ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

ผัคคุนสูตร ว่าด้วยพระผัคคุนะทูลถามเรื่องอาหาร


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๓๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ เหล่านี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว
หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด
อาหาร ๔ เป็นไฉน. (๑) กวฬีการาหารหยาบหรือละเอียด
(๒) ผัสสาหาร (๓) มโนสัญเจตนาหาร (๔) วิญญาณาหาร
อาหาร ๔ เหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว
หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด.


[๓๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนั้นแล้ว
ท่านพระโมลิยผัคคุนะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอ ย่อมกลืนกินวิญญาณาหาร
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก
เรามิได้กล่าวว่ากลืนกิน (วิญญาณาหาร)
ถ้าเรากล่าวว่ากลืนกิน (วิญญาณาหาร) ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมกลืนกิน (วิญญาณาหาร) แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น
ผู้ใดพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น (พึงถาม) อย่างนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่ออะไรหนอ
อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
วิญญาณาหารย่อมมีเพื่อความบังเกิดในภพใหม่ต่อไป
เมื่อวิญญาณาหารนั้นเกิดมีแล้ว จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ.


[๓๓] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง.
. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่าย่อมถูกต้อง
ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมถูกต้อง ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถูกต้อง แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น
ผู้ใดพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น (พึงถาม) อย่างนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีผัสสะ
อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา.


[๓๔] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมเสวยอารมณ์.
. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมเสวยอารมณ์
ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมเสวยอารมณ์ ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมเสวยอารมณ์ แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น
ผู้ใดถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น (พึงถาม) อย่างนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีเวทนา
อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา


[๓๕] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมทะเยอทะยาน.
. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมทะเยอทะยาน
ถ้าเรากล่าวว่า ย่อมทะเยอทะยาน ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมทะเยอทะยาน แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น
ผู้ใดถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น (พึงถาม) อย่างนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีตัณหา
อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน.


[๓๖] ม. พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถือมั่น.
. ตั้งปัญหายังไม่ถูก เรามิได้กล่าวว่า ย่อมถือมั่น
ถ้าเราพึงกล่าวว่า ย่อมถือมั่น ควรตั้งปัญหาในข้อนั้นได้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า ใครหนอย่อมถือมั่น แต่เรามิได้กล่าวอย่างนั้น
ผู้ใดถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น (พึงถาม) อย่างนี้ว่า
พระพุทธเจ้าข้า เพราะอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีอุปาทาน
อันนี้ควรเป็นปัญหา ควรชี้แจงให้กระจ่างในปัญหานั้นว่า
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัส และอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.


[๓๗] ผัคคุนะ ก็เพราะบ่อเกิดแห่งผัสสะทั้ง ๖ ดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ
ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรามรณะ
โสกปริเทวทุกขโทมนัส และอุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.


ผัคคุนสูตร จบ



(ผัคคุนสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๖)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP