวซัวปกคลุมมานาน


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ปันปันเดินเดียวดายอยู่ภายในโรงพยาบาล ผู้คนเร้นหาย เหลือทางเดินโล่ง ห้องทุกห้องเงียบกริบ ปิดสนิท แสงสว่างหรี่สลัว อึมครึม บรรยากาศแปลก ราวกับเป็นคนละโลก คนละแห่ง

            เด็กหญิงเกิดอาการพรั่นลึก ด้วยความเป็นเด็กกล้า จึงพยายามไม่ใส่ใจ เดินไปเรื่อย มองหาใครสักคน ใครก็ได้ที่จะอยู่เป็นเพื่อนท่ามกลางความเงียบร้าง เหงาหงอย

            เสียงฝีเท้าดังกุกกัก กุกกักเป็นจังหวะสะท้อนไปมา ปันปันเหลียวซ้ายแลขวามองหา สัมผัสส่วนลึกบอกว่า ที่นี่ยังไม่ร้างผู้คน...มีใครบางคนรออยู่...

            ปันปันยืนอยู่ตรงลานโล่ง บริเวณที่เคยมีผู้ป่วยมานั่งรอคิวเข้าตรวจ รับยา บัดนี้มันเงียบร้าง ความโล่งกว้างดูเหมือนจะบีบร่างน้อยให้เล็กลงไปอีก

            “ปันปัน” เสียงเรียกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

            ปันปันเหลียวขวับตามต้นเสียง ดวงตาเบิกกว้างยินดี รอยยิ้มผลิบานเต็มที่ จากนั้นก็โผเข้ากอดร่างสูงที่โน้มตัวลงมารับเธอไว้ด้วยความอ่อนโยน

            “...คุณพ่อ...ปันปันคิดถึงคุณพ่อ...คุณพ่อไปไหนมา...”

            เด็กหญิงออดอ้อน ฉอเลาะ ร่างถูกอุ้มจนใบหน้าเสมอกับบิดาน้ำตาไหลพรากด้วยความคิดถึง

            “พ่อไม่ได้ไปไหนเลยลูก” คำพูดของพ่ออบอุ่น แววตาเศร้านักหนา

            “ทำไมพ่อไม่มาหาปันปัน” เด็กน้อยถาม

            “พ่ออยู่ใกล้ปันปันเสมอ”

            “ทำไมปันปันไม่เห็นพ่อล่ะ” ปันปันถาม หนูน้อยรู้ว่าพ่อตายแล้ว แต่เธอก็เห็นคนตายมากมาย ทำไมไม่เห็นบิดาตนเอง

            “พ่อไม่รู้...แต่ปันปันฟังพ่อนะ” เสียงพ่อจริงจัง ดวงตาจ้องตรงบุตรสาวดุจจะย้ำให้เธอตั้งใจ ...

               “บอกแม่ด้วยให้ระวังตัว อย่าเดินทางไกล!”

            “ให้แม่ระวังตัว...อย่าเดินทางไกล” ปันปันทวนคำพูดก่อนย้อนถาม “ไกลแค่ไหน พ่อไม่ให้แม่ไปไหน?”

            “พ่อไม่รู้” สีหน้าพ่อเศร้าสร้อย

            ความมืดคลี่คลุมลงมา พ่อกำลังเลือนหายโดยที่ปันปันไม่อาจฉุดรั้ง ความรู้สึกตัวหดหาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง รอบด้านกลายเป็นความมืด...มืดลง...มืดลงเรื่อย ๆ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP