วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๑๑



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ดึกสงัด สองหนุ่มเพิ่งกลับบ้าน โดยมีลานน้ำค้างเดินส่งถึงหน้าประตู คอยจนรถมอเตอร์ไซค์เคลื่อนออกจากหน้าบ้านจึงค่อยปิดประตู ใส่กุญแจเรียบร้อย ถึงแถวนี้ไม่ค่อยมีขโมย แต่ความที่อยู่กันเพียงสองคนแม่ลูก ก็ต้องระวังตัวจนเป็นนิสัย

            หญิงสาวเดินเอื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ระยะทางจากประตูหน้าบ้านถึงตัวบ้านแค่ไม่กี่ก้าว ทว่าครั้งนี้ ดูเหมือนเส้นทางจะยาวกว่าเคย!

            ลานน้ำค้างรู้สึกถึงความมืดรอบตัวหนาแน่นกว่าเดิม อากาศเย็นชืดรวดเร็ว ความหนาวเย็นปลุกขนลุกซู่ ตัวชา จนยากต้านทาน หูแว่วเสียงแปลก ซ่า ๆ ๆ แบบเดียวกับวิทยุจูนความถี่ไม่ได้ เสียงของมันเบา ทอดจังหวะช้า เนิบ

            เท้าทั้งสองหยุดชะงัก มองเห็นตัวบ้านห่างเพียงไม่กี่ก้าว แต่กลับไม่สามารถเคลื่อนเท้าออกไปได้แม้สักครึ่งก้าว

            ตรงหน้า...ห่างไม่เกินก้าวเศษ ปรากฏเงาขึ้นเป็นร่างมนุษย์ เงานั้นเลือน เบลอในตอนแรก แล้วชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อย ๆ

            ถามว่ากลัวหรือไม่...ลานน้ำค้างไม่กลัว หล่อนเห็นมาบ่อยเสียจนชิน แค่ใจรำคาญ...รำคาญที่การได้เห็นแต่ละครั้งจะอยู่ในสภาวะไม่ตั้งใจอยากเห็นเลย

            ร่างนั้นปรากฏเป็นชายวัยกลางคน...คนเดียวกับที่พบในโรงพยาบาล จิตใจลานน้ำค้างตั้งมั่น สงบเร็วด้วยความคุ้นเคย คราวนี้แปลกกว่าเดิมตรงที่ประสาทหูยังแว่วเสียงซ่า ๆ อยู่ห่าง ๆ

            ลานน้ำค้างยืนนิ่งไม่ขยับ นัยน์ตาจ้องตรงหน้าเขม็ง เห็นร่างนั้นเดี๋ยวชัด เดี๋ยวเบลอเอาแน่ไม่ได้ มีกระแสเศร้า ๆ แผ่ออกมากระทบใจ

            “จะให้ช่วยอะไรคะ” น่าแปลก...หล่อนหลุดคำถามนี้มาได้ ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ขยับบอกอะไรสักอย่าง

            “ช่วย...” เสียงก้องขึ้นในหัว...มันดังขาด ๆ หาย ๆ

            ลานน้ำค้างมองใบหน้าผู้มาเยือน มีรอยยิ้มน้อย ๆ จิตใจเกิดความเมตตา เป็นมิตรโดยอัตโนมัติ

            “มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ... ยินดี” จิตใจเปิดกว้างด้วยเมตตา มีความยินดีแฝงปีติแผ่ออกครอบคลุมรอบตัว

            กระแสเอื่อย ๆ ลอยมากระทบ ลานน้ำค้างรู้สึกเหมือนเวลารอบตัวหมุนช้าลง เสียงซ่า ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ค่อย ชัดเจนขึ้น ร่างอาคันตุกะดูปกติ คล้ายคนธรรมดา

            แล้วเสียงซ่า ๆ นั้นค่อยฟังเป็นวาจา ภาษาพูด การสื่อสารค่อนข้างแผ่วเบา พอจับใจความได้

            “ช่วยด้วย...ช่วยลูกฉันด้วย”

            “ลูกคุณคือใครคะ” ลานน้ำค้างถาม

            “ปันปัน” คำตอบที่ได้ทำให้หล่อนเบิกตากว้าง แปลกใจ

            “น้องปันปันเป็นอะไรไป แล้วจะให้ลานช่วยยังไง” หญิงสาวกระตือรือร้นอยากช่วย

            “ฟังนะ...ตั้งใจฟังให้ดี” เสียงนั้นเริ่มขาด ๆ หาย ๆ

            ลานน้ำค้างพยักหน้ารับ ใจจดจ่อต่อเสียงแผ่วเบานั้น พยายามบันทึกทุกถ้อยคำไว้ในหัวสมอง ไม่ยอมให้ขาด ตกหล่นแม้สักคำเดียว

            เมื่อฟังจนจบ หล่อนทวนคำบางคำซ้ำ ๆ เพื่อความแน่ใจ เสียงแผ่วนั้น คอยย้ำให้จดจำ มิอาจคลาดเคลื่อน ผิดพลาด

            หญิงสาวรู้แล้วว่า ทุกถ้อยคำที่ได้ยินมีความสำคัญอย่างยิ่ง สำคัญต่อชีวิตน้อย ๆ ของปันปัน

            ที่สุด...การติดต่อก็ขาดหาย บรรยากาศรอบตัวเป็นปกติ...สิ่งที่ผิดปกติคือจิตใจของลานน้ำค้าง...จิตใจนี้กำลังกระโจน โลดแล่น พยายามครุ่นคิด หาวิธีช่วยเหลือเด็กหญิงตัวน้อย...

               มันต้องมีวิธีสิ!







บทที่ ๗



            ลานน้ำค้างออกจากบ้านเช้ากว่าปกติ อีกทั้งยังไม่ใช้บริการรับส่งจากเพื่อนสนิท มาถึงโรงพยาบาลก่อนเจ็ดโมงเช้า จิตใจร้อนรุ่มเป็นห่วงปันปันจนเกือบนอนไม่หลับ คิดหาวิธีช่วยเหลือตามคำแนะนำของวิญญาณดวงนั้นแทบทั้งคืน

            ตอนนี้หล่อนมาอยู่หน้าห้องปันปัน สังเกตว่ามีบรรยากาศผิดแปลกใดหรือไม่ พอเห็นทุกสิ่งยังนิ่งสงบ จึงรวบรวมความกล้า เคาะประตูเบา ๆ เตรียมใจ เตรียมคำพูด หากพบคุณหญิงรัดเกล้า หรือเลียบเมือง

            ...เตรียมว่า จะพูดอย่างไรให้เรื่องที่ฟังดูแปลก กลายเป็นเรื่องปกติ...

            เสียงเคาะประตูหายไปกับความเงียบ ลานน้ำค้างผลักประตู เตรียมใจเต็มที่ มีคำพูดทักทายประโยคแรกรออยู่ ริมฝีปาก พอประตูเปิดกว้าง คำพูดเหล่านั้นก็ถูกกลืนหาย เมื่อไม่พบใครอยู่ในห้องนั้น

            ทั้งห้องมีปันปันนอนหลับอยู่บนเตียงคนเดียว หลับสนิท หน้าอกกะเพื่อมตามจังหวะหัวใจ ไม่มีคนเฝ้าไข้ ไม่มีพยาบาลพิเศษ

            ลานน้ำค้างเปลี่ยนแผนฉับพลัน!

            นี่เป็นโอกาสอันดีที่หญิงสาวไม่จำเป็นต้องพูดจามากความ ไม่ต้องเตรียมคำอธิบายให้สมเหตุสมผล เพราะฉะนั้น หล่อนต้องรีบทำอะไรบางอย่าง...ทำอย่างรวดเร็วก่อนจะมีใครเข้ามา

            ใบหน้าหนูน้อยปันปันค่อนข้างซีดเผือด ริมฝีปากแห้ง ลมหายใจสม่ำเสมอ ดวงตาหลับพริ้มราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย

            ลานน้ำค้างยิ้มให้ดวงหน้าน้อย ๆ นั้น แล้วกระซิบเบา ๆ

            “ปันปันจ๋า พี่มีข่าวจากคุณพ่อของหนูมาบอกจ้ะ”

            สิ้นเสียงกระซิบ ลานน้ำค้างหยิบกระดาษมาเขียนอะไรบางอย่างรวดเร็ว จากนั้นวางมันไว้บนโต๊ะ ในจุดสะดุดตา เชื่อว่าคุณหญิงและเลียบเมืองต้องเห็นแน่ ๆ

            หลังจากนี้ หล่อนได้แต่ภาวนา ขอให้ทุกอย่างราบรื่น...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เลียบเมืองใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าปกติ เขาได้ยินเสียงเคาะประตูห้องคนป่วย คิดว่าเป็นพยาบาลที่เข้ามาดูอาการตามปกติ จึงไม่รีบร้อนออกไป สมองตอนนี้กำลังเครียดจัด จนต้องขอเวลาส่วนตัวสักพัก

            หลังจากแม่รู้ข่าวปันปันก็รีบออกจากงาน มาถึงโรงพยาบาลอาการของปันปันสงบลง พอควบคุมได้ แม่คุยกับหมออย่างละเอียด กระทั่งยอมเข้าใจ ปันปันต้องผ่าตัดแน่นอน จำเป็นต้องใช้เลือดกรุ๊ปหายาก ซึ่งเวลานี้ทางโรงพยาบาลมีไม่พอ

            เขากับแม่ติดต่อตามศูนย์บริการโลหิต เพื่อขอเลือด แต่ที่ไหนก็ขาดทั้งนั้น ให้ทางสถานีวิทยุช่วยประกาศ ขอรับบริจาคเลือดกรุ๊ปพิเศษแต่ก็ยังเงียบ สุดท้ายเลียบเมืองก็หลุดคำพูดที่ไม่เคยเอ่ยต่อหน้าแม่มานาน

            “เราติดต่อคุณปัณรสี แม่ของปันปันดีมั้ยครับ”

            คำพูดเลียบเมืองไม่ต่างกับหย่อนระเบิดลงกลางหัวใจมารดาตนเอง คุณหญิงรัดเกล้านิ่งเงียบจนน่ากลัว ใบหน้าเผือดซีด ดวงตาฉายแววหวั่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน...เธอพยายามไม่เอ่ยถึง ไม่ยอมได้ยินชื่อนี้มาหลายปี เทียบเท่ากับอายุของปันปัน

            ...ด้วยไม่อยากให้รู้สึกเป็นการตอกย้ำ ว่าปันปันไม่ใช่ลูกของเธอ...

            เด็กหญิงที่น่ารัก ช่างพูด รู้ใจเธอขนาดนี้ จะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเธอได้อย่างไร ปันปันแค่อาศัยท้องของปัณรสี ผู้หญิงอาภัพคนหนึ่งมาเกิดเท่านั้น...

            “จำเป็น...ขนาดนั้นเลย...ใช่มั้ย” คำถาม คล้ายการยอมรับอย่างขัดฝืน

            “ครับแม่...เพื่อน้อง” เลียบเมืองย้ำด้วยเสียงอ่อนโยน

            คุณหญิงสูดลมหายใจ พยายามพูดให้เป็นปกติ

            “แต่แม่ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้ที่ไหน”

            เลียบเมืองรู้ว่า นี่เป็นการหลีกเลี่ยง

            “เขาเป็นแม่ของปันปัน น่าจะมีเลือดกรุ๊ปเดียวกันนะครับ”

            ชายหนุ่มใช้เหตุผล เรียกสติมารดาตน คุณหญิงไม่ใช่คนดื้อ อคติแรงเกินไป เพราะความรัก ความหวง จึงไม่อยากเอ่ยถึง ไม่อยากให้มารดาแท้จริงของปันปันมายุ่งเกี่ยวในชีวิต

            “มีทางอื่นอีกมั้ย” คุณหญิงพูดไม่มองหน้าลูกชาย

            “มันอาจจะช้าไม่ทันการนะครับ” เขาตอบ

            คุณหญิงเงียบอยู่นาน...นานจนคนเป็นลูกชายต้องอ่านใจมารดาตนเอง เพื่อเลือกใช้คำพูดให้เหมาะสมและโดนใจมากที่สุด

            “เราจะใจเย็นไม่ได้แล้วครับแม่...ทางไหนที่คิดว่าพอจะช่วยได้ เราก็ทำมาหมดแล้ว เหลือทางเลือกสุดท้ายนี้เอง...หมอน้ำทิพย์บอกว่า ตอนนี้ควบคุมอาการได้ก็จริง แต่ปล่อยไว้อาจกำเริบได้อีกถ้าเราไม่รีบผ่าตัด”

            คุณหญิงยังเงียบ เลียบเมืองถอนใจเบา ๆ พูดต่อ

            “ผมเชื่อว่าแม่คงรู้วิธีตามหาคุณปัณรสีบ้างเหมือนกัน ตอนนี้แม่ต้องตัดสินใจเองแล้วล่ะครับ ว่ารักปันปันแค่ไหน”

            คุณหญิงขยับตัว เงยหน้ามองลูกชาย ไม่มีคำพูดอื่นได้นอกจากพยักหน้า...

            เลียบเมืองยิ้มออก โอบกอดแม่ด้วยความรัก ความรู้สึกดี ๆ จากหัวใจ

            หลังจากคุณหญิงกลับบ้าน เพื่อค้นหาที่อยู่ เบอร์ติดต่อของปัณรสีที่เคยทิ้งไว้ให้ เลียบเมืองก็อาสาอยู่เฝ้าดูแลน้องสาวจนถึงเช้า...

            เช้ามืดวันนี้เอง แม่โทรกลับมาบอกอย่างอ่อนใจ หดหู่

            “แม่หาที่อยู่เขาที่ต่างประเทศได้แล้ว ติดต่อทั้งคืนก็ไม่ได้ โทรไปหาเพื่อนแม่ที่อยู่เมืองเดียวกัน เขาก็ตอบไม่รู้...ข่าวล่าสุดคือเขากับสามีกำลังเดินทางเที่ยวรอบโลก ไม่ยอมให้เบอร์ติดต่อกับใคร ดูท่าต้องการความเป็นส่วนตัวมาก ๆ”

            “ที่บ้านเขาไม่มีคนอื่นอยู่เลยหรือครับ”

            “ไม่มีคนรับสายเลยลูก มีแต่เสียงเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ให้ฝากข้อความไว้...แม่ก็ฝากข้อความไว้กับเครื่องแล้วละ แต่ไม่รู้เขาจะกลับมาฟังเมื่อไหร่”

            ชายหนุ่มถอนใจ เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่าแม่คงเหนื่อย และท้อใจไม่แพ้กัน เขาจะแสดงความอ่อนแอ หมดหนทางให้แม่รู้ไม่ได้เด็ดขาด

            “ตอนนี้แม่เข้านอนก่อนเถอะครับ หลับให้สบาย ผมว่าสักสาย ๆ เราอาจได้ข่าวดีจากคนฟังวิทยุก็ได้ หรือไม่ หมอน้ำทิพย์อาจจะหาเลือดให้เราได้แล้ว” เขาพูดอย่างมีความหวัง

            “จ้ะ...แม่ก็คิดอย่างนั้น”

            วางสายโทรศัพท์จากแม่ รอบตัวเหลือเพียงความเงียบงัน เลียบเมืองมองน้องสาวด้วยจิตใจเป็นห่วง ดวงหน้าที่เคยใสแจ่ม ดวงตาสุกใส รอยยิ้มซุกซน กลับเปลี่ยนเป็นเผือดซีด ริมฝีปากแห้ง ผอมบางแทบจะปลิวลม

            เขาถอนใจอย่างเหนื่อยหนัก คิดอะไรไม่ออก สมองล้า เผลอหลับเป็นวูบ ๆ รู้สึกตัวเมื่อฟ้าสว่าง จึงเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า ล้างตา ทำธุระส่วนตัว



            เลียบเมืองได้ยินเสียงเคาะประตู และเปิดตามหลัง คิดว่าเป็นพยาบาลมาดูอาการ วัดอุณหภูมิให้ปันปัน จึงไม่รีบออกจากห้องน้ำ...นึกแปลกใจที่เพียงไม่กี่นาที ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออกไป ฉุกใจรีบออกจากห้องน้ำดูปันปันที่เตียง พบว่าปลอดภัย ปกติดีค่อยถอนใจ โล่งอก

            ทว่า...นัยน์ตากลับสะดุดกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เอื้อมมือหยิบมาอ่านอย่างสนใจ...

            ข้อความในกระดาษทำให้เขาเบิกตากว้าง ประหลาดใจแกมยินดี หันมองทางประตูแล้วรีบไปเปิดออก ชะโงกหน้ามองหาใครบางคนที่น่าจะไปไม่ไกล

            บนทางเดินหน้าห้องคนไข้โล่งว่าง ไม่มีใครสักคนผ่านมาในสายตา ไม่มีกระทั่งพยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ที่มักเข็นรถผ่านมาให้เห็นเสมอ

            ชายหนุ่มก้มมองดูข้อความในกระดาษปริศนาแผ่นนั้นอีกครั้ง ชื่อ ๆ หนึ่งผุดเด่นลอยออกมากระทบสายตา กระแทกความรู้สึกอย่างจัง...

            “ปัณรสี ...ที่ตามมาคือเบอร์โทรศัพท์ และชื่อโรงแรม รวมถึงหมายเลขห้องพัก

            ปัณรสีแม่ของปันปันอยู่เมืองไทย พักโรงแรมกลางกรุงเทพฯ ไม่ไกลจากโรงพยาบาลแห่งนี้...

            นี่เป็นเรื่องจริง หรือมีใครแกล้งหยอกล้อ!

            เลียบเมืองไม่ลังเลใจเลยที่จะยอมเชื่อ...ต่อให้เป็นเรื่องโกหก เรื่องล้อเล่น เขาก็พร้อมที่จะยอมเป็นตัวตลกต่อหน้าคนที่มีเจตนาแกล้งคนนั้น

            ชายหนุ่มกดหมายเลขโทรศัพท์อย่างไม่รั้งรอ คอยฟังเสียงตอบรับ ใจจดใจจ่อ ราวกับว่าแต่ละวินาทีช่างผ่านไปนานชั่วกัปชั่วกัลป์




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างทำงานด้วยจิตใจกระวนกระวายตลอดเช้า ถ้าหากไม่ใช่ใกล้จะหมดระยะเวลาฝึกงาน หล่อนคงขอลาไปเอาใจช่วยปันปันที่โรงพยาบาลแน่

            “พี่มุก บ่ายนี้คุณหญิงท่านจะเข้ามาเซ็นเอกสารหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามเลขาตัวจริง

            “ไม่แน่ใจจ้ะ พี่โทรไปถามท่านเมื่อตอนสาย เห็นบอกว่ายังไม่แน่ กำลังติดต่อธุระสำคัญ” มุกดาตอบ พลางถามกลับอย่างสนใจ “ลานมีเอกสารด่วนหรือเปล่า? ถ้าจำเป็นจริง ๆ เอาไปให้ท่านเซ็นที่โรงพยาบาลก็ได้”

            “เอ่อ...ยังไม่มีค่ะ...ถามเผื่อเอาไว้” ลานน้ำค้างตอบเสียงอุบอิบ “พี่มุกทราบมั้ยคะว่าท่านติดธุระสำคัญอะไร”

            หญิงสาวแกล้งหยั่งถาม ทั้งที่พอเดาออก

            “เรื่องของหนูปันปัน ลูกสาวท่านนั่นแหละ” พี่มุกตอบอย่างไม่ปิดบัง “จริงสิ พี่ก็ไม่เคยเล่าให้ลานฟัง...คือ น้องปันปันเธอป่วยอยู่โรงพยาบาล ต้องผ่าตัด แล้วตอนนี้กำลังหาเลือดมาสำรองอยู่”

            “หาได้หรือยังคะ” ลานน้ำค้างถามแบบหน้าซื่อ

            “ท่านบอกว่าได้ชื่อ ที่อยู่ของคนที่อาจมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับน้องปันปันแล้ว กำลังติดต่ออยู่” พูดจบพี่มุกก็มองหล่อนอย่างสงสัย “เอ...วันนี้น้องลานเป็นอะไรจ๊ะ ถึงสนใจเรื่องของเจ้านายขนาดนี้”

            “ก็...อยากรู้น่ะค่ะ” ตอบตรงแบบไม่ปิดบัง คำตอบง่าย ๆ กลับทำให้อีกฝ่ายหมดข้อสงสัยง่าย ๆ เหมือนกัน



            เวลาผ่านไปจนเกือบเที่ยง โทรศัพท์บนโต๊ะของมุกดา เลขาท่านประธานฯ ก็ดังขึ้น เจ้าของโต๊ะรับสายอย่างรวดเร็วกระตือรือร้น ลานน้ำค้างแอบมองอย่างสนใจ สังหรณ์ว่าน่าจะเป็นข่าวจากคุณหญิงรัดเกล้า

            สังหรณ์ของลานน้ำค้างแม่นยำเหมือนตาเห็น พอมุกดาวางสายก็หันมาบอกหล่อนทันที

            “คุณหญิงท่านโทรมาแล้วจ้ะ บอกว่าวันนี้ไม่เข้าออฟฟิศแน่ จะรอลูกสาวผ่าตัด ถ้ามีงานด่วนจะให้เซ็น ก็เอาไปที่โรงพยาบาลได้เลย”

            “เรื่องเลือดไม่มีปัญหาใช่มั้ยคะ” ลานน้ำค้างอดถามไม่ได้

            “คงไม่มีมั้ง ไม่งั้นก็คงผ่าตัดไม่ได้ ท่านไม่ได้บอกอะไรพี่มากหรอกหนู”

            เท่านี้ลานน้ำค้างก็โล่งอก สบายใจเปลาะหนึ่ง ที่เหลือคงเป็นหน้าที่ของหมอ ว่าจะผ่าตัดรักษาอย่างไรต่อไป

            อดนึกถึงดวงวิญญาณเมื่อคืนไม่ได้...ทุกคนในบ้านคุณหญิงจะรู้หรือไม่นะ ว่าดวงวิญญาณของหัวหน้าครอบครัวยังเป็นห่วงอยู่เสมอ...ห่วง...จนไม่สามารถอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่านี้ได้...

            ใจที่ผูกพัน มีความกังวลต่อครอบครัวคนข้างหลัง เป็นดวงจิตฝ่ายอกุศล พาให้ไปเกิดในอบายภูมิ...แม้ภพที่สามีคุณหญิงอยู่ จะไม่ทุกข์ทรมานเท่าในนรก อย่างไรเสียก็ไม่อาจเรียกได้ว่ามีความสุข บุญกุศลที่สั่งสมมาครั้งยังเป็นคนไม่อาจส่งผลเต็มที่...นับว่าเสีย “ชาติ” แห่งการเกิดเป็นมนุษย์อย่างน่าเสียดาย

            ลานน้ำค้างไม่อาจรู้จักสภาวะของวิญญาณดวงนั้นเต็มที่ ...เท่าที่เห็นเพียงนี้ ก็อดนึกสลดสังเวชใจไม่ได้แล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ร้านอาหารติดกระจกรอบ ภายในตกแต่งหรูหรา มีสไตล์เฉพาะตัว ตั้งอยู่ชั้นล่างอาคารสำนักงานมีชื่อเสียง... ลูกค้าไม่มากนัก อาจเพราะราคาอาหารที่แพงเกินกว่าชาวมนุษย์เงินเดือนจะยอมมาเป็นลูกค้าประจำ แต่นั่นก็ทำให้ได้ลูกค้าอีกระดับ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ไม่อยากให้คนทั่วไปพบเห็นง่าย ๆ

            โดมแต่งตัวเซอร์ ๆ โทรม ๆ เช่นเดิม ไม่สนใจว่าจะขัดกับบรรยากาศหรูหราของร้านอาหารหรือไม่ อาหารที่วางตรงหน้าแทบไม่มีร่องรอยแตะชิม เขาไม่ชอบที่แบบนี้ แต่ไม่สามารถเลือกได้ เนื่องจากคนนัด ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง

            เด็กหนุ่มมองบุคคลตรงหน้าด้วยแววตาเฉยเมย ไม่ยอมเอ่ยปากก่อน ทำท่าราวกับเหน็ดเหนื่อยที่จะพูดจา ความเงียบเป็นกำแพงกั้นกลางระหว่างคนทั้งสอง กำแพงความเงียบนี้ ดูมีพลังประหลาดกดดันจนไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

            ครู่ใหญ่ ฝ่ายคนนัดต้องยอมเอ่ยปากก่อน

            “สบายดีหรือเปล่า” น้ำเสียงใส กังวานของผู้หญิง

            โดมแค่พยักหน้า ไม่ยอมพูดจา อีกฝ่ายได้แต่ถอนใจ เหน็ดเหนื่อย...ท้อ

            “สบายดีแล้วทำไมที่หน้ามีรอยช้ำ” รอยช้ำนั้นจางลงจนยากสังเกต หากผู้พูดไม่มีความใส่ใจในตัวเขาอย่างละเอียด คงไม่สามารถมองเห็น ทักถูก

            “ที่นัดให้ผมมาพบ มีเรื่องพูดแค่นี้ใช่มั้ย” น้ำเสียงแข็ง เกือบห้วน

            “ตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำไมไม่อยู่ห้องเช่าเดิม”

            เด็กหนุ่มชะงัก ตวัดสายตามองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววโกรธ กึ่งรำคาญใจ

            “ทำไมต้องคอยมาอยากรู้ ตามสืบ ด้วยว่าผมอยู่ที่ไหน ทำอะไร”

            อีกฝ่ายถอนใจ ฝืนหัวเราะขื่น ๆ

            “คนเป็นแม่ ทำไมถึงอยากรู้เรื่องของลูกไม่ได้”

            โดมขบกรามแน่น มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเจ็บปวด มีวาจามากมาย ที่อยากพูด อยากระบาย ลำคอกลับมีก้อนแข็ง ๆ จุกตัน สามารถหลุดคำพูดมาได้เพียงสั้น ๆ ขื่นขม

            “ผม...สบาย...ดี” นัยน์ตาแข็งกร้าว “ถ้าอยากรู้เรื่องของผม ตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว หมดธุระแล้วใช่มั้ย”

            “โดม...” เสียงเรียกอ่อนโยนนักหนา ไม่ต่างจากเสียงมารดาที่เคยได้ยินในวัยเยาว์ ตรึงเขาไว้กับเก้าอี้ ไม่อาจขยับตัว ไม่สามารถหลุดถ้อยคำทำร้ายจิตใจฝ่ายตรงข้ามได้อีก

            “แม่เป็นห่วง...แม่รักลูกมากนะ ถ้ามีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกมาเถอะ”

            เด็กหนุ่มนิ่งฟังด้วยความรู้สึกยากอธิบาย อารมณ์หลากหลายประดังขึ้นมาจนเกินระงับ ดวงตาคู่สวยหลับลง ราวกับต้องการข่มใจ ก่อนเปิดเปลือกตา พร้อมคำถามง่าย ๆ

            “ได้สิ...ตอนนี้ผมไม่มีที่อยู่ ให้ผมไปอยู่กับแม่ได้มั้ย”

            ลูกถามเช่นนี้ คนเป็นแม่ทั่วไปคงไม่มีใครปฏิเสธ หนำซ้ำยังดีใจที่ลูกชายอยากมาอยู่ด้วย แต่หลังคำถามนี้ ‘คนเป็นแม่’ ยังนิ่งงัน กำแพงความเงียบอันน่าอึดอัดกางกั้นทั้งสองอีกครั้ง

            โดมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เขาเลื่อนเก้าอี้ออก เตรียมลุกขึ้น จบการสนทนา ปิดฉากการนัดพบครั้งนี้

            “โดม...” เสียงคนเป็นแม่ยังหยุดลูกชายได้อีกครั้ง

            “แม่ซื้อคอนโดให้ดีมั้ย ลูกจะได้อยู่สบายกว่า มีอิสระด้วย”

            เด็กหนุ่มเงยหน้าสบกับดวงตาคู่สวยที่ไม่ผิดแผกจากเขา...แม่คงไม่เข้าใจ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำขอนั้น...

            คำตอบที่เรียบสนิท เฉยเมยหลุดออกจากปาก

            “ตอนนี้ผมก็มีอิสระดีอยู่แล้ว”

            โดมขยับตัวจะลุกขึ้น มือเรียวยาวรีบเอื้อมมาฉุดรั้งมือเขาไว้ เด็กหนุ่มมองมือเล็ก ๆ ที่เกาะกุมมือตนเองอยู่นี้... มันไม่ยากเลย หากจะสะบัด แล้วเดินจากไป

            ...แต่ทำไมมือของเขาถึงอ่อนล้านัก หมดแรงจนไม่มีความคิดอยากขัดขืน...

            “มีธุระอะไรกับผมอีก”

            “แม่รู้ว่าตอนนี้โดมกำลังลำบาก” พูดพร้อมยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือ “ขอให้แม่ได้ช่วยโดมบ้างเถอะ”

            เด็กหนุ่มมองเงินในกำมือ นิ่งอั้นครู่ใหญ่ และก่อนที่มือเรียวบางของแม่จะชักกลับ เขาก็พลิกมือตนเอง ยัดเงินจำนวนนั้นคืนใส่มือให้แม่

            “ผมยอมรับว่าต้องลำบากแน่ ๆ ถ้าออกมาจากบ้านนั้น...ถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้วล่ะ”

            “โดม...” เสียงเรียกอ่อนใจ

            “ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้” พูดพลางรีบลุกขึ้น เตรียมจากไป

            “ถ้าอย่างนั้นแม่ขอนะ ยังไงโดมก็รับโทรศัพท์แม่ด้วย อย่าทำเฉย”

            โดมไม่ตอบ กิริยาเดินช้า ๆ ออกจากร้านอาหารเหมือนไม่สนใจความรู้สึกฝ่ายตรงข้าม

               ทว่า...ในแววตาคู่นั้น...ทอประกายบางอย่างที่มีทั้งความเจ็บปวด ขมขื่น และอ้างว้างอยู่เต็มล้น



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP