ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่มีจิตใจที่สดใสและมีพลัง



ถาม - ทำไมบางคนมีอิทธิพลทำให้เวลาเราอยู่ใกล้แล้วรู้สึกถึงพลังและความสดใส
ต้องมีจิตเป็นอย่างไรถึงเป็นแบบนี้ได้คะ



ความสดใสหรือว่าพลังนี่ก็มาได้หลายทาง
อย่างบางคน ดูมีความกระตือรือร้นมาก
ก็เหมือนกับว่าพลังในตัวล้นหลามนะ พวกนี้ก็ขยัน
แล้วความขยันมาจากไหน
ก็ต้องมีความพอใจ มีฉันทะในงานนะถึงได้ขยัน
และพอขยันมันก็มีจิตใจฝักใฝ่ จดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่นง่ายนัก
ไม่วอกแวกไปในเรื่องที่จะดึงให้เป๋ออกนอกทางนะ
จากนั้นก็กลายเป็นคนที่ลองผิดลองถูกในงานที่ตัวเองรัก
จนกระทั่งเกิดวิสัยทัศน์ มีความเก่ง มีความแตกต่างจากคนอื่น
อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการสะสมพลังนะ
พลังแห่งฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา หรืออิทธิบาท ๔
จนกระทั่งเราเห็นปุ๊บ เรารู้สึกว่า เออ อยู่ใกล้แล้วอยากกระตือรือร้น
อยากทำงานในแบบที่เขาทำแบบนั้นบ้าง
นี่ก็เรียกว่าเป็นพลังที่เห็นได้ง่ายๆ นะสำหรับคนทำงาน



หรืออย่างพลังอีกแบบหนึ่ง
ถ้าเราเคยได้มีโอกาสพบปะหรือว่าได้ไปกราบนะ
พระที่ท่านมีความสำรวม มีความสำรวมระวังอย่างดี
ในเรื่องของกิริยาอาการต่างๆ การพูดการจา การขยับไหวร่างกาย มีสตินะ
แล้วก็เป็นพระที่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างดี มีสมาธิ มีความผ่องใส
เราก็จะสามารถรู้สึกถึงพลังอีกแบบหนึ่ง
ท่านมีความขวนขวาย มีความกระตือรือร้น
มีความขยันขันแข็งในเรื่องของการดูกายดูใจ
แล้วก็ในเรื่องของการอยู่กับอารมณ์อันไม่เป็นโทษ
จนกระทั่งเกิดสมาธิอีกแบบหนึ่ง เป็นพลังอีกแบบหนึ่ง
คือพออยู่ใกล้ท่านแล้ว เราจะเกิดความรู้สึกว่าพลังแบบนั้นเหนี่ยวนำ
ให้เราเกิดความอยากจะสงบ อยากจะนิ่ง อยากจะสำรวมตามท่าน
อยากจะมีกาย วาจา และใจที่ประณีต ที่มีความสว่าง ที่มีความสงบ ความเย็นนะ


นี่ก็อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่าพลังมีหลายแบบ
พลังในแบบที่ก่อให้เกิดกระแสความตื่นตัว ตื่นเต้น หรือว่ากระตือรือร้นอยากทำงาน
หรืออีกแบบหนึ่งก่อให้เกิดความสงบระงับ จากความกระวนกระวาย ความฟุ้งซ่าน
มันเป็นคนละประเภทกัน แต่ก็ต้องอาศัยอิทธิบาท ๔ เหมือนกัน
พูดง่ายๆ ว่าถ้าหากว่ามีความชอบใจในงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
จะทางโลกทางธรรมก็ตาม
แล้วมีความขยันหมั่นเพียรในสิ่งที่ตัวเองรัก ในงานที่ตัวเองชอบ
จนกระทั่งจิตใจจดจ่อ เกิดความตั้งมั่น
แล้วก็มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความฉลาด มีความรอบรู้นะ
ที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของการทำงานที่ตัวเองรักแล้วนะ
ในที่สุดมันก็เกิดเป็นความมีพลัง



ส่วนที่ว่าจะสดใสหรือไม่สดใส
ขึ้นอยู่กับความแตกต่างทางการคิด การพูด การทำ
อย่างบางคนคิดในแบบที่มันมองบวกมากๆ นะ
พอบวกมากๆ จิตใจมันแจ่มใสใช่ไหม
คำว่าแจ่มใส มันก็เหมือนกับพระอาทิตย์ขึ้นในใจของตัวเอง
แล้วพอพระอาทิตย์ขึ้นในใจของตัวเอง มีความเบิกบาน
มันอยากเผื่อแผ่ความเบิกบาน มันอยากกระจายความสดใสนี้ออกไปนะ
แล้วความสดใสแบบนี้ก็ทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกสดใสหรือว่าตาตื่นตาม
นี่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่แต่ละคนจะคิดนะ
ส่วนใหญ่แล้วคำจำกัดความของความสดใสในใจคน
มาจากนิยามง่ายๆ เลยคือเป็นคนมองโลกในแง่ดี
แล้วก็เป็นคนที่คิด พูด ทำ ออกมาจากพื้นฐานจิตใจที่มองเห็นแต่อะไรดีๆ
ไม่มองเห็นอะไรในด้านร้ายนะ


ส่วนการที่เราจะเป็นคนแบบนั้นได้
ก็คือส่วนใหญ่แล้วนะถ้าเราไม่เหมือนเขา เราก็ต้องได้แรงบันดาลใจมาจากเขาก่อน
คือเหมือนกับเราหัดเรียนดนตรีหรือว่าหัดเล่นกีฬาอย่างนี้
เขาบอกว่าถ้าหัดกับครูที่มีความเก่งกาจ มีความสามารถสูงๆ
เราจะจดจำแม้กระทั่งวิธีขยับตัว วิธีที่ครูมองนะ
มองดูอุปกรณ์เล่นนะ หรือว่าวิธีที่ลงมือบรรเลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลงหรือว่ากีฬา
แล้วเราจะเกิดความจดจำท่าทางอิริยาบถ
หรือว่าแม้กระทั่งกระแสทางใจที่ออกมาจากครูบาอาจารย์ที่เก่ง
มีความเก่งกาจ มีความเก่งกล้าสามารถในด้านนั้นๆ 
จนกระทั่งเราสามารถที่จะเลียนแบบท่านโดยไม่รู้ตัวนะ
คือจิตของเรา พอมีความผูกพัน มีความเคารพนับถือท่าน แล้วก็อยู่ใกล้ชิดท่าน
มันก็เหมือนกับเป็นการจูนจิตของเราให้ใกล้เคียงกับความเป็นคนเก่งนะ
ไม่ว่าจะการขยับ ไม่ว่าจะการพูดการจา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก
กระทั่งความรู้สึกนึกคิด บางทีเราจะลอกเลียนท่านนะ
แล้วพอท่านสอนอะไรมาเราเชื่อทุกอย่าง ปฏิบัติตามทุกอย่าง มันก็เก่งตามท่านได้



อันนี้แหละ นี่มันเป็นตัวอย่างว่าถ้าหากเรามีแรงบันดาลใจที่แรงพอ
แล้วก็สามารถที่จะไปฟังแนวทางดำเนินชีวิต
หรือว่าไปมีความขวนขวายในแบบที่ท่านสอน
อย่างนี้ก็จะเป็นเหตุให้เรามีจิตที่สดใสเหมือนคนคนนั้นได้นะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP