สารส่องใจ Enlightenment

ดวงจิตผู้รู้อยู่ (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
แสดงธรรมเมื่อ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗




ดวงจิตผู้รู้อยู่ (ตอนที่ ๑) (คลิก)




ถ้าจิตนั้นมาภาวนา เพียงเพ่งพิจารณาให้เห็นว่าธาตุแท้ของรูปขันธ์นี้ ได้แก่อะไร
ธาตุดิน สิ่งที่เป็นก้อนเป็นรูป ก็คือว่าดินนั่นเอง
เอาดินมาปั้นขึ้นมา เอาน้ำมาผสมเข้า
ดินกับน้ำนี้แหละปั้นขึ้นมาเป็นก้อน เป็นตัวของคนเรา



ทีนี้เวลามันแตกมันทำลาย มันไปไหน
ธาตุดินจะไปไหน มันก็ลงไปแผ่นดิน
จะเผาไฟ ฝังดิน มันก็ลงไปเป็นดินนั่นแหละ
ธาตุน้ำมันจะไปไหน มันก็ไปในอากาศ ไปในธาตุดิน
ธาตุน้ำรวมลงไปในแผ่นดินนั่นแหละ



นี่แหละมันเป็นอยู่อย่างนี้เรื่องธาตุทั้งหลาย
แล้วจิตผู้รู้เห็น ผู้อยู่ภายในนี้ ต้องตั้งจิตตั้งใจให้ดี
อย่าไปอ่อนแอท้อแท้ไปตามกิเลสมาร



กิเลสนั้นมันสำคัญ มันรู้เพราะมันอยู่ในใจ
สังขารมารอันนี้มันอยู่ในดวงจิตผู้รู้นั้นเอง
มันเป็นผู้ปรุงผู้แต่ง ผู้คิดผู้นึก ให้จิตใจผู้อยู่นั้นหลงใหลไป



นักภาวนาทั้งหลาย ท่านจึงไม่ยอมให้จิตใจนี้หลงไปตามสังขารมารกิเลสต่างๆ
ที่ว่าให้เลิกให้ละ ให้ดับเรื่องราวอดีตอนาคต
ก็คือว่าจิตสังขารมารกิเลสนี้แหละ
มันเอาเรื่องเหล่านั้นมาหลอก มาโกหกพกลมวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง
เพราะจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่มีปัญญาญาณเกิดขึ้น
มักหลงใหลไปเสีย หลงไปกับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ
เมื่อมันหลงใหลไปแล้ว สิ่งที่ไม่ดีนั้นมันเลยเห็นเป็นดีขึ้นมา



สิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นมันเห็นเป็นของเที่ยง มั่นคง ถาวร ยั่งยืน
เหมือนกับว่ามันจะไม่แก่ไม่ไข้ ไม่ตาย อย่างนั้นแหละ
ทำไมมันแก่ได้ มันเจ็บได้ มันตายได้
เพราะไม่มีความเพียรเพ่งดูให้รู้ภายในจิต
เพราะจิตมันสั่นสะเทือนไปตามอารมณ์นั้นเสีย ไปตามเรื่องตามราวนั้นเสีย



อย่างสมมติว่า รูปที่ผ่านสายตา ถ้ารูปใดสวยสดงดงามตามสมมติ
จิตหลงอันนี้ก็เข้าไปยึดไปถือว่ารูปนั้นเป็นรูปสวย
ไม่ว่าเป็นรูปคนรูปสัตว์ รูปวัตถุข้าวของ
พอเห็นว่าสวยแล้ว มันก็ไม่ได้คิดว่าสวยน่ะมันมาจากไหน
แรกมันสวยอย่างนั้นไหม เอาอะไรมาปรุงแต่งจึงสวยได้
สวยจริงอยู่อย่างนั้นตลอดไปไหม
ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่แตก ไม่ทำลายไหม
ปัญญาความรู้เท่าทันตรงนี้ไม่เกิดมีขึ้นแล้ว ก็หลงวันยังค่ำคืนยังรุ่งอยู่นั้นเอง



นี่แหละ ท่านจึงให้มีวิธีการนั่งสมาธิภาวนา
สู้จนไม่ให้จิตนี้หลงใหลไป ให้จิตผู้รู้นี้แหละมาตั้งมั่นอยู่ในจิต
เรื่องใดที่จิตเห็นว่ามันเป็นของดิบของดี ของเที่ยงแท้แน่นอน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ มันเที่ยงแท้แน่นอนจริงไหม
จิตผู้นี้แหละ ตั้งให้มั่น ดูความจริงให้ปรากฏ
จนปรากฏในจิตในใจ จนปรากฏในรูปในนาม
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูป นาม ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงจริงไหม


ต้องกำหนดรู้ ให้จิตใจรู้ด้วยญาณ ด้วยปัญญา ด้วยวิชชา อันแท้จริง
ไม่ใช่รูปแบบคำพูด คำเขียน ความคิด
เรียกว่า ต้องรู้ด้วยแบบปัญญาญาณเพียรเพ่งดู
ว่ามันเที่ยงอยู่อย่างนั้นไหม รูปมันเที่ยงหรือไม่เที่ยง

เพ่งจนเห็นว่า แรกเริ่มเดิมทีของรูปมาจากไหน
มาจากธาตุน้ำ ธาตุน้ำมันเคี่ยวเข้าปรุงแต่งเข้าเป็นธาตุดิน
ธาตุดินเจริญวัยใหญ่โตขึ้นมา มันก็เป็นรูปร่าง สี สัณฐาน
ตั้งแต่เด็กจนหนุ่ม จนแก่ชรา แตกดับ เป็นอยู่อย่างนี้



ถ้ามันเที่ยงแท้แน่นอน อย่างจิตหลงเข้าใจนั้น
มันก็คงไม่มีใครแก่ ไม่มีเจ็บไข้ ไม่มีแตกไม่มีทำลาย ไม่มีตายด้วย
แต่ทำไมเกิดเท่าไรมันก็ตายเท่านั้น ไม่มีใครเหลือ
ที่เหลือให้พวกเราเห็น มันยังไม่ถึงเวลามันแตกมันตายเท่านั้น มันรอเวลาเท่านั้น



ผู้ภาวนาไม่ต้องไปรอเวลา
เมื่อใดเวลาใดถ้าตั้งจิตดวงนี้ให้มั่นคงลงไปในจิต
ก็จะรู้ได้เข้าใจในเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นต้นไป
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรปิดบัง
นอกจากจิตใจของตัวเองนั่นแหละ สังขารมารกิเลสนั่นแหละมันปิดบัง
มันกั้นกางไม่ให้ทำ ไม่ให้พินิจพิจารณา
อย่างว่าจะตั้งจิตลงไปในจิตในปัจจุบันนี้ เป็นต้น
มันก็มัวรอช้าไม่กำหนด ไม่พิจารณา เฉื่อยชา
ไม่ดูว่าดวงจิตผู้รู้มันมีอยู่ในปัจจุบัน
สังขารที่มันปรุงแต่งขึ้นมา มันปรุงขึ้นมาในปัจจุบัน
เราก็ดับก็ละในปัจจุบัน ทำความเพียรอยู่ในปัจจุบัน



เพียรละกิเลสที่มันมีอยู่ให้มันหมดไป สิ้นไป
เพียรระวังรักษากิเลสอันใดมันจะเกิดขึ้นมีขึ้นในจิตนั้น
ไม่ให้มันนิ่งนอนใจ ตั้งให้มั่นคงที่สุด
มั่นคงขนาดไหน มั่นคงจนไม่หวั่นไหว
หรือท่านเปรียบอุปมาเหมือนอย่างว่า แผ่นดิน
มั่นคงเหมือนแผ่นดิน ยิ่งกว่าแผ่นดิน
แผ่นดินยังมีหวั่นไหวได้ ยังมีคนขุดขึ้นหรือถากถางเคลื่อนย้ายได้



สมาธิภาวนาตั้งจิตใจมั่น เอาจนไม่มีอะไรที่จะมาเคลื่อนไหวได้
ดวงจิตผู้รู้อยู่ที่ไหน นั่งก็ดูจิตตั้งมั่นในนั้น ยืนก็ตั้งอยู่ในจิตนั้น เดินก็ตั้งอยู่ในจิตนั้น
จะไปรถไปรา สบายไม่สบาย ก็ตั้งอยู่ในดวงจิตอันนั้น
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง รูปนามเป็นทุกข์ รูปนามเป็นของไม่ใช่ตัวตน
ทั้งหมดอยู่ในดวงจิตผู้รู้นี้
นอกจากดวงจิตผู้รู้อันนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเที่ยงมั่นถาวรยั่งยืนอย่างโลกสมมติ



กำหนดพิจารณาให้มันเข้าถึงความจริงข้อนี้ให้ได้
ทุกขณะทุกเวลานั่งสมาธิภาวนา
หรือจะนั่งจะยืนจะเดินจะไปมาธรรมดาสามัญทั่วไปก็ตาม
จิตใจนั้นอย่าได้เคลื่อนที่
ถ้าเคลื่อนที่แล้ว มันหลงใหลไปแล้ว มันไม่รู้ทั้งนั้น
เมาไปเหมือนเราที่ล่วงมาแล้ว
เมื่อมันได้โกรธขึ้นมา มันก็หลงเมาไปหมด
เมื่อมันโลภขึ้นมา มันก็หลงเมาไปหมด
เมื่อมันหลงแล้ว มันก็หลงหมดทั้งโลก
ถ้ารู้ มันก็รู้แจ้งทั้งโลก รู้แจ้งในจิตนี้ได้ มันก็รู้แจ้งหมด
โลกทั้งโลก มันเหมือนกันหมด



โลกนี้มันธาตุดิน โลกนี้มันธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
โลกนี้มันรูปกับนาม กายกับใจอยู่ด้วยกัน
ทำไมจิตมันหลง หลงก็คือไม่ตั้งใจภาวนา ไม่ทำความเพียรละกิเลส
ไม่รักษาศีลภาวนาให้พร้อมมูลบริบูรณ์
ทีนี้ว่าจะรักษาศีลก็ผัดวันเวลา เมื่อนั้นเมื่อนี้ มันไม่ทัน
ให้รักษาศีล ๕ ในเวลานี้ รักษาศีล ๘ ในเวลานี้
รักษาศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ในขณะนี้เวลานี้



เมื่อศีลบริสุทธิ์ สะอาด ก็หมายถึงจิตใจที่ตั้งมั่นลงไปนี่แหละ
ศีลปกติ กายวาจามีที่ไหน จิตมันก็ตั้งมั่น
จิตก็เป็นปกติ จิตก็สบาย ปัญญาก็เกิด
ปัญญาก็ไม่ใช่มาจากที่ไหน ก็เกิดขึ้นที่จิตนั่นแหละ
ที่จิตดวงที่รู้อยู่ในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ขณะนี้นั้น ไม่ได้เอามาจากที่อื่น



ท่านจึงให้รวมกำลัง พลังงาน ความสามารถ ลงไปในจิตในใจดวงนี้
ไม่ให้ไปมัวย่อท้อ กลัวเจ็บกลัวไข้กลัวตาย อย่างโน้นอย่างนี้
สังขารมารกิเลสละทิ้ง จะเอาอะไรมาโกหกพกลม ไม่ต้องไปเชื่อไปหลง
เรียกว่าตามเข้ารู้อยู่ในดวงจิต ดวงที่รู้อยู่เดี๋ยวนี้ขณะนี้
ตั้งลงที่นี้ที่เดียว นั่งอยู่ที่นี้รูปนั่งต่างหาก จิตนั่ง ก็คือจิตมั่นคงอยู่ในจิตนั้น
นอนยังไม่หลับ ก็มั่นอยู่ในที่นี้ ตื่นขึ้นมาก็มั่นอยู่ในที่นี้
เรียกว่า ตัตถะ ตัตถะ ในที่นี้ ในที่นี้ นี่ก็จำเพราะดวงจิตที่รู้อยู่นี้
จะไปหาที่ไหน จะไปเอาที่ไหน เอาที่ไหนได้
ไม่เอาที่ดวงจิตดวงใจนี้ ไม่ตั้งลงไปที่ตรงนี้ไปตั้งที่ไหน
บำเพ็ญภาวนา ทำความเพียรละกิเลส ก็เพียรลงไปตรงนี้
ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะทุกเวลา ทำความเพียรอยู่อย่างนั้นตลอดกาล



เรื่องสมมตินิยมธรรมดาโลก มันมีอยู่ในโลกนี้แหละ
อย่าไปกลัวมันจะหมดไปสิ้นไป
โลกมันไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลมันจะหมดไปก่อน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันไม่หมดหนีจากโลกนี้
เกิดมาชาติใดมันก็มีอยู่อย่างนี้ ตายไปชาติใดมันก็มีอยู่อย่างนี้แหละ
มันไม่หมดสิ้นไปที่ไหน


การทำความเพียรปฏิบัติบูชาในทางพระพุทธศาสนา
ต้องตั้งจิตในจิตตรงนี้ให้มันเต็มที่เต็มฐาน
จะเอาอะไรมาหลอกลวง ความเจ็บปวด ทุกขเวทนา ในรูปร่างกาย ในสิ่งใดๆ ก็ตาม
หรือว่าโรคภัยไข้เจ็บมันมีอยู่นิดๆ หน่อยๆ ตามธรรมดาของรูปร่างกาย
ก็อย่าไปเอาเหตุการณ์เหล่านั้นมาเป็นเครื่องกั้น



นั่งสมาธิภาวนา ตั้งจิตตั้งใจให้มันแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
สลัดตัดบ่วงห่วงอาลัยกิเลสตัณหาภายในดวงจิตดวงใจ ให้มันเด็ดขาดลงไป
หัวใจอย่าไปอ่อนแอท้อแท้ วิตกวิจารอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เอาทั้งนั้น
เอาดวงจิตดวงเดียวนี้ นั่งก็อยู่ในจิต นอนก็อยู่ในจิต
ยืนก็อยู่ในจิต เดินไปมาที่ไหนก็อยู่ในจิต
จะทำธุระการงานใดๆ ก็อยู่ในดวงจิตผู้รู้อันนั้น



ฉะนั้น ท่านจึงสอนแนะนำข้อสำคัญไว้ว่า
สิ่งอื่นใดนอกจากดวงจิตที่รู้อยู่นี้ อย่าได้หลงใหลไปเป็นอันขาด
ถ้าเลื่อนหลงใหล ทีนี้หลงไปหมด ไหลไปหมด เลื่อนไปหมด เมาไปหมด ไม่รู้ทั้งนั้น
ไปยึดมั่นถือมั่นในรูปในนาม ในตัวในตน ในเขาในเรา
ในตัวเราของเรา ตัวของข้า ตัวกูของกู ไปหมด
ผลที่สุด จิตอันนั้นก็อ่อนแอท้อแท้ กลัวไปหมด จะทำอะไร
จะนั่งสมาธิภาวนา จะละความโกรธ ความโลภ ความหลง
ก็ไปโดนไปกระทบแต่สังขารที่มันหลอกหลวงกีดกันอยู่



จงทำลายล้างสังขารมารเหล่านี้ให้หมดสิ้น
ไม่ให้มันมาปรุงหลอกลวงต่อไปอีก
เรียกว่า เวทิตัพโพ พึงรู้แจ้ง
ปัจจัตตัง
จำเพาะจิตดวงที่รู้อยู่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ให้ได้ตลอดไป



แล้วผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ก็จะมีจิตใจอันเข้มแข็ง
สามารถอาจหาญในการประพฤติปฏิบัติ
ไม่ว่าวันเดือนปี อายุสังขารจะผ่านไป อยู่ในวัยไหนก็ตาม
จิตใจอันนั้นจะตั้งมั่น ภาวนาได้ตลอดกาล



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


จากพระธรรมเทศนา ดวงจิตผู้รู้อยู่ใน พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๑๒ โดย ปฐมและภัทรา นิคมานนท์ ฉบับพิมพ์เมื่อมกราคม ๒๕๕๐.



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP