วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๗



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            คุณดาริกากลับถึงบ้านตอนเย็น นึกแปลกใจที่ลูกสาวเข้าครัว ทำอาหารจัดใส่ปิ่นโต กลิ่นหอมฉุย

            “เอ...วันนี้มีอะไรพิเศษเอ่ย ลานของแม่ถึงลงมือเข้าครัวเอง”

            หญิงสาววางมือจากปิ่นโตเข้าไปกอดเอวแม่หลวม ๆ พูดจาฉอเลาะ

            “แหม ลูกสาวกตัญญูอยากเข้าครัวทำอาหารเย็นให้คุณแม่คนสวย ไม่เห็นต้องมีโอกาสพิเศษอะไรสักหน่อย”
    
            “ทำให้แม่ แล้วใส่ปิ่นโตให้ใครจ๊ะ” คนเป็นแม่รู้ทัน

            ลานน้ำค้างหัวเราะแหะๆ ตอบอย่างไม่ปิดบัง

            “ให้โดม...เด็กที่มาอยู่บ้านเจ้าหมูน่ะค่ะ”

            “โดม?...เป็นใครจ๊ะ ปกติแม่ไม่เคยเห็นบูรพาเขามีญาติพี่น้องที่ไหนมาพักเลย”

            “คือ...เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ”

            ลานน้ำค้างเล่าเรื่องของโดมเท่าที่พอรู้ทั้งหมดให้แม่ฟัง ก่อนจะลงท้ายว่า...

            “ลานเห็นน้องเขายังเจ็บตัวอยู่ ร่างกายไม่แข็งแรง ก็เลยชวนให้พักบ้านเจ้าหมูชั่วคราวก่อน”

            “อ้าว แล้วบูรพาไม่ว่าอะไรหรือลูก จู่ ๆ ก็พาคนแปลกหน้ามานอนบ้านเขา”

            “จะว่าอะไรล่ะคะ แหม...ก็ช่วยน้องเขามาด้วยกัน เจ้าหมูก็ขี้สงสารพอ ๆ กับลานนั่นแหละ”

            “แล้วพ่อแม่เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำไมถึงโดนรุมทำร้าย ถามเขาดูหรือยัง ถ้าไม่ดูให้ดีก่อนพาเข้าบ้านมันอันตรายนะลูก” คุณดาริกาเป็นห่วงตามประสาผู้ใหญ่เห็นโลกมามาก ฟังข่าวร้ายมาเยอะ

            “โธ่...แม่ขา เจ้าหมูเป็นผู้ชายตัวเบ้อเริ่มขนาดนั้น ใครจะกล้าทำอะไร มีแต่น้องเขาจะกลัวเจ้าหมูมันปล้ำเอาน่ะไม่ว่า ผู้ชายอะไรหน้าสวยชะมัด... อีกอย่าง บ้านของมันก็ไม่มีอะไรให้ปล้น ขนาดเครื่องครัว หม้อหุงข้าวยังไม่มีเลย ลานต้องมาทำกับข้าวใส่ปิ่นโตไปให้กินกันนี่ไง”

            คนเป็นแม่ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย ฟังดูน่าเป็นห่วง ควรจะระแวดระวังไว้บ้าง เด็กหนุ่มนักดนตรีที่ไหนก็ไม่รู้ มีเรื่องกับพวกวินมอเตอร์ไซค์จนสะบักสะบอม แถมยังหนีออกจากโรงพยาบาลโดยไม่มีเหตุผลอีก

            “แล้วทำไมเขาต้องหนีออกจากโรงพยาบาลด้วย อยู่ที่นั่นอย่างน้อยก็มีที่หลับที่นอน” แม่ตั้งข้อสงสัย

            “ไม่ทราบสิคะ พอถามแล้วน้องเขาก็ไม่ตอบ เลยไม่อยากเซ้าซี้” ลานน้ำค้างบอกง่าย ๆ

           “ตายแล้ว ขนาดนี้ยังไว้ใจให้อยู่บ้านได้อีก” คุณแม่อ่อนใจ

            “ลานว่าเขาไม่อยากโกหกมากกว่า แบบนี้ดูจริงใจออก ดีกว่ามานั่งปั้นเรื่อง แต่งนิทานหลอกกัน” หญิงสาวมีเหตุผลอีกแง่ คนเป็นแม่ได้แต่ถอนใจ

             การไม่พูด ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องการโกหกเสมอไป...การไม่พูดจา อาจหมายถึง ยังหาเรื่องโกหกที่สมเหตุสมผล มาเล่าให้ฟังไม่ได้ ก็ได้

            ถึงตรงนี้ แม่คร้านที่จะขัดน้ำใจสองหนุ่มสาว บูรพาเป็นคนจิตใจดี ไม่จุกจิกคิดมาก อีกทั้งบ้านหลังนั้นก็ว่างจริง ๆ ลานน้ำค้างพูดถูก ถ้าโจรคนไหนหลงเข้าบ้านบูรพา มันคงไม่รู้จะเลือกขโมยทรัพย์สินอะไร บ้านทั้งหลังจะหาข้าวของที่มีราคา พอคุ้มกับค่าเสี่ยงคุกตารางไม่ได้เลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            โดมไม่รู้สึกแปลกที่กับบ้านหลังนี้ อาจเป็นเพราะมันสมกับเป็นบ้านชายโสดขนานแท้ ข้าวของ เฟอร์นิเจอร์มีน้อยชิ้น วางเป็นระเบียบเท่าที่ทำได้ บริเวณบ้านไม่กว้างเกินไป เดินไม่กี่ก้าวก็สำรวจจนหมด เข้าใจทันทีว่าทำไมเจ้าของบ้านถึงใจดี ยอมให้คนแปลกหน้ามาพักโดยไม่หวาดระแวง

            ทั้งบ้านเห็นจะมีของที่เอาเข้าโรงรับจำนำได้อย่างเดียว คือโทรทัศน์ขนาด ๒๙ นิ้วรุ่นเก่า ซึ่งดูแล้วเจ้าของบ้านคงไม่หวง ถ้าหากใครจะลงทุนแบกออกไปขาย

            ตอนแรกที่บูรพากับลานน้ำค้างเอ่ยปากชวนพักที่นี่ชั่วคราว โดมไม่กล้าผลีผลามรับปาก หนึ่งคือเกรงใจ สองคือไม่ไว้ใจ การออกมารับผิดชอบตัวเองนอกบ้านทำให้รู้จักเล่ห์เหลี่ยมผู้คน อีกทั้งรู้ว่า ความมีหน้าตาดี อาจชักนำภัยมาสู่ตัวเองได้

            สุดท้ายก็ยอมรับปาก เพราะฝืนร่างกายไม่ไหว เหนื่อย เพลีย อยากพักผ่อนเต็มที

            บูรพาให้พักห้องว่างห้องหนึ่งในบ้าน

            “นอนพักตามสบายเลยนะโดม เดี๋ยวพี่จะออกไปทำงานก่อน”

            ลานน้ำค้างก็รีบกลับบ้าน แต่ยังมีน้ำใจทิ้งท้าย

            “ตอนเย็นพี่จะเอาข้าวมาให้กินนะ ไม่ต้องฝืนออกไปไหนหรอก สภาพเรายังแย่อยู่เลย พักผ่อนมาก ๆ ล่ะ”

            โดมงง คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนมีน้ำใจ และแทบไม่มีจิตคิดระแวงขนาดนี้

            สองหนุ่มสาวออกไป โดมกลายเป็นเจ้าของบ้านโดยปริยาย พยายามเดินสำรวจบ้านจนพอรู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน แล้วก็เข้าห้องเอนหลังนอน ร่างกายยังไม่แข็งแรง รอยฟกช้ำขึ้นเป็นปื้น บาดแผลมีอาการปวดตุบ ๆ แขนขาล้า แทบยกไม่ขึ้น ถ้าได้ยากินสักหน่อยคงดี น่าเสียดายที่เขารีบออกมาโดยไม่ได้นำยาติดตัวมาด้วย

            หลับตานอนสักชั่วโมงก็ตื่น ความเคยชินที่ต้องออกไปเล่นดนตรีตามสวนสาธารณะปลุกเขาขึ้นมา เหลียวดูนาฬิกาก่อนลุกจากท่านอน ร่างกายปวดเมื่อย เจ็บร้าวกว่าเคย เห็นผลของการฝืนสังขาร หนีออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เอง

            เหนียวตัว อยากอาบน้ำ แต่คงทำไม่ได้ เพราะต้องระวังบาดแผล...คันหัว เหม็นศีรษะตัวเองเต็มที จับเส้นผมมาดู พบว่ามันแข็งกรัง คราบเลือดเกาะ บนหัวเขาไม่มีบาดแผล น่าจะเป็นเลือดจากส่วนอื่น ผสมกับความสกปรกที่คลุกดิน คลุกกองขยะ ทนไม่ไหวคงต้องพยายามสระผมก่อน



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างเดินเข้าบ้านบูรพาอย่างคุ้นเคย มือหิ้วปิ่นโต พร้อมกับถุงยามาจากบ้าน สังเกตแต่แรกว่าเด็กหนุ่มไม่มียามาด้วย ก่อนมาที่นี่ได้โทรศัพท์ไปถามหมอน่านเรื่องยา รู้ว่าจะต้องโดนบ่นแบบเดียวกับแม่ แต่หลังจากยอมรับและเข้าใจ คุณหมอก็บอกชื่อยาให้ไปซื้อ พร้อมกับแนะนำเรียบร้อย

            ปิดประตูรั้วเรียบร้อย บูรพาไม่อยู่ ไม่แน่ใจว่าคนป่วยยังหลับหรือเปล่า ไม่อยากรบกวนตั้งใจแค่แอบดูอาการเงียบ ๆ ได้ยินเสียงน้ำจากหลังบ้าน นึกสงสัย วางปิ่นโตกับถุงยาไว้บนระเบียง เดินอ้อมไปตามเสียง พบโดมใส่เสื้อกล้าม นุ่งกางเกงขาสั้น กำลังตักน้ำใส่กะละมังแบบเก้ ๆ กัง ๆ มือไม้ยกไม่ถนัดนัก

            “ทำอะไรน่ะโดม” หญิงสาวเรียกราวกับคุ้นเคยมานาน

            โดมเงยหน้ามอง กำลังขยับปากจะตอบ ก็นึกเขินสภาพตัวเอง

            “สระผมเหรอ” ลานน้ำค้างมองเห็นยาสระผมวางข้างกะละมัง มีม้านั่งตัวเล็กอยู่ใกล้ ๆ

            “สระถนัดเหรอ ไปที่ร้านดีกว่ามั้ย เดี๋ยวพี่พาไปเอง” หญิงสาวเห็นผมยาวที่เกาะเป็นก้อนของเขาก็เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงพยายามสระผมเวลานี้

            “ไม่เป็นไร ผมสระเองได้” โดมรีบตอบ

            ลานน้ำค้างไม่คัดค้าน ยืนดูเด็กหนุ่มตักน้ำใส่กะละมังจนพอ จากนั้นเริ่มล้างผมตัวเองอย่างขัด ๆ ไม่สะดวก เส้นผมแข็งกระด้าง สระ ล้างยาก มือไม้ใช้ไม่ถนัด แถมต้องระวังไม่ให้น้ำโดนแผล ดูท่ากว่าจะสระเสร็จก็พรุ่งนี้เช้า ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวก็คงเปียกม่อล่อกม่อแลกจนได้

            “มา...เดี๋ยวพี่ช่วย” อดรนทนไม่ไหว ลานน้ำค้างลากเก้าอี้อีกตัวมานั่ง ออกปากอาสาโดยไม่มีใครขอร้อง

            โดมเกือบอุทานตกใจ มองหญิงสาวอย่างประหลาด แววตาทอประกายแปลก ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงที่ไม่สนิทคุ้นเคย ยอมมาช่วยสระผมให้แบบนี้

            “ไม่ต้องหรอก ผมทำเองได้” เขาปฏิเสธทันที

            “เหอะน่า เรื่องแค่นี้ช่วยกันได้ คราวก่อนเธอยังช่วยพี่ลุยน้ำลุยโคลนไปหาโทรศัพท์ได้เลย”

            “มันไม่เหมือนกัน...” เขาพูดเสียงอ่อย ไม่หนักแน่นเท่าทีแรก

            “ไม่เหมือนกันยังไง คนไม่มีน้ำใจจริง ๆ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก แล้วก่อนไปเธอยังบอกว่า ขอให้ซ่อมได้ ใช่มั้ยล่ะ พี่เอาไปซ่อมได้จริง ๆ นั่นแหละ เห็นมั้ย” ลานน้ำค้างพูดอย่างสนุกสนาน

            โดมลังเลใจ ลานน้ำค้างจึงใช้หมัดเด็ด

            “ให้พี่ช่วยเถอะ ดูเธอสระเองแล้วมันขัดหูขัดตาพิลึก เดี๋ยวน้ำมันกระเซ็นโดนแผล จะอักเสบเอา...” เว้นช่วง จ้องตาเด็กหนุ่ม แล้วพูดประโยคสำคัญ “หรือว่าเธอถือเรื่องหัวเป็นของสูง ผู้หญิงจับไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

            “เปล่า...” โดมรีบตอบกลัวหล่อนเข้าใจผิด

            ลานน้ำค้างยิ้มเผล่เหมือนได้ชัยชนะ โดมถอนใจก่อนจะยื่นขันน้ำให้

            “ก้มหัวดี ๆ นะ น้ำจะได้ไม่เข้าหู ทนเมื่อยเอาหน่อย แต่มือชั้นนี้แล้ว รับรองเรียบร้อย สะอาดหมดจด”

            โดมนึกขันในใจ มีผู้หญิงที่ไหนจะอวดตัวได้น่ารักแบบนี้อีกมั้ยนะ...

            ลานน้ำค้างตักน้ำราด ค่อย ๆ สางเส้นผมที่แข็งกระด้างอย่างเบามือ จนเส้นผมเปียกชุ่มจึงใส่ยาสระ ขยี้เบา ๆ ฟองยาสระผมแทนที่จะเป็นสีขาว กลับมีสีแดง ชะล้างคราบเลือดค้างคา เป็นการสระผมที่ใช้เวลาพอสมควร ระหว่างนั้นลานน้ำค้างก็พูดคุยแจ้ว ๆ ไม่หยุดปาก เหมือนตนเองเป็นพี่สาวคนโต คอยดูแลน้องชายตัวเล็ก ๆ

            โดมสัมผัสมือนุ่มนั้นด้วยจิตใจอบอุ่นประหลาด เขาไม่ค่อยพูดต่อวาจากับหล่อนนัก ได้ยินเสียงผ่านเข้าหูเรื่อย ๆ แบบนี้ ในใจมีรสหวานกำซาบอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความหวานซึมซาบมีความสุขบอกไม่ถูก

            เขาก้มหน้า ปล่อยเส้นผมปิดลงมา ทว่าริมฝีปากมีรอยยิ้มผุดขึ้นเต็มที่ เป็นรอยยิ้มที่ห่างหายจากใบหน้านานเหลือเกิน

           “เรียบร้อยแล้ว” ลานน้ำค้างใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม ก่อนนำผ้าแห้งอีกผืนมาเก็บพันเส้นผมเขาให้เรียบร้อย ไม่ยาวรุ่ยร่าย

            “แย่จัง บ้านเจ้าหมูไม่มีไดร์เป่าผมด้วยสิ ไม่งั้นพี่จะช่วยเป่าผมให้”

            “ไม่เป็นไร...” โดมพูดค้าง นัยน์ตามองหญิงสาวอย่างกระดาก “เอ่อ...ขอบคุณมากครับ”

            ลานน้ำค้างยิ้มรับคำขอบคุณนั้น ตั้งแต่รู้จักกันมา เด็กหนุ่มคนนี้พูดจาน้อยคำ หากแต่ละคำ ล้วนบอกถึงความรู้สึกในใจเขาได้อย่างดี

            “ไปกินข้าวกันเถอะน้อง” ลานน้ำค้างลุกจากเก้าอี้พลางเอ่ยชวน

            “อย่าเรียกผมว่าน้องเลย...เรียกแค่ชื่อได้มั้ย” โดมเงยหน้าโพล่งขึ้นมา

            “อ้าว...พี่ขอโทษด้วย ไม่รู้ว่า...ไม่ชอบ” หญิงสาวตีหน้าจ๋อย

            “ก็...คุณกับผมอายุคงไม่ห่างกันเท่าไหร่” เขาบอกเสียงอุบอิบ เกรงใจ

            “ได้จ้ะ” ลานน้ำค้างตอบรับ “งั้นโดมก็อย่าเรียกพี่ว่าคุณเลย จะเรียกชื่อลานเฉย ๆ หรือเรียกพี่ลานก็ได้ ตามสะดวก”

            “ลาน...” เขาเลือกคำนี้ จากนั้นหุบริมฝีปากสนิท นัยน์ตามีรอยยิ้มวับ ๆ ใบหน้าสะอาดสดใส

            “งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะ แบ่งให้เจ้าหมูมันหน่อย เลิกงานตอนค่ำคงกลับมากินได้พอดี”

            พอลานน้ำค้างพูดถึงเพื่อนชาย รอยยิ้มในดวงตาโดมก็หายวับ ตอบตนเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแปลบหัวใจ ประหลาดขนาดนี้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คุณดาริกานั่งตรวจการบ้านนักเรียนที่ห้องรับแขก รอลูกสาวกลับบ้าน เวลายังไม่ดึกรอบบ้านเงียบสงัด วังเวง ชวนตะครั้นตะครอ หวั่นใจ แต่เธอกลับอบอุ่น เป็นสุข

            บรรยากาศเช่นนี้ไม่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว อาจเพราะในใจสัมผัสถึงกระแสของใครบางคนที่อยู่ใกล้ได้ชัดกว่าปกติ กระแสนั้นคุ้นเคยความทรงจำ จนกล้าบอกกับตนเองว่า ใครคนนั้นอยู่ใกล้เธอเสมอ แม้ไม่อาจพบตัวตนกันเลยก็ตาม

            ตรวจการบ้านเสร็จก็เงยหน้ามองออกนอกประตู พอไม่เห็นวี่แววลูกสาวก็เหลือบมองนาฬิกา แล้วเลื่อนสายตายังรูปถ่ายสามีบนผนัง

            “ลูกเราชักเอาใหญ่แล้วนะพ่อ ค่ำมืดป่านนี้ยังขลุกอยู่บ้านผู้ชายได้” น้ำเสียงตำหนิกึ่งบ่น คล้ายผู้ฟังอยู่ใกล้

            “แต่ยังดีที่เป็นบูรพา...คนนี้แม่ไว้ใจ” คำพูดบอกความมั่นใจ ไม่ใช่มั่นใจแค่ตัวชายหนุ่มที่เห็นกันตั้งแต่เล็ก แต่มั่นใจถึงลูกสาวที่ตนอบรมเลี้ยงดูมาตลอด

            สัมผัสแผ่วของสายลมละไมบอกราวกับยอมรับคำพูดของเธอ...

            คุณดาริกายิ้มอ่อนโยน

            “ลูกเราโตแล้ว...หน้าที่เราคงทำได้แค่คอยดู แล้วก็ประคับประคองห่าง ๆ เท่านั้นเองนะพ่อ”

            ใบหน้าในรูปเหมือนจะมีรอยยิ้มตอบรับ

            เสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับมาจอดหน้าบ้าน คุณดาริกาลุกขึ้นยืน จำเสียงรถบูรพาแม่น ได้ยินอย่างนี้ค่อยคลายใจ

            ประตูหน้าบ้านเปิด เสียงลานน้ำค้างพูดกับบูรพาแว่วมาสองสามคำ ก่อนรถมอเตอร์ไซค์จะวิ่งกลับท้ายซอย

            คุณดาริกาเห็นลูกสาวเดินยิ้มเข้าบ้าน มือถือปิ่นโตเปล่าด้วยใบหน้าแช่มชื่น

            “ไหนบอกแม่ว่าจะเอาปิ่นโตไปให้คนเจ็บอย่างเดียวไง” แม่แกล้งทำเสียงดุ ทั้งที่จริงลูกสาวก็โทรมาบอกแล้วว่าจะอยู่ต่อถึงค่ำ

            “แหม...แม่จ๋า จะทำบุญทั้งที ก็ต้องทำให้ถึงที่สุดสิจ๊ะ” ลานน้ำค้างตอบเสียงหวาน เข้ามาคลอเคลียมารดาไม่ต่างจากลูกแมวตัวน้อย

            “เนี่ย...แม่รู้หรือเปล่า วันนี้ลูกสาวแม่ได้ทำความดีตั้งหลายอย่างแน่ะ” หญิงสาวฉอเลาะแกมอวดตัว

            “ไหน มีอะไรเล่ามาสิ ที่โทรศัพท์มาน่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลย” แม่ดึงลูกสาวมานั่งบนโซฟาด้วยกัน

            “คืออย่างนี้จ้า...” ลานน้ำค้างเริ่มต้นเล่าเรื่อง อธิบายตั้งแต่เข้าบ้าน ตั้งใจเอาปิ่นโตกับยาไปส่งเฉย ๆ แต่เห็นโดมยักแย่ยักยันสระผมตัวเอง เกิดสงสารเลยอาสาไปช่วย...

            “โหย...ถ้าแม่เห็นผมแข็งเป็นสังกะตัง ฟองแชมพูเป็นสีแดงแจ๋นะ รับรองว่าแม่ต้องสงสารโดมน่าดูเลย” หล่อนเรียกคะแนนสงสารให้เด็กหนุ่ม

            “เป็นผู้ชาย ไปไว้ผมยาวทำไม” แม่หาช่องบ่นจนได้

            “แหม เขาเป็นพวกศิลปินนี่แม่” ลานน้ำค้างเถียงแทนแล้วรีบเล่าต่อ “พอสระผมเสร็จ ลานก็ชวนเขาไปกินข้าว ตั้งใจถ่ายของใส่จานชามเสร็จ เอายาให้กินก็จะกลับบ้านแล้ว บังเอิญจริง ๆ ที่ลุงคงเดช พ่อเจ้าหมูกลับมาบ้านพอดี...เฮ้อ...ซวยจริง ๆ ปกติไม่ค่อยกลับบ้าน...วันไหนไม่มา ดันมาวันนี้ เห็นโดมกับลานอยู่บ้านกันสองคนก็เลยเป็นเรื่องเลย...”

            ...มันก็น่าเป็นเรื่องอยู่หรอก...คุณดาริกาคิด...ไม่รู้หรือว่าพ่อของบูรพาอยากให้เจ้าตัวไปเป็นลูกสะใภ้...

            ช่วงเวลานั้นเองที่ลานน้ำค้างแอบโทรศัพท์มาบอกว่าต้องอยู่บ้านบูรพาอีกสักพัก โดยไม่สามารถอธิบายอะไรเพิ่มเติม...

            “ลานก็พยายามเคลียร์กับลุงเขา แต่แม่ก็รู้ ลุงคงเดชแกขี้โวยวาย โผงผางแค่ไหน โดมได้ยินแกพูดสองสามคำก็เก็บกระเป๋าเตรียมออกจากบ้านแล้ว...ลานต้องยื้อไว้ ร่างกายเขาไปไหนไม่ไหวแน่ ก็เลยชวนพวกเขากินข้าวด้วยกันก่อน พอร่วมโต๊ะได้ ลานก็เป็นคนสานสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย รอให้เจ้าหมูมาช่วยอีกแรง...”

            คนเป็นแม่นึกภาพตามได้ไม่ยาก บรรยากาศบนโต๊ะอาหารคงฝืดฝืนเต็มที เด็กหนุ่มผู้เป็นแขกน่าจะอึดอัด ทำตัวลำบาก ฝ่ายเจ้าของบ้านคงแสดงท่าขัดหูขัดตาอย่างเปิดเผย

            คุณดาริกานึกภาพโดม เด็กหนุ่มนักดนตรีในงานวันเกิดตนไม่ออก ฟังจากคำบรรยายลูกสาวที่ว่าเป็นหนุ่มผมยาว เจ้าอารมณ์ ท่าทางไม่สนใจใครในโลก น่าจะทำให้ลุงคงเดชขัดหูขัดตาอย่างแรง ยิ่งอยู่ในบ้านสองต่อสองกับลานน้ำค้าง หญิงสาวที่ตนเอ็นดู และแอบหมายมั่นอยากได้เป็นลูกสะใภ้ ก็ยิ่งทำให้ไม่พอใจ แทบจะเชิญออกจากบ้านตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น

            โชคดีที่บูรพากลับจากงานพิเศษ ทันพบบรรยากาศอึดอัดระหว่างคนทั้งสาม เขาจึงช่วยลานน้ำค้างคลี่คลายปัญหาสำเร็จ

            ลุงคงเดชเป็นโผงผาง พูดจาโวยวายก็จริง เนื้อแท้เป็นคนมีน้ำใจ ขี้สงสาร ใจอ่อนกว่าลูกชายเสียอีก ไม่งั้นคงไม่มีสาว ๆ มากขนาดนี้ ... พอลานน้ำค้างกับบูรพาช่วยกันพูดไม่กี่คำ เขาก็ยอมรับ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ยังตีหน้าขรึม วางท่าเหมือนพ่อหวงลูกสาวอยู่เลย

            “พอคุยกันรู้เรื่อง เจ้าหมูก็ขับมอเตอร์ไซค์มาส่งลานนี่แหละค่ะ” หญิงสาวจบเรื่อง

            คุณดาริกาฟังเรื่องราวแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ คร้านจะพูดจาตักเตือนให้ระวัง ... การรับคนแปลกหน้า ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าให้เข้าบ้านง่าย ๆ แบบนี้มันอันตรายแค่ไหน...บอกไปลูกสาวก็คงไม่เชื่อ ถือว่าเจ้าหนุ่มโดมโชคดีที่มาเจอคนแบบนี้ก็แล้วกัน

            “ค่ำแล้ว รีบไปนอนซะ พรุ่งนี้ยังต้องไปฝึกงานอยู่ใช่ไหม” แม่เปลี่ยนเรื่องคุย

            “ค่ะแม่...แต่ก็ใกล้เสร็จแล้วล่ะ อีกไม่เท่าไหร่เอง”

            “ดีแล้ว” คุณดาริกาพูดพลางนั่งตรวจการบ้านต่อ

            ลานน้ำค้างชะโงกหน้ามาดูแม่ทำงาน

            “ให้ลานช่วยมั้ยจ๊ะ” หญิงสาวอาสา “แป๊บเดียวเสร็จ”

            แม่หัวเราะขัน

            “ไปทำการบ้านตัวเองให้เสร็จก่อนเถอะ ค่อยมาช่วยแม่”

            “แม่จ๋า ลานไม่ใช่เด็กประถมแล้วนะ...เด็กมหา’ลัยเขาไม่มีการบ้านกันหรอก”

            “งั้นก็ไปนอนซะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปฝึกงาน ไม่ต้องให้บูรพาเขามารอ”

            “แม่พูดยังกะลานเคยให้เจ้าหมูรอเป็นชั่วโมงอย่างนั้นแหละ อย่างมากไม่เคยเกินห้านาทีหรอก”

            พูดจบก็นึกได้ พรุ่งนี้หล่อนมีนัดแต่เช้ากับเด็กหญิงคนหนึ่ง... ปันปัน’...เด็กที่มีสัมผัสพิเศษคล้ายเธอ

            “แม่จ๋า...” ลานน้ำค้างขยับจะเล่าเรื่องปันปันให้แม่ฟัง

            “มีอะไร” แม่หันหน้ามาจากกองการบ้านเด็ก ๆ

            “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” หญิงสาวเปลี่ยนใจ “อยากเรียกแม่เฉย ๆ”

            “เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่ อย่ากวนแม่ตอนทำงานสิ” แม่ดุไม่จริงจังนัก ก่อนกลับไปสนใจงานตรงหน้า

            ลานน้ำค้างคลี่ยิ้มบาง ๆ เรื่องนี้ไม่น่าพูดให้แม่ฟังนักหรอก เก็บไว้เป็นความลับเฉพาะตัวดีกว่า




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            โดมนอนลืมตาในความมืด หัวสมองอื้ออึงด้วยหลากเรื่องราว เวียนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย นอกห้องมีแต่ความเงียบสงัด เจ้าของบ้านหลับสนิท ส่วนเขายังข่มตาไม่ลง

            เด็กหนุ่มคิดถึงสภาพตัวเองในปัจจุบัน อดท้อใจไม่ได้ ยิ่งร่างกายอ่อนแอ เจ็บตัวอย่างนี้ ยิ่งอยากยอมแพ้กับทุกเรื่อง

            แต่ถ้ายอมแพ้...ก็แปลว่าทั้งหมดที่ทำมันสูญเปล่า ไร้ความหมาย...

            โทรศัพท์มือถือมีสัญญาณสั่น เรียกเข้า โดมมองมันเนือย ๆ คนที่รู้เบอร์เขา รู้ว่าควรโทรมาในเวลานี้เพราะเขาทำงานกลางคืน น่าจะมีไม่มาก...และมักเป็นคนที่เขาไม่อยากรับสาย

            สัญญาณสั่นเรียกอยู่พักใหญ่ ก่อนหยุด และสั่นใหม่ เหมือนคนโทรไม่ยอมแพ้...ในที่สุดโดมก็หยิบโทรศัพท์มาดูเบอร์ปลายสาย

            นัยน์ตาเขาทอประกายยินดีแวบหนึ่ง ก่อนหรี่แสงหม่นมัว ถอนใจยาวเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญ

            สุดท้ายเขาต้องยอมแพ้กับความพยายามของอีกฝ่าย...

            “สวัสดีครับ” เขารับสาย กรอกเสียงราบเรียบ ห่างเหิน ในวาจาได้ก่อกำแพงป้องกันตัวเองไว้ชั้นหนึ่ง...เป็นกำแพงหนา ที่ฝ่ายตรงข้ามยากจะทะลายเข้ามาได้ง่ายดาย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP