จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

พิจารณาตนเอง


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it



193 destination



เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๙ ผมได้เห็นข่าวน่าสนใจเรื่องหนึ่งว่า
รัสเซียได้นำขีปนาวุธติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์เข้าประจำการใน
พื้นที่ดินแดนคาลีนินกราดซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับโปแลนด์และลิธัวเนีย
ซึ่งทั้ง ๒ ประเทศนี้เป็นสมาชิกองค์การนาโต้
(ได้แก่ The North Atlantic Treaty Organization หรือ NATO)
ทางสื่อมวลชนของประเทศตะวันตกก็พยายามประโคมข่าวว่า
รัสเซียทำเช่นนี้เพื่อกดดันฝ่ายตะวันตกให้ยอมอ่อนข้อในเรื่องซีเรียและยูเครน
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000101639
http://www.independent.co.uk/news/world/europe/poland-highly-concerned-after-russia-moves-nuclear-capable-missiles-into-kaliningrad-a7352151.html


ถ้าเราอ่านและเชื่อแต่ข่าวที่สื่อมวลชนของประเทศตะวันตกนำเสนอเท่านั้น
เราก็อาจจะเชื่อตามว่ารัสเซียเป็นฝ่ายหาเรื่องประเทศตะวันตก
แต่หากเราได้พิจารณาข้อมูลในอดีต และข่าวอื่น ๆ ประกอบด้วยแล้ว
เราจะพบว่าฝ่ายที่ก่อความวุ่นวาย อันจะทำให้เกิดสงครามก่อน
ก็คือฝ่ายนาโต้นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา
โดยหากเราพิจารณาข้อมูลในอดีตในเรื่องนี้แล้ว
เราจะพบว่าโปแลนด์และลิธัวเนียเป็นอดีตสมาชิกในกลุ่มสหภาพโซเวียต
และทั้งสองประเทศนี้มีพรมแดนอยู่ติดกับรัสเซีย
ซึ่งหากกลุ่มนาโต้ต้องการสันติภาพกับรัสเซียจริง ๆ แล้ว
กลุ่มนาโต้ก็ไม่ควรที่จะไปชักชวนให้ทั้งสองประเทศนี้มาอยู่ในกลุ่มนาโต้
ซึ่งกลุ่มนาโต้ได้ให้สองประเทศนี้มาอยู่ในกลุ่มนาโต้ยังไม่พอ
สหรัฐอเมริกายังนำขีปนาวุธไปติดตั้งในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกอีกด้วย
โดยอ้างว่าเป็นขีปนาวุธระบบป้องกัน (ซึ่งแม้ว่าจะอ้างว่าเป็นระบบป้องกันก็ตาม
แต่ขีปนาวุธเหล่านี้ก็สามารถใช้โจมตีรัสเซียได้ ไม่ใช่แค่ใช้ยิงป้องกันเท่านั้น)
ทำให้รัสเซียต้องออกมาตรการมาตอบโต้โครงการดังกล่าว
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000154564


จริง ๆ แล้ว กรณีนี้ไม่แตกต่างกับวิกฤติการณ์คิวบาในช่วงปี 1961 – 1962
โดยคิวบาได้พบหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าสหรัฐอเมริกาจะรุกรานคิวบา
ทางคิวบาและรัสเซียจึงตกลงจะติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ในคิวบา
ซึ่งหากคิวบามีขีปนาวุธนิวเคลียร์แล้ว ก็ย่อมสามารถยิงใส่สหรัฐอเมริกาได้โดยง่าย
การจะติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ให้คิวบา จึงเป็นอันตรายต่อสหรัฐอเมริกาโดยตรง
และก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกา และรัสเซีย
จนเกือบจะก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์เสียแล้ว
แต่ต่อมา วิกฤติการณ์ดังกล่าวได้จบลง ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1962
สหรัฐอเมริกาและรัสเซียได้ทำข้อตกลงกัน
โดยรัสเซียจะล้มเลิกการติดตั้งขีปนาวุธในคิวบา
เพื่อแลกกับการที่สหรัฐอเมริกาจะยกเลิกการบุกคิวบา
และสหรัฐอเมริกาจะต้องถอนขีปนาวุธออกจากตุรกี
แต่ในที่สุดแล้ว สหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้ถอนขีปนาวุธออกจากตุรกี
https://th.wikipedia.org/wiki/วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา


สังเกตว่าสหรัฐอเมริกาไม่ยอมให้รัสเซียไปติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ให้คิวบา
เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
แต่สหรัฐอเมริกาเองกลับไปติดตั้งขีปนาวุธให้แก่โปแลนด์ และลิธัวเนีย
ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซียเสียเอง และเมื่อรัสเซียออกมาตรการเพื่อตอบโต้แล้ว
ทางสื่อมวลชนของประเทศตะวันตกก็ประโคมข่าวว่ารัสเซียมุ่งจะรุกราน
ทั้ง ๆ ที่รัสเซียนั้นได้เคลื่อนย้ายการติดตั้งขีปนาวุธในพื้นที่ประเทศตนเอง
แตกต่างกับสหรัฐอเมริกาที่ได้ไปสร้างฐานทัพในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
รวมกว่า ๘๐๐ ฐานทัพในมากกว่า ๗๐ ประเทศ
http://www.politico.com/magazine/story/2015/06/us-military-bases-around-the-world-119321


นอกจากนี้ เรายังได้เห็นกลุ่มนาโต้นำกองทัพไปรุกรานประเทศอื่น ๆ
ยกตัวอย่างเช่น อิรัก ลิเบีย และซีเรีย เป็นต้น
หลายท่านที่ทราบหรือติดตามข่าวเรื่องดังกล่าวแล้ว
ก็คงมุ่งหวังที่ต้องการจะให้เกิดสันติภาพและหลีกเลี่ยงสงคราม
แต่โอกาสก็คงจะเป็นไปได้ยากที่จะเกิดสันติภาพอย่างแท้จริงในโลกใบนี้
เพราะในเมื่อประเทศมหาอำนาจทั้งหลายยังหารายได้จากการขายอาวุธ
จึงย่อมต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ เพื่อที่จะทำรายได้ดังกล่าว
ซึ่งประเทศที่ทำรายได้จากการขายอาวุธมากที่สุดในโลกนี้ ก็คือสหรัฐอเมริกานั่นเอง
โดยมากกว่าร้อยละ ๕๐ ของตลาดค้าอาวุธทั่วโลกนั้นเป็นของสหรัฐอเมริกา
http://time.com/4161613/us-arms-sales-exports-weapons/


ในเมื่อสหรัฐอเมริกาทำรายได้จากการค้าอาวุธในแต่ละปีเป็นจำนวนมหาศาล
แล้วเราจะมุ่งหวังให้สหรัฐอเมริกาสร้างสันติภาพ
เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ลดการซื้ออาวุธนั้น ก็คงจะแทบเป็นไปไม่ได้
ดังที่เราจะเห็นได้ว่าสหรัฐอเมริกาพยายามมุ่งสร้างความขัดแย้งในที่ต่าง ๆ
เช่น พยายามจะนำขีปนาวุธไปติดตั้งในเกาหลีใต้
งทำให้เกิดความกดดันและตึงเครียดแก่เกาหลีเหนือ และจีน เป็นต้น
http://www.manager.co.th/Around/Viewnews.aspx?NewsID=9590000072235
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000068209


ตราบใดที่อเมริกาและกลุ่มนาโต้ยังเอาแต่โทษความผิดให้แก่ประเทศอื่น ๆ
โดยไม่หันกลับมาพิจารณาตนเองว่าตนเองเป็นฝ่ายที่ก่อความวุ่นวาย
และก่อสงครามหรือไม่แล้ว อเมริกาและกลุ่มนาโต้ก็ย่อมจะไม่เห็นโทษของตนเอง
และก็จะจมอยู่ในแนวทางก่อสงครามในโลกใบนี้เรื่อยไป


ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นนั้นก็เป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศนะครับ
ซึ่งในระดับบุคคลแล้ว เราก็ย่อมจะมีความขัดแย้งกับบุคคลอื่น
หรืออาจจะทะเลาะหรือไม่ชอบใจกับบุคคลอื่นได้เป็นธรรมดา
แต่หากเราจะมัวแต่โทษความผิดให้คนอื่น หรือมองแต่ว่าคนอื่นผิด
โดยที่เราไม่เคยคิดจะพิจารณาตนเอง หรือความผิดของตนเองแล้ว
ก็มักจะเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งหรือทะเลาะกันเรื่อยไปไม่สิ้นสุด


เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีญาติธรรมท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า
มีผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งได้ตำหนิการทำงานในหน่วยงาน

ว่าทำงานล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงมาก
ซึ่งทำให้หลายคนในหน่วยงานนั้น (รวมทั้งญาติธรรมท่านนั้นด้วย)
ไม่พอใจในการตำหนิของผู้บังคับบัญชาดังกล่าว
ผมได้ฟังแล้วก็สอบถามว่า แล้วงานล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพจริงหรือไม่
ญาติธรรมท่านนั้นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า จริง
ผมจึงเสนอความเห็นว่า ถ้างานเราล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพจริง ๆ แล้ว
สิ่งที่สำคัญที่เราควรจะสนใจก็คือ
แต่ละคนที่เกี่ยวข้องในหน่วยงานควรจะช่วยกันปรับปรุงตนเอง
เพื่อให้ทำงานมีประสิทธิภาพ และไม่ล่าช้า
ไม่ใช่ไปให้ความสำคัญกับถ้อยคำตำหนิที่รุนแรง
และในอันที่จริงแล้ว เราควรจะขอบคุณผู้บังคับบัญชาท่านนั้นเสียด้วย
ที่ได้มาตักเตือนหรือตำหนิพวกเรา เพื่อให้พวกเราทำงานได้ดีขึ้น
ซึ่งหากพวกเราไม่พิจารณาตนเอง และปรับปรุงตนเองแล้ว
พวกเราก็จะจมปลักอยู่กับความไร้ประสิทธิภาพและความล่าช้าไปเรื่อย ๆ


ใน “อนุมานสูตร” (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์) ได้เล่าว่า
ในสมัยหนึ่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวคำสอนว่า
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นคนมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามกหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนมีความปรารถนาลามก
ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามกจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า เราเป็นคนยกตนข่มผู้อื่นหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนยกตนข่มผู้อื่นจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำแล้วหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำแล้วจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธเพราะความโกรธเป็นเหตุหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธ
เพราะความโกรธเป็นเหตุจริง ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า เราเป็นคนมักโกรธ
มักระแวงจัดเพราะความโกรธเป็นเหตุหรือไม่
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนมักโกรธ
มักระแวงจัดเพราะความโกรธเป็นเหตุจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นคนมักโกรธ เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนมักโกรธ เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับโต้เถียงโจทก์หรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับโต้เถียงโจทก์จริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับรุกรานโจทก์หรือไม่
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับรุกรานโจทก์จริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับปรักปรำโจทก์หรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับปรักปรำโจทก์จริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน พูดนอกเรื่อง
แสดงความโกรธ ความมุ่งร้าย และความไม่เชื่อฟังให้ปรากฏหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่าเราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง กลับเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน
พูดนอกเรื่อง แสดงความโกรธ ความมุ่งร้าย และความไม่เชื่อฟังให้ปรากฏจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง ไม่พอใจตอบในความประพฤติหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นจำเลยถูกโจทก์ฟ้อง
ไม่พอใจตอบในความประพฤติจริง ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมที่ชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า เราเป็นคนลบหลู่ ตีเสมอหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนลบหลู่ ตีเสมอจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า เราเป็นคนริษยา เป็นคนตระหนี่หรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนริษยา เป็นคนตระหนี่จริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า เราเป็นคนโอ้อวด เจ้ามายาหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนโอ้อวด เจ้ามายาจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า เราเป็นคนกระด้าง ดูหมิ่นผู้อื่นหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนกระด้าง ดูหมิ่นผู้อื่นจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า
เราเป็นคนถือเอาแต่ความเห็นของตน ถือรั้น ถอนได้ยากหรือไม่?
หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่าเป็นคนถือเอาแต่ความเห็นของตน ถือรั้น ถอนได้ยากจริง
ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย


ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากภิกษุพิจารณาอยู่
เห็นชัดอกุศลธรรมอันชั่วช้าเหล่านี้ทั้งหมดที่ยังละไม่ได้ในตน
ภิกษุนั้นก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้าทั้งหมดเหล่านั้น
หากพิจารณาอยู่ เห็นชัดอกุศลธรรมอันชั่วช้าทั้งหมดเหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน
ภิกษุนั้นพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นทีเดียว
หมั่นศึกษาทั้งกลางวันกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย.


ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อุปมาเหมือนสตรีหรือบุรุษรุ่นกำดัด
ชอบโอ่อ่าส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกเงา หรือในภาชนะน้ำใสสะอาดบริสุทธิ์
ถ้าเห็นธุลีหรือสิวบนในหน้านั้น ย่อมพยายามที่จะให้ธุลีหรือสิวนั้นหายไป
หากไม่เห็นธุลีหรือสิวบนใบหน้านั้น ก็จะรู้สึกพอใจว่า ช่างเป็นลาภของเรา
ใบหน้าของเราบริสุทธิ์สะอาด ดังนี้ ฉันใด
แม้ภิกษุหากพิจารณาอยู่ เห็นชัดอกุศลธรรมอันชั่วช้าทั้งหมดเหล่านี้ ที่ยังละไม่ได้ในตน
ภิกษุนั้นก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้าทั้งหมดนั้นเสีย
แต่ถ้าเมื่อพิจารณาอยู่ เห็นชัดอกุศลธรรมอันชั่วช้าทั้งหมดเหล่านี้ที่ละได้แล้วในตน
ภิกษุนั้นพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นทีเดียว
หมั่นศึกษาทั้งกลางวันกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้น นั่นแล.
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/v.php?B=12&A=3185&Z=3448&pagebreak=0



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP