ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะให้อภัยคนที่ไม่ชอบเราได้



ถาม - วิธีที่จะอภัยและอโหสิให้คนที่เขาไม่ชอบเรา จะต้องทำอย่างไรคะ



ไม่ได้มีวิธีตายตัวนะ แต่ขอบอกไว้เป็นสากลเลย เป็นหลักการนะ
ที่เราจะไม่ต้องไปมีเวร ไม่ต้องไปมีภัยอะไรกับเขา
นั่นก็คือว่าใจของเราอย่าผูกอยู่กับเขาด้วยความรู้สึกเจ็บใจเท่านั้นแหละ

แค่เรานะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งที่ไม่น่าชอบใจ
หรือคนที่ทำไม่ดีกับเรา หรือกระทั่งคิดไม่ดีกับเรานะครับ



วิธีที่ดีที่สุดก็คืออย่าผูกใจไว้กับเขา
แค่ไม่ผูกใจไว้นะ เรียกว่าเป็นการให้อภัยแบบอ่อนๆ แล้ว

แต่ถ้าหากว่ารู้สึกเมตตา อยากให้เขามีความสุข
คือเราเองต้องมีความสุขก่อนนะ ไม่งั้นมันเหมือนแกล้งอยากให้เขามีความสุข
ถ้าหากว่าใจเรามีความปลอดโปร่ง ใจเรารู้สึกว่าไม่ได้ผูกใจเจ็บกับใคร
มีความสว่าง มีความเบิกบาน มีความไม่อยากเอาเรื่องเอาราว
ลักษณะแบบนั้นแหละเป็นใจที่ไม่เดือดร้อน แล้วใจที่ไม่เดือดร้อนของมนุษย์นะ
โดยธรรมดา โดยธรรมชาติดั้งเดิมก็จะมีความสุขอ่อนๆ อยู่ก่อนอยู่แล้ว อยู่โดยดั้งเดิมนะครับ



ยิ่งถ้าหากว่าเรารู้สึกถึงคลื่นความไม่ชอบใจที่พุ่งเข้ามาปะทะเรา
เวลาที่เขาเจอหน้าเราแล้วมันมีอะไรดำๆ มันมีอะไรทึบๆ หนักๆ เข้ามาอัด
บางคนนี่นะถ้ามีความไม่ชอบขั้นรุนแรงถึงขั้นเกลียด
เราจะรู้สึกได้เลยถึงแรงอัด เกิดความรู้สึกอึดอัด
มันเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าจิตสว่างอยู่ดีๆ มันมืดหม่นลง โลกดูหม่นหมองลง
ที่เคยหูตากว้างขวาง มันกลายเป็นดูโลกมันคับแคบลงถนัดตา
อะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนสัมผัสกันได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่ว่าถ้าสัมผัสบ่อยเกินไป มันชวนให้นึกว่าโลกเป็นแบบนี้เป็นปกติ แต่จริงๆ ไม่ใช่



ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะเอาใจออกห่างจากโลกแห่งความเกลียด
หรือเขตแห่งความมืดอันเกิดจากจิตมนุษย์ที่มีความชิงชังกัน
เราสามารถที่จะถอนใจออกมาจากวงจรแห่งภัยเวร
เราก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าเรามีโลกอีกโลกหนึ่ง
อยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง แตกต่างไปจากเดิม
ไม่มีความมืด ไม่มีความทึบ ไม่มีความคับแคบ

จิตใจกว้างขวางอยู่ตลอด เห็นอะไรแล้วรู้สึกสว่างอยู่ตลอดนะ
ต่อให้กำลังโพล้เพล้อยู่ แต่เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้สว่าง
บางคนชอบพรรณนานะครับว่าเวลาที่มีเธอ เวลาที่มีความรัก
เวลาที่มีความสุข โลกมันเหมือนสว่างสดใส
อันนั้นไม่ใช่ว่าโลกสว่างขึ้น ไม่ใช่พระอาทิตย์ฉายแสงแรงขึ้นนะ
แต่ว่าเป็นเพราะจิตใจของเราสว่างออกมาจากข้างใน


ลองดูเถอะ ถ้าหากว่าคุณเคยมีประสบการณ์นะ
หลงไปอยู่กับพวกที่ชอบด่าไปวันๆ หรือว่าชอบจ้องจับผิดไปวันๆ
มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับโลกทั้งใบ คล้ายๆ กับระอุอยู่
หรือว่ามีความคุกรุ่นอยู่ด้วยไอมืดไอร้อนอะไรบางอย่าง
ราวกับว่าภูเขาไฟจะระเบิดขึ้นมาได้ทุกที่
แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่ใจของเราเข้ามาอยู่ในเขตความสงบ
อยู่ในเขตความสว่างแห่งการเมตตากัน แห่งการไม่ถือสาเอาความกัน

โลกต่างไปทันที มันจะมีความรู้สึกว่าแต่ละวันเกิดความรู้สึกดีๆ กับผู้คน
แม้กระทั่งว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีกับเรา คิดไม่ดีกับเรา
เรามีแก่ใจที่จะอยากให้เขามีความสุขมากกว่าเดิมได้
นี่แหละตรงนี้แหละที่เมตตามันเอ่อออกมา



เอาละก็สรุปก็คือนะ วิธีอภัย วิธีอโหสิกรรม
มันไม่ได้มีการผูกขาดหรอกว่าวิธีใดวิธีหนึ่งจะต้องเอาไปใช้กับคนที่เขาไม่ชอบเรา
แต่มาลงที่ใจตัวเองเถอะ มาเอาที่ใจตัวเองเถอะ
ถ้าหากว่ารู้ตัวว่ายังมีความผูกใจ ยังมีความขุ่นใจ
ยังมีความรู้สึกว่า มีคิดเล็กคิดน้อยได้กับใครได้
อันนั้น ตรงนั้นน่ะให้จัดการเสียนะครับ



วิธีจัดการก็ง่ายๆ เลย ถ้าหากรู้ตัวขึ้นมาว่ามีความขุ่นเคือง
มีความข้องใจ มีความรู้สึกคาใจอยู่กับใคร
อันนั้นแหละให้รู้ว่าหน้าตาของอาการผูกใจมันเป็นอย่างนั้น

ผูกใจ มันมีตั้งแต่ผูกใจเฉยๆ แบบในลักษณะคาใจธรรมดา กับผูกใจแล้วเจ็บด้วย
คือคำว่าผูกใจเจ็บ คนที่คิดใช้ขึ้นมานี่นะ เขาเห็นอาการทางใจ
มันไปผูกมันไปโยงกับใจอื่น แล้วอาการนั้น มันผูกแบบควั่นเกลียว
มันผูกแล้วทำให้หน้าอกหน้าใจเรามันคันขยิกนะ มันเกิดอาการที่ทุรนทุราย
มันเกิดอาการที่ แหม อยากจะเข้าไปทำอะไรสักอย่างหนึ่งกับใบหน้าของเขา
ก็ส่วนใหญ่ถ้าผู้หญิงก็จะเป็นอาการหมั่นเขี้ยว ผู้ชายก็อยากต่อย อยากอะไรแบบนี้นะ
ผู้หญิงก็อาจจะอยากตบอยากตีอะไรก็ว่ากันไป



ลักษณะที่ใจของเราผูกอยู่กับใบหน้าของเขามากๆ
แล้วอยากไปทำอะไรสักอย่างให้ใบหน้าของเขามันยับเยิน
ตัวนี้แหละที่เขาเรียกว่าผูกใจเจ็บแล้ว
มันอยากให้เจ็บไง มันอยากให้ฝ่ายเขาเกิดความปวดแสบปวดร้อนนะ
แต่หารู้ไม่ว่าอาการอยากให้เขาปวดแสบปวดร้อนนั่นน่ะ
ใจของเรานี่เริ่มก่อนแล้ว ปวดแสบปวดร้อน
มันเริ่มมาจากอาการปวดแสบปวดร้อนของเรานั่นแหละ
มันเริ่มมาจากอาการทำร้ายตัวเองนั่นแหละ
เอาจิตเอาใจของเราไปผูกกับคนอื่น แล้วตัวเราเองเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข
นั่นแหละก็เลยเหมือนกับมีแรงผลักดัน อยากจะไปทำให้เขาปวดแสบปวดร้อนบ้าง
นี่ตัวนี้แหละถึงเรียกว่าผูกใจเจ็บ
ถ้าหากถอนออกมาจากอาการผูกใจไว้ได้
เท่านี้เองนะเรียกว่าเป็นการอภัย เป็นการอโหสิแล้วโดยพฤตินัยของจิต



แต่ถ้าหากว่ามือใหม่ ก็มือใหม่หัดอโหสินี่นะ
ก็มักจะมีท่องเป็นคำพูดหรือว่าเปล่งเป็นวาจาว่าอโหสิให้ เอาละ ยกโทษให้

หรือว่ามีคำแนะนำให้ไปสวดสัพเพ สัตตา แล้วแผ่เมตตาให้ศัตรูเสีย
จริงๆ แล้ว มันเป็นแค่คำพูดนะ ส่วนใหญ่ใจมันไม่เอาด้วย ใจมันไม่ไปตามคำ
จริงๆ คำว่าอโหสิ ไม่ได้แปลว่ายกโทษนะ
อโหสินี่คือหมายถึงว่าการหมดการให้ผลของกรรม
ซึ่งไทยเราเอามาใช้ในความหมายที่ว่าเลิกแล้วต่อกันนะครับ


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP