วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๑๔



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            คุณหญิงรัดเกล้าอยู่ในงานอะไรสักงาน ที่เธอจำชื่อไม่ได้แล้ว เป็นงานที่เพื่อนสนิทในแวดวงไฮโซเป็นผู้จัด งานอย่างนี้บางทีก็น่าเบื่อ... มีประโยชน์เพียงเอื้อให้เธอได้พบกับผู้บริหารระดับสูงหลายบริษัท สามารถพูดคุยเรื่องงานแบบนอกรอบได้เท่านั้น

            เมื่อก่อนเธออาจชอบงานแบบนี้ พอสามีเสียชีวิต หน้าที่และงานต้องแบกรับทำให้คุณหญิงรู้สึกเบื่อหน่าย ไร้สาระ เอาเวลาไปพักผ่อน อยู่กับครอบครัวเสียยังดีกว่า

            โชคดีที่คุณสันติสร้างพื้นฐานบริษัทแน่นหนา มั่นคงอยู่แล้ว ประกอบกับมีกลุ่มผู้ถือหุ้นที่คุ้นเคย คณะกรรมการบอร์ดมีความสามารถ งานจึงไม่สะดุด คุณหญิงเข้ามาสานงานต่อโดยไม่ลำบากทุกอย่างราบรื่นลงตัวในเวลาไม่นาน

            ถึงอย่างนั้น ภาระหน้าที่ของการเป็นประธานกรรมการทำให้เวลาของเธอมีน้อยลง อยากจะให้เวลากับลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ก็ยังไม่สามารถทำได้

            เสียงโทรศัพท์จากเบอร์ส่วนตัวคุณหญิงดังขึ้น เห็นหมายเลขแปลกชวนฉงน ปกติเบอร์นี้จะมีแต่คนใกล้ชิดไม่กี่คนที่รู้ ถ้าไม่จำเป็น คนเหล่านั้นจะไม่โทรมา

            “ฮัลโหล” คุณหญิงรับสาย

            “คุณหญิงหรือคะ” เสียงผู้หญิง ฟังไม่คุ้นหู

            “ใครน่ะ”

            “ดิฉันปัณรสีเองค่ะ” คำตอบทำให้คุณหญิงนึกได้

            “ว่ายังไง...มีอะไร”ถามเสียงแข็งนิด ๆ อย่างไม่ตั้งใจ

            “ปันปันเป็นยังไงบ้างคะ” คำถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

            “เรียบร้อย ปลอดภัยดีแล้ว” คุณหญิงตอบเสียงอ่อนลง

            ฝ่ายตรงข้ามถอนใจยาวอย่างโล่งอก

            “ขอบพระคุณ คุณหญิงมากนะคะ ที่ช่วยดูแลแกอย่างดี”

            “ปันปันเป็นลูกของฉัน” คุณหญิงพูดดังจะย้ำ...นี่คือลูกของฉัน...ฉันต้องดูแลเป็นอย่างดีอยู่แล้ว... ‘คนอื่น’ อย่างปัณรสี ไม่จำเป็นต้องมาชื่นชม ขอบคุณ

            “ค่ะ” เสียงหญิงสาวอ่อนลง “ดิฉันแค่จะโทรมาถามผลการผ่าตัด ได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งใจ ถ้ามีอะไร คุณหญิงติดต่อดิฉันได้นะคะ ช่วงนี้ดิฉันยังอยู่เมืองไทย”

            “ได้...” คุณหญิงตอบสั้น ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้

            “ถ้าอย่างนั้นดิฉันคงรบกวนแค่นี้ ขอบพระคุณคุณหญิงมากค่ะ”

            ปัณรสีวางสาย คุณหญิงรู้สึกหนักอกอย่างไม่มีเหตุผล...เธอพยายามลืมแม่จริง ๆ ของปันปันมาหลายปีแล้ว คิดว่าอย่างไรเสีย คงไม่มีเหตุให้มาเจอกันอีก...แต่ก็ยังทำไม่ได้

            ปันปันต้องการใช้เลือดกรุ๊ปพิเศษ หายาก ในธนาคารเลือดมีไม่พอ จำเป็นต้องติดต่อปัณรสีให้มาช่วย ซึ่งเธอยินดี เต็มใจมาทันทีที่ได้ทราบข่าว

            หลังจากนั้น เธอก็พร้อมจากไป เมื่อคุณหญิงแสดงท่าที ไม่ต้องการให้สองแม่ลูกได้พบหน้ากัน...

            มันเป็นความเห็นแก่ตัวที่ปัณรสีเข้าใจคุณหญิงดี...

            ยิ่งคุณหญิงเลี้ยงดูปันปันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความรัก ผูกพันแน่นแฟ้น

            ...รักมากย่อมกลัวการสูญเสียมากพอกัน...

            บรรยากาศงานจืดชืด หมดรสชาติลงทันที คุณหญิงเตรียมตัวออกจากงานเลี้ยง ไปโรงพยาบาล เพื่อจะได้อยู่ใกล้ลูกสาวของเธอ...ปันปัน


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลงรถหน้าปากซอย เวลานับว่ายังไม่ค่ำนัก ปกติจะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดรออยู่ วันนี้เห็นทีจะมีลูกค้ามาก เป็นพิเศษเหลือมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดอยู่คันเดียว หาคนขับไม่เจอ

            โดมกับลานน้ำค้างเดินไปยังวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นวินเดียวกับที่โดมเคยมีเรื่อง แต่ช่วงนี้คนกลุ่มนั้นไม่มาทำงานกัน โดมไม่กลัวที่จะเจอพวกมันจึงมาใช้บริการตามปกติ

            ที่จริงจากปากซอยไปถึงบ้านลานน้ำค้างไม่ไกลนัก พอจะเดินเข้าไปได้ แต่ค่ำแล้ว ควรรีบนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างดีกว่า เดี๋ยวคุณดาริกาจะเป็นห่วง

            วินมอเตอร์ไซค์นี้แห่งมีลักษณะเป็นเพิง กันแดดกันฝน ติดหลอดไฟดวงเดียว แสงสว่างไม่มากนัก...ถึงอย่างนั้น ก็มากพอที่จะเห็นร่างของหนุ่มนักบิด กำลังนอนคุดคู้ เกร็งชักอยู่คนเดียว

            “โดม...มาช่วยกันหน่อยเร็ว!” ลานน้ำค้างเรียกแล้วรีบเข้าไปดูอาการทันที

            โดมตามหญิงสาวเข้าไป ก้มลงจะช่วยเหลือ พอเห็นใบหน้าของหนุ่มมอเตอร์ไซค์แล้วก็ชะงัก แววตาขุ่น... จำได้แม่น

               ไอ้คนนี้แหละ เป็นหัวโจก พาพวกไปรุมกระทืบเขา!







บทที่ ๙



            “ทำอะไรอยู่ล่ะโดม มาช่วยพี่หน่อย ท่าจะเป็นลมบ้าหมู”

            ลานน้ำค้างบีบง้างปากชายคนนั้นไว้ ไม่ให้กัดลิ้นตัวเอง อาการเกร็งชักจนน่ากลัว หญิงสาวไม่ได้สนใจตัวเองมากไปกว่าหนุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างคนนี้

            สายตามองหาของที่จะมาให้เขากัดแทนลิ้น พอหาไม่เจอก็คิดจะเอามือตัวเองพันชายเสื้อแล้วยัดใส่ปากเขาแทน

            โดมยืนนิ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจ สมน้ำหน้าด้วยซ้ำที่กรรมตามทัน แต่สถานการณ์ตรงหน้าที่เห็นลานน้ำค้างเตรียมจะเอามือตัวเองช่วยคนป่วย ทำให้เขาไม่อาจนิ่งดูดาย ห้ามลานน้ำค้างใส่อะไรเข้าไปในปาก จากนั้นบอกหญิงสาวให้หลบอยู่ด้านข้าง ส่วนเขารีบทำการปฐมพยาบาลคนป่วยอย่างคล่องแคล่ว คุ้นเคย จับนอนตะแคงให้ศีรษะอยู่ต่ำ ดูว่าไม่มีของอะไรค้างอยู่ในปาก เพื่อไม่ให้มีอะไรไปขวางทางเดินหายใจ

            ลานน้ำค้างถอยออกมา มองการปฐมพยาบาลของโดมอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าหนุ่มนักดนตรีจะมีความสามารถด้านปฐมพยาบาลด้วย

            ช่วงเวลานั้นผู้คนเริ่มสังเกตเห็นความวุ่นวายภายในวินมอเตอร์ไซค์ จึงพากันมาดู เหล่าไทยมุงทั้งหลายช่วยบอกต่อข่าว จนก่อให้เกิดความวุ่นวายมากกว่าที่ควรจะเป็น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอื้ออึงชวนเวียนหัว

            สักพักคนป่วยอาการดีขึ้น โดมกับลานน้ำค้างถอยออกมา คนที่รู้จักหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์เข้าไปดูแลต่อ

            ลานน้ำค้างมองหน้าโดมเป็นเชิงชวนกันเดินกลับบ้าน แทนรอมอเตอร์ไซค์คันต่อไป

            เด็กหนุ่มเดินตามไม่ขัด แถวหน้าปากซอยวุ่นวายขนาดนี้ ในซอยคงไม่เงียบเหงา ระยะทางไม่ไกลเกินกว่าจะเดินไหว ทั้งคู่จึงสาวเท้าเรื่อยเปื่อยไม่เร่งร้อน

            “ขอโทษนะ ที่ไม่ได้รอให้เขาขอบคุณโดมก่อน” ลานน้ำค้างพูด

            “ทำไมต้องมาขอบคุณผม คุณต่างหากเป็นคนช่วยเหลือเขา” โดมตอบ

            “ถ้าไม่ได้การปฐมพยาบาลของโดม พี่ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน” หญิงสาวหยุดพูด หันมามองเด็กหนุ่มอย่างสงสัย “จริงสิ พี่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าโดมมีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลดีขนาดนี้”

            เด็กหนุ่มไม่ตอบ ทำท่าเหมือนไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น

            “ไปฝึกมาจากไหนหรือโดม” ลานน้ำค้างอยากรู้

            ไม่มีคำตอบเช่นเคย เสมือนเจ้าตัวไม่อยากให้ใครรู้เรื่องราวส่วนตัว

            “ไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ...ยังไงพี่ก็ต้องขอบคุณโดมแทนหนุ่มมอเตอร์ไซค์คนนั้นนะ”

            “อย่าพูดให้ผมละอายใจเลย” โดมพูดด้วยเสียงขัดเคือง “คุณต่างหากที่เป็นคนเข้าไปช่วยเขาคนแรก โดยไม่สนใจความปลอดภัยตัวเอง และคุณก็เป็นคนแรกเหมือนกันที่หลบออกมา เมื่อเขาปลอดภัย เพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็นที่สนใจ ไม่ต้องการคำขอบคุณจากการช่วยเหลือนั้น”

            ลานน้ำค้างรับฟังด้วยสีหน้าอ่อนโยน

            “ถ้าโดมอยู่ใกล้กว่า โดมก็ต้องทำอย่างพี่”

            “ไม่!” เขาตอบเด็ดขาด “คุณรู้มั้ย ไอ้คนนี้แหละที่เป็นหัวโจก พาเพื่อนมารุมกระทืบผม”

            หญิงสาวหันมายิ้มให้โดม เป็นรอยยิ้มอ่อนหวาน ยกย่อง

            “ถ้าอย่างนั้น พี่ก็ขอแสดงความยินดีด้วยจ้ะ”

            โดมมองหล่อนอย่างงุนงง พยายามค้นหาความหมายในคำพูด และรอยยิ้มของเธอ

            “การที่สามารถช่วยเหลือคนที่เราแค้นได้น่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้หรอกนะ” หญิงสาวเฉลย หัวใจเด็กหนุ่มกระตุก มีความละอายใจบางอย่างเกิดขึ้น

            “ผมช่วยเขาก็เพราะคุณ” เขาพยายามเอาความดีออกจากตัว

            “จะช่วยเพราะอะไรไม่สำคัญ แต่ขณะที่โดมช่วยเขานั้น พี่ไม่เห็นความเคืองแค้นอยู่เลย พี่เห็นแต่คนที่มีความตั้งใจดี อยากให้เพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งพ้นจากความทุกข์...”

            โดมถอนใจอย่างอึดอัด เดินเงียบ ๆ หลายก้าว ไม่มีคำพูดใดคัดค้านหญิงสาว

            “การให้อภัยคน ไม่ใช่เรื่องง่าย...แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำไม่ได้” ลานน้ำค้างพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

            เด็กหนุ่มชะงักเท้า ยืนนิ่ง หญิงสาวหยุดตาม สัมผัสถึงความสับสนในใจที่ออกมาทางสีหน้า แววตาเขา

            “ทำได้จริง ๆ หรือ...การให้อภัยคนอื่นน่ะ” คำพูดคล้ายถามลานน้ำค้าง แววตากลับมองไกลออกไปถึงใคร บางคนที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า

            “ได้สิ...เพียงแค่เรากล้าสละความโกรธ เกลียด เจ็บแค้น อาฆาตออกไป” หญิงสาวตอบ

            “กล้าสละ...ความเจ็บแค้นใจ” เด็กหนุ่มทวนคำเบา ๆ แววตายังสับสน

            ลานน้ำค้างมองสีหน้าโดม เห็นความแปรปรวน วุ่นวายใจระลอกแล้วระลอกเล่า ชวนให้รู้สึกว่า หากเปลี่ยนจากการที่ตนเองได้เห็นชีวิตหลังความตาย มาเห็นจิตใจเด็กหนุ่มตรงหน้าได้ คงจะดีไม่น้อย...บางทีอาจรู้ว่าเขามีเรื่องราวใดค้างคาใจ มีความเจ็บปวดอะไรฝังใจบ้าง

            โดมไม่พูดต่อ ก้าวขานำหน้าหญิงสาวเดินกลับบ้าน ลานน้ำค้างไม่เอ่ยปากถาม เห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะซักไซ้...ปมปัญหาในใจของใคร คนนั้นต้องคลี่คลายเอง

            ทั้งสองเดินเคียงกันเงียบ ๆ จนถึงบ้าน บรรยากาศปกคลุมเหมือนกำแพงบาง ๆ กางกั้น กำแพงที่ยังไม่มีใครยอมฝ่าออกมาก่อน

            “ขอบใจนะโดมที่เดินมาส่งถึงบ้าน” ลานน้ำค้างบอกขอบคุณก่อนเปิดประตูเข้าบ้าน

            “ลาน...” เสียงเรียกของโดมฟังแปร่ง ปนขลาด...กระดากที่จะพูด

            “มีอะไร” หญิงสาวถาม

            “ถ้าผมไม่อยู่แถวนี้แล้ว...” เสียงพูดขาดหาย “แล้ว...ผมจะแวะมาหาคุณบ้างได้มั้ย”

            “ได้สิ” หญิงสาวตอบแบบไม่ลังเล มีรอยยิ้มบริสุทธิ์ใจ “โดมก็เหมือนน้องพี่ จะแวะมาหาเมื่อไหร่ก็ได้”

            เด็กหนุ่มสะอึก จุกอกพูดไม่ออก คำพูด สีหน้า รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ใจ แต่แฝงระยะห่างบางอย่าง บอกเป็นนัยให้รู้สถานภาพตนเอง

            หญิงสาวสังเกตสีหน้า แววตาโดมแล้วเกิดความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากบอก

            “ไหน...เอาโทรศัพท์มาสิ”

            โดมยื่นโทรศัพท์ให้อย่างงง ๆ

            ลานน้ำค้างรับโทรศัพท์มาแล้วกดเบอร์ของตนใส่ไว้ในเครื่องเด็กหนุ่ม พอเสร็จก็ส่งคืน...

            “เอ้า...มีอะไรก็โทรมาได้นะจ๊ะ...พี่ไม่ให้เบอร์กับหนุ่มคนไหนง่าย ๆ นะเนี่ย”

            รอยยิ้มบาง ๆ แตะที่ดวงตาโดม มือรับโทรศัพท์คืน หัวใจพองโต ยืนมองจนหญิงสาวเข้าบ้านเรียบร้อย ยังไม่คิดผละจากประตูบ้านไปไหน รู้สึกหัวใจจะลอยตามหล่อนไป ไม่ยอมกลับคืน


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คุณดาริกากำลังหลับฝัน...ความฝันที่ย้อนเวลาสู่วัยเยาว์ ช่วงยังเป็นสาว เรียนมหาวิทยาลัย มีชายหนุ่มศิษย์การบินมาจีบ...เขาคือพ่อของลานน้ำค้างในเวลาต่อมา

            เส้นทางความรักเดินตามครรลองประเพณี อยู่ในสายตาผู้ใหญ่ การได้พบปะ พูดจาใกล้ชิดสองต่อสองมีน้อย แต่ทำให้ความผูกพันยิ่งเหนียวแน่น ความรัก ความจริงใจที่ถูกทดสอบด้วยประเพณี ย่อมไม่ใช่ความรักฉาบฉวยเกิดง่าย ไปเร็ว

            สถานที่ที่สองหนุ่มสาวคุยกัน มักเป็นบริเวณบ้านคุณดาริกา มีสายตาผู้ใหญ่สอดส่อง ดูแล และที่ประจำของ ทั้งคู่ก็คือซุ้มกระดังงา ร่มเย็น ส่งกลิ่นหอม

            วันนี้ดาริกากำลังคุยกับ ‘กลางนภา’ หนุ่มนักบิน โดยไม่มีสายตาผู้ใหญ่มองมา เรื่องราวที่คุยมีมากมายสารพัดเรื่อง จดจำไม่หวาดไม่ไหว ช่วงสุดท้ายของการสนทนา มีคำพูดติดหู กระทั่งตื่น เธอยังไม่ลืมเลือน

            “ดาว...จำไว้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณต้องเข้มแข็ง” กลางนภาบอกหล่อนด้วยเสียงหนักแน่น

            “จะมีอะไรเกิดขึ้นคะ” ดาริกาถาม

            “ผมไม่รู้...แต่อยากให้คุณเข้มแข็ง อดทน เป็นหลักให้ลูก...”

            “ลูก...” ดาริกาพึมพำคำนี้

            พอคำว่า ‘ลูก’ หลุดจากปาก ทำให้ความจริง ความฝันปะปน สับสน ยามนี้ คุณดาริกาไม่รู้สึกว่าตนเองเป็น หญิงสาวอีก และกลางนภา พ่อของลานน้ำค้าง ก็ไม่ใช่นักบินหนุ่มรูปงามอีกต่อไป...

            ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง สงสัย ความมืด ความเงียบรอบตัวดั่งม่านอันหนาหนัก ปิดกั้นระหว่างเธอ กับเขา...ระหว่างความจริงกับความฝัน

            คุณดาริกาใจหายอย่างไม่มีเหตุผล ความเศร้าหมอง หดหู่ลอยเอื่อย ๆ รอบตัว น้ำตาพาลจะไหล หัวใจวังเวง คล้ายจะมีเรื่องเศร้ามาใกล้ตัว แว่วเสียงความฝัน ติดตรึงความทรงจำ

            “เข้มแข็ง...อดทน...เป็นหลักให้ลูกนะ


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            อาการของปันปันดีวันดีคืน ผลการผ่าตัดเรียบร้อย ไม่มีอาการแทรกซ้อน ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ พี่ชายกับมารดาโล่งใจ ที่ยังไม่สบายใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ตรงเจ้าตัวน้อยร่ำร้อง อยากเจอ ‘พี่ลาน’ พี่สาวคนสวย ที่ใครก็หาตัวตนไม่พบ

            “พี่ลานมาเยี่ยมปันปันจริง ๆ นะ” เด็กหญิงยืนยัน “ปันปันเห็นพี่ลานมายืนอยู่ข้างเตียง หอมแก้มปันปัน แล้วบอกให้หายไวไว สู้สู้ด้วย”

            ผู้ใหญ่มองหน้ากัน แววตาบอกความไม่เชื่อถือ

            “ปันปันฝันไปหรือเปล่าจ๊ะ” คุณหญิงถาม

            “ไม่ได้ฝันซักหน่อย” ปันปันหน้ามุ่ย เธอตอบคำถามนี้มาหลายรอบแล้ว พวกผู้ใหญ่ไม่ยอมเชื่อสักที เหตุก็เพราะไม่มีใครเห็นพี่ลานเข้ามาในห้องนี้เลย แม้แต่พยาบาลพิเศษที่มาเฝ้าดูแลตลอดทั้งคืน

            ปันปันตอบไม่ถูก พี่ลานมาตอนไหน อย่างไร เธอแน่ใจว่า “เห็น” พี่ลานเข้ามาในห้อง พูดจาไม่กี่คำ หอมแก้มเธอ แล้วจากไป

            พวกผู้ใหญ่บอกว่าปันปันฝัน แต่เด็กหญิงค้าน ไม่ยอมเชื่อ...ความฝันที่ไหนจะชัดเจนขนาดนี้ ได้ยินทุกคำในหู สัมผัสอุ่นที่แก้ม มองเห็นสีหน้า แววตา รอยยิ้มพี่ลานไม่ผิดเพี้ยน

            “พี่ปอนเคยบอกว่าจะตามหาพี่ลานให้” เด็กหญิงทวงสัญญาพี่ชาย

            “อ้าวปันปัน จะให้พี่ไปหาที่ไหนล่ะจ๊ะ รู้แค่ชื่อพี่ลาน ชื่อเต็มว่ายังไงยังไม่รู้ บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไร เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่มี...” เลียบเมืองบอกน้องสาวตรง ๆ

            เด็กหญิงหน้ามุ่ย อารมณ์บูด จนกระทั่งคุณหมอน้ำทิพย์ เข้ามาในห้อง เห็นลักษณะอาการแบบนี้ก็ยิ้ม หยอกเบา ๆ

            “เป็นอะไรไปคะ น้องปันปัน ทำหน้าบูด อารมณ์เสียแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวหายช้านะ”

            “ปันปันโกรธคนไม่รักษาคำพูด” เด็กหญิงพูดงอน ๆ ไม่ยอมมองหน้าพี่ชาย

            “เอ...ใครเอ่ย” คุณหมอถาม

            “ไม่รู้...” เสียงสะบัดงอน ๆ แบบสาวน้อยเจ้าอารมณ์

            “งั้นปันปันมาให้คุณหมอตรวจก่อนดีมั้ยเอ่ย แล้วค่อยบอกมาสิว่า คนที่ไม่รักษาคำพูดคนนั้น เขารับปากอะไรปันปันไว้”

            คุณหมอมีวิธีพูดที่ฉลาด รอยยิ้มใจดี อารมณ์เย็น ชวนให้คนอยู่ใกล้เป็นสุข ปันปันคลายอาการแง่งอน ยอมให้คุณหมอตรวจ พลางเล่ากึ่งฟ้องถึงความไม่รักษาคำพูดของพี่ชาย

            เลียบเมืองยืนฟังอย่างขบขัน เขาไม่คิดว่าการไม่รักษาคำพูด เรื่องตามสาวปริศนาคนนี้จะเป็นความผิดร้ายแรง เห็นคุณหมอน้ำทิพย์ฟังคำอธิบายของปันปันอย่างตั้งใจ อีกทั้งถามไถ่รายละเอียด รูปร่าง หน้าตา ใส่ใจความต้องการของคนไข้ ทำให้เกิดความละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย

            เสร็จจากการตรวจร่างกาย และฟังรายละเอียดของ “พี่ลาน” จบ คุณหมอน้ำทิพย์ก็หันมายิ้ม บอกกับเลียบเมืองและคุณหญิง

            “สุขภาพน้องปันปันดีขึ้นมากเลยค่ะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรอีกไม่เกินสัปดาห์นึงก็กลับบ้านได้แล้ว”

            “จริงหรือคะคุณหมอ” คุณหญิงดีใจ

            “ค่ะ แต่ยังไง ก็คงต้องมาตรวจตามระยะเวลา”

            “ครับ ข้อนั้นไม่มีปัญหา” เลียบเมืองรับปาก

            คุณหมอคุยกับผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครู่หนึ่ง ก่อนออกจากห้องยังหันมาบอกปันปัน

            “แล้วคุณหมอจะถามให้นะคะ ว่ามีใครรู้จักพี่ลานบ้างหรือเปล่า”

            “ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ปันปันยกมือไหว้แบบเด็กที่ได้รับการอบรมมาดี ใบหน้ายิ้มแย้ม พอใจ

            เลียบเมืองเห็นอย่างนี้ชักอยากรู้จัก เห็นหน้า “พี่ลาน” ของปันปันขึ้นมาทันที สาวปริศนาคนนี้มีอะไรดี ถึงทำให้น้องสาวเขาร่ำร้องอยากพบหน้า

            แล้วพี่ลาน...จะมีตัวตนจริงหรือเป็นแค่คนในจินตนาการของเด็กน้อยกันแน่

            วูบหนึ่ง เลียบเมืองนึกถึงบุคคลนิรนามที่เข้ามาในห้องคนป่วย แล้วทิ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของปัณรสี แม่ ของปันปันไว้ให้ จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นใคร...เหตุใดถึงรู้ว่าพวกเขาต้องการพบปัณรสีอย่างยิ่ง

            จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่บุคคลนิรนาม กับสาวปริศนาจะเป็นคนเดียวกัน... พี่ลาน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP