จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

หนีไปแผ่นดินใด ก็ไม่พ้นกรรมชั่ว


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it



192 destination


เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๙ ผ่านมา ผมอ่านพบข่าวเรื่องหนึ่งเล่าว่า
ที่หมู่บ้านสีดอนไซ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ในประเทศลาว
มีชายหนุ่มลาวคนหนึ่งเห็นตุ๊กแก ๒ ตัวบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เขาจึงปีนขึ้นไปไล่จับ เพื่อจะนำไปย่างทำอาหาร โดยเขาจับได้ ๑ ตัวแล้ว
อีกตัวหนึ่งได้หนีลงโพรงขนาดใหญ่ในลำต้น ซึ่งยาวลงไปจนถึงโคนต้น
ชายหนุ่มดังกล่าวได้ไล่ตามและพลัดหล่นลงไปในโพรงไม้ขนาดใหญ่นั้น
โดยไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ เนื่องจากติดอยู่บริเวณหน้าอก


ชายหนุ่มดังกล่าวติดอยู่ในโพรงไม้นั้นข้ามวันข้ามคืนจนกระทั่งมีคนมาพบ
และกว่าที่คนอื่น ๆ จะสามารถช่วยชายหนุ่มคนนั้นออกมาได้
ก็ต้องจึงใช้เลื่อยยนต์ตัดช่วงโคนต้นไม้จากภายนอกเข้าไป
และใช้รถแบ็คโฮช่วยขยายรอยตัดทางหนึ่ง
เพื่อให้เกิดช่องกว้างพอที่จะนำชายหนุ่มคนนั้นออกจากโพรงไม้ได้
ชายหนุ่มคนนั้นติดอยู่ในโพรงไม้เป็นเวลาทั้งหมดเกือบ ๒๙ ชั่วโมง
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9590000096646


ในข่าวดังกล่าวบอกว่าชายหนุ่มนั้นเคราะห์ร้ายที่ตกลงไปติดอยู่ในโพรงไม้
แต่หากเราพิจารณาในแง่ของกรรมแล้ว
ย่อมจะเห็นได้ว่า ชายหนุ่มนั้นตกลงไปติดอยู่ในโพรงไม้
ก็เพราะผลแห่งกรรมในปัจจุบันคือ การผิดศีลข้อปาณาติบาต
ที่เขาพยายามจะไล่จับตุ๊กแก เพื่อนำไปย่างทำอาหาร


ในส่วนของกรรมที่ผิดศีลในอดีตของเขานั้น เราก็ไม่รู้ไม่เห็นนะครับ
แต่ผมอ่านข่าวเรื่องนี้แล้ว ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งในสมัยพุทธกาล
ซึ่งมีพระภิกษุ ๗ รูปต้องอดอาหาร ๗ วันในถ้ำ
โดยในอรรถกถาของคาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙
(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-
อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต) เล่าว่า
ในสมัยหนึ่ง มีภิกษุ ๗ รูปเดินทางจะไปเข้าเฝ้าพระศาสดา
ในเวลาเย็น ได้เข้าไปสู่วัดแห่งหนึ่ง แล้วถามถึงที่พัก
ในวัดนั้นมีถ้ำแห่งหนึ่ง มีเตียงอยู่ ๗ เตียง
ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ไปนอนบนเตียงในถ้ำนั้น


พอตกกลางคืน แผ่นหินขนาดใหญ่ได้กลิ้งลงมาปิดปากถ้ำไว้
บรรดาภิกษุในพื้นที่ได้พยายามช่วยกันนำแผ่นหินนั้นออก
โดยได้เรียกหมู่ชนจากบ้านใน ๗ ตำบลโดยรอบมาช่วยกัน
แม้พยายามอยู่อย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนจากที่ได้
เหล่าบรรดาภิกษุ ๗ รูปภายในถ้ำก็พยายามช่วยเหมือนกัน
แต่ก็ไม่สามารถทำให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนได้เลยตลอด ๗ วัน
เหล่าภิกษุทั้ง ๗ รูปได้ถูกความหิวแผดเผา
และได้เสวยทุกข์ใหญ่ ตลอดทั้ง ๗ วันนั้น
ต่อมาในวันที่ ๗ นั้น แผ่นหินนั้นก็ได้กลิ้งออกไปจากปากถ้ำเอง


เหล่าภิกษุทั้ง ๗ รูปออกมาจากถ้ำได้แล้ว
ก็คิดว่า “บาปของพวกเรานี้ นอกจากพระศาสดาแล้ว ใครเล่าจักรู้ได้
พวกเราจักทูลถามพระศาสดา" ดังนี้แล้ว ก็เดินทางไปเข้าเฝ้าพระศาสดา
เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้ไปเข้าเฝ้าพระศาสดาแล้ว
จึงได้กราบทูลถามพระศาสดา พระศาสดาได้ทรงพยากรณ์ว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอก็ได้เสวยกรรมอันตนกระทำแล้ว
ในอดีตกาล เด็กเลี้ยงโค ๗ คนชาวกรุงพาราณสี
เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ ๗ วัน ในประเทศใกล้ป่าแห่งหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่ง เที่ยวเลี้ยงโคแล้ว กลับมาพบตัวเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงไล่ตาม
(“ตัวเหี้ย” คือกิ้งก่าขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง)
ตัวเหี้ยหนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง โดยจอมปลวกนั้นมีช่อง ๗ ช่อง
พวกเด็กปรึกษากันว่า บัดนี้ พวกเราจักไม่อาจจับตัวเหี้ยนี้ได้
พรุ่งนี้จะมาจับให้ได้ ดังนี้แล้ว ต่างคนก็ถือเอากิ่งไม้ที่หักได้คนละกำ ๆ
ทั้ง ๗ คนพากันปิดช่องทั้ง ๗ ช่องแล้วก็จากไป
ในวันรุ่งขึ้น เด็กเหล่านั้นมิได้คำนึงถึงตัวเหี้ยนั้น ได้ต้อนโคไปยังที่อื่น
ครั้นในวันที่ ๗ เด็กทั้ง ๗ ได้พาโคกลับมา พบจอมปลวกนั้น
ก็ระลึกได้ว่า “ตัวเหี้ยนั้นเป็นอย่างไรหนอ” จึงเปิดช่องที่ตนได้ปิดไว้แล้ว
ตัวเหี้ยหมดอาลัยในชีวิต เหลือแต่กระดูกและหนังสั่นคลานออกมา
เด็กเหล่านั้นเห็นดังนั้นแล้ว จึงทำความเอ็นดูและพูดว่า
“พวกเราอย่าฆ่ามันเลย มันอดเหยื่อตลอด ๗ วัน”
จึงลูบหลังตัวเหี้ยนั้นแล้วปล่อยมันไปและกล่าวว่า “จงไปตามสบายเถิด”
เด็กเหล่านั้นไม่ต้องตกนรกหมกไหม้ก่อน เพราะไม่ได้ฆ่าตัวเหี้ย
แต่ทั้ง ๗ คนนั้นได้มาเป็นผู้อดข้าวร่วมกันตลอด ๗ วันใน ๑๔ อัตภาพ
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นเด็กเลี้ยงโค ๗ คนทำกรรมนั้นไว้แล้วในกาลนั้น


เมื่อพระศาสดาได้ทรงพยากรณ์เรื่องที่ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลถามแล้ว
ในครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระศาสดาว่า
"ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาปแล้ว
ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่สมุทรก็ดี
เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือพระเจ้าข้า"
พระศาสดาได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
“บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่”
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=11


ในเรื่องเด็กเลี้ยงโคทั้ง ๗ นี้มีข้อสังเกตว่า
ในอรรถกถาได้บรรยายว่า เด็กเหล่านั้นไม่ต้องตกนรกหมกไหม้ก่อน
เพราะไม่ได้ฆ่าตัวเหี้ย เช่นนี้แล้วหากสมมุติว่าพวกเขาได้ฆ่าตัวเหี้ยนั้น
พวกเขาย่อมจะต้องไปตกนรกหมกไหม้ครับ
โดยในอรรถกถาของคาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙
(อรรถกถาเดียวกันกับที่ได้อ้างถึงแล้วในเรื่องข้างต้นนี้)
ได้เล่าผลกรรมของหญิงคนหนึ่งที่ได้ฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง โดยเล่าว่า
มีภิกษุกลุ่มหนึ่งโดยสารเรือไป เพื่อจะไปเข้าเฝ้าพระศาสดา
เรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางสมุทร หมู่ชนพากันคิดว่า
"พึงมีคนกาลกิณีในเรือนี้" ดังนี้แล้ว จึงแจกสลากให้จับ
โดยภรรยาของนายเรือ (ซึ่งอยู่ในปฐมวัยน่าเอ็นดู) จับสลากได้
หมู่ชนในเรือจึงแจกสลากใหม่ ภรรยาของนายเรือก็จับสลากได้ถึง ๓ ครั้ง
นายเรือจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าไม่อาจให้มหาชนฉิบหายเพราะนางนี้
พวกท่านจงทิ้งนางในน้ำเถิด" จากนั้นแล้วกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่อาจดูนางนั้นลอยอยู่เหนือหลังน้ำได้
เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเอากระออมที่เต็มด้วยทราย ผูกไว้ที่คอนางแล้ว
โยนลงไปเสียในสมุทรเถิด ทำโดยประการที่ข้าพเจ้าจะไม่เห็นนางนั้นได้"
หมู่ชนเหล่านั้นได้กระทำตามนั้นแล้ว
ฝูงปลาและเต่าได้รุมกินนางในที่ทิ้งนางลงน้ำนั้นเอง


เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้พ้นจากเรือ และไปเข้าเฝ้าพระศาสดาแล้ว
จึงได้ทูลถามพระศาสดา พระศาสดาได้ทรงพยากรณ์ว่า
ภิกษุทั้งหลาย หญิงนั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้ว
ในอดีตกาล หญิงนั้นเป็นภรรยาของคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี
นางได้ทำกิจทุกอย่างมีตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหารเป็นต้น ด้วยตนเอง
สุนัขตัวหนึ่งของนางได้นั่งดูนางทำกิจต่าง ๆ และคอยติดตามนางเสมอ
พวกคนหนุ่มเห็นดังนั้น ได้เยาะเย้ยนางว่า “แน่ะพ่อ พรานสุนัขออกแล้ว
วันนี้พวกเราจักกิน (ข้าว) กับเนื้อ”
นางขวยเขินเพราะคำพูดของพวกคนหนุ่มเหล่านั้น
นางจึงทำร้ายสุนัขตัวนั้นด้วยก้อนดินและท่อนไม้เพื่อขับไล่สุนัขนั้น
สุนัขนั้นหนีไป แล้วก็กลับมาตามหญิงนั้นอีก
ด้วยเหตุว่าสุนัขนั้นได้เคยเป็นสามีของนางในอัตภาพที่ ๓
มันจึงไม่อาจตัดความรักจากนางได้


หญิงนั้นโกรธสุนัขนั้น ต่อมาเมื่อหญิงนั้นได้นำข้าวยาคูไปให้สามีที่นา
นางได้เอาเชือกใส่ไว้ในชายพกไปด้วย สุนัขก็ติดตามนางเช่นเดิม
นางได้ให้ข้าวยาคูแก่สามีแล้ว จึงได้ถือกระออมเปล่าไปสู่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง
นางบรรจุกระออมให้เต็มด้วยทรายแล้ว
จึงได้ทำเสียงเรียกสุนัขซึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ ๆ นั้น
สุนัขนั้นดีใจว่า นานแล้วหนอที่เราไม่ได้ถ้อยคำที่ไพเราะจากนาง
แต่เราได้ถ้อยคำที่ไพเราะในวันนี้ สุนัขจึงกระดิกหางเข้าไปหานาง
นางได้เอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมไว้
แล้วเอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข
หลังจากนั้น นางได้ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ
สุนัขนั้นตามกระออมตกลงไปในน้ำ และก็ตายในน้ำนั้นเอง


หญิงนางนั้นได้ตกนรกหมกไหม้อยู่สิ้นกาลนาน เพราะเหตุฆ่าสุนัขนั้น
และด้วยวิบากที่เหลือของกรรมนั้น
หญิงนั้นจึงถูกเขาเอากระออมเต็มด้วยทรายผูกคอถ่วงลงในน้ำ
ถึงแก่ความตายมาแล้วตลอด ๑๐๐ อัตภาพ (หรือ ๑๐๐ ชาตินั่นเอง)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP