ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

โลกายติกสูตร ว่าด้วยพราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๑๗๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ


[๑๗๖] ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ผู้รอบรู้คัมภีร์โลกายตะ
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีอยู่หรือหนอ.
. พราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่นี้
เป็นทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่หนึ่ง.
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่หรือ.
. พราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่นี้
เป็นทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สอง.
โล. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันหรือ.
. พราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันนี้
เป็นทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สาม.
โล. พระโคดมผู้เจริญ ก็สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันหรือ.
. พราหมณ์ ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกันนี้
เป็นทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกที่สี่
พราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง
ไม่เข้าใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
เพราะอวิชชาดับด้วย สำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชราและมรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้


[๑๗๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว
โลกายติกพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง
หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม
กับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอท่านพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.


โลกายติกสูตร จบ



(โลกายติกสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๖)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP