วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔



Tao Nam Kang - front re



ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ลานน้ำค้างนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ ผลตรวจของแม่อยู่ในซอง ซึ่งหล่อนดูไม่รู้เรื่องเลย จึงมารอเข้าคิวพบแพทย์ คุยเรื่องผลตรวจกับหมอน่าน ระหว่างนั่งรอก็มองโน้นมองนี่เรื่อยเปื่อย สายตาไม่ได้โฟกัสอะไรเป็นพิเศษ

            จู่ ๆ รู้สึกเย็นวูบ ขนลุก มองเบื้องหน้าเห็นเงาราง ๆ เดินผ่าน อดมองตามด้วยความแปลกใจไม่ได้ เงาเลือน ๆ เริ่มชัดขึ้น ดูเป็นร่างคนป่วย สวมชุดคนไข้เดินเชื่องช้า...ช้าจนผิดปกติ อาการเดินเลื่อนลอย ไม่มีจุดหมาย และแล้ว ร่างที่มองเห็นชัดนั้นก็พร่าเลือนทีละน้อย

            หญิงสาวสะดุ้ง ใจหายวูบ สติตื่นตัว บอกต่อตนเอง...

               ร่างนั้นไม่ใช่มนุษย์!

            ลานน้ำค้างมองเห็นชัดกว่าทุกครั้ง แถมยังเป็นช่วงเวลานานกว่าเดิม...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับสัมผัสพิเศษนี้

            “คุณลานน้ำค้าง พบหมอได้แล้วค่ะ” พยาบาลเรียกชื่อ ปลุกหล่อนจากภวังค์ความคิด

            สูดลมหายใจยาวลึก พยายามไม่สนใจ ทำใจเหมือนมองเห็นสิ่งอื่น ๆ ที่ผ่านสายตา...มันแค่เรื่องปกติ ธรรมดาของเธอ...เก็บมากังวลใจทำไม




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หมอน่านดูผลตรวจร่างกาย เช็คฟิล์มเอ๊กซเรย์ของคุณดาริกาอย่างละเอียด ก่อนมองหญิงสาวที่กำลังจ้องเขาตาแป๋ว เหมือนเด็กน้อยรอฟังคำพูดพี่ชายคนโต

            “นี่เราแอบเอาผลตรวจของคุณน้ามาใช่มั้ยนี่” เขาแกล้งถามกึ่งขู่

            “ไม่ได้แอบนะ ลานหยิบมาเฉย ๆ”

            “แล้วคุณน้ารู้มั้ยล่ะ”

            “ไม่รู้” หล่อนหน้าจ๋อย ตอบตรง ๆ “ก็ลานอยากได้ความมั่นใจนี่”

            “มิน่า ถึงต้องเอามาให้พี่ดูในเวลางานแบบนี้ กลัวคุณน้าจับได้ล่ะสิ”

            ลานน้ำค้างอยากจะบอกว่า...หล่อนรู้แล้วว่าพี่หมอน่านฉลาด...แต่ไม่ต้องมาดักคอกันขนาดนี้ก็ได้

            น่านมองดูหน้าหญิงสาวแล้วนึกขันปนสงสาร คร้านที่จะแกล้งพูดจาต่อคำ

            “เท่าที่พี่ดูก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก” เขาพูดให้ความมั่นใจ “ผลเลือดบางตัวอาจมีปัญหาบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง พอจะกินยาแล้วก็ควบคุมอาหารได้ ส่วนผลเอ๊กซเรย์ ผลตรวจคลื่นหัวใจก็ปกติดี...”

            “สรุปว่าแม่แข็งแรงดีใช่มั้ยคะ” หญิงสาวต้องการคำยืนยัน

            “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” หมอน่านบอกตรง ๆ “คุณน้าอายุขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ จากผลตรวจนี่ พี่ว่าอาจารย์หมอท่านคงจ่ายยาให้ แล้วก็แนะนำเรื่องการควบคุมอาหารบางอย่างแล้วล่ะ ยังไงอีกสามเดือนหลังกินยาค่อยมาตรวจซ้ำว่าผลเลือดปกติหรือยัง”

            “แล้วแม่เป็นโรคอะไรคะ” ลานน้ำค้างถามเสียงอ่อย “ลานถามแม่...แม่ก็บอกว่าไม่มีอะไร แต่ดูจากยาที่ได้แล้ว มันมีมากกว่ายาบำรุงที่พี่น่านบอกอีก”

            “พี่ตอบรวม ๆ เลยแล้วกันว่าเป็นโรคธรรมดาของคนสูงอายุน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก แม่พี่ก็เป็น... ไม่ต้องห่วง ทำตามที่อาจารย์หมอบอกก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว “

            ลานน้ำค้างยังไม่รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ หล่อนอาจทำใจสบาย วางใจ อารมณ์ดีได้กับทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของมารดา...เพราะต่อให้เล็กน้อยแค่ไหน ก็อดเป็นห่วง กังวลใจมากกว่าทุกเรื่องไม่ได้

            โลกนี้...หล่อนเหลือแม่เป็นคนใกล้ชิดเพียงคนเดียวเท่านั้น




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บูรพาขับมอเตอร์ไซค์เกือบถึงบ้าน เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นเรียกเข้า จำเป็นต้องหาที่จอดรถเพื่อรับสายก่อน

            เบอร์เรียกเข้าเป็นสายจากพ่อ...

            “มีอะไรพ่อ...เข้าบ้านไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มรับสาย พูดกับพ่อเหมือนเพื่อนสนิท

            “เฮ้ย...ไม่ใช่ ตอนนี้พ่อยังไม่ถึงกรุงเทพฯ เลย” พ่อตอบกลับมา

            “จะมาถึงกี่โมงล่ะ กินอะไรมาหรือยัง จะให้ผมซื้อไว้หรือเปล่า” บูรพาถาม... พ่อเป็นหัวหน้าเซลล์แมน ต้องเดินทางออกต่างจังหวัดเป็นประจำ เพื่อแนะนำ – สอนลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท ถึงรายได้ดี แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาเจอหน้าลูกชาย

            “ไม่ต้องหรอก” พ่อตอบกลั้วหัวเราะ “วันนี้ยังไม่แวะเข้าบ้าน”

            พูดอย่างนี้บูรพาก็รู้ พ่อหมายความอย่างไร

            “จะไปอยู่ที่บ้านสาวไหนตามใจเหอะ แล้วโทรมาทำไม” เขาพูดด้วยอารมณ์ขุ่นนิด ๆ

            “ก็โทรมาบอกไง...ว่าวันนี้ไม่เข้าบ้าน แกจะได้ไม่ต้องรอพ่อ” พ่อตอบอารมณ์ดีเช่นเคย

            “แล้วมีอะไรอีกมั้ย” บูรพาถาม

            “ไม่มี แค่นี้นะ” พ่อวางหูโทรศัพท์

            ชายหนุ่มขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นนิด ๆ ผสมความอ้างว้างที่โชยมาสัมผัสใจเป็นวูบ ๆ จอดรถเสร็จก็ยืนมองบ้านตนเองเหมือนคนแปลกหน้า...บ้านที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ไม่มีแม่

            ไขกุญแจเข้าบ้าน เห็นความอ้างว้างจนชาชิน ข้าวของภายในจัดวางเป็นระเบียบ อาจมีฝุ่นเกาะบ้าง เพราะบ้านนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่ทำความสะอาด หรือกระทั่งทำให้มันรก

            หลังจากแม่ตาย พ่อไม่ได้แต่งงานใหม่ ใช้ชีวิตอย่างแห้งแล้งอยู่หลายปี จนเริ่มสนุกกับชีวิตคนโสด มีผู้หญิงมาพัวพันแบบไม่ผูกมัดหลายคนที่คบอยู่ก็มี ที่เลิกกันก็ไม่น้อย บูรพาโตพอจะเข้าใจ และเห็นเป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งดูแลตัวเองได้ พ่อจึงไม่ห่วง สิ้นเดือนทิ้งเงินไว้ให้พอเป็นค่าเทอม ค่าใช้จ่ายส่วนตัว

            ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัว สลัดอารมณ์แย่ ๆ ออกจากใจ การที่ต้องดูแล รับผิดชอบตัวเองมาหลายปี ทำให้เป็นผู้ใหญ่เกินตัว ถึงค่าใช้จ่ายที่พ่อทิ้งไว้ให้ทุกเดือนจะเพียงพอ เขาก็ยังหางานพิเศษทำ โดยแบ่งเวลากับการเล่นกีฬา เพื่อไม่ให้ว่างมากเกินไป

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะบูรพากำลังแต่งตัว เตรียมออกไปทำงานพิเศษตอนเย็น หมายเลขปลายสายบอกว่ามาจากลานน้ำค้าง

            “ว่าไง” ชายหนุ่มรับสาย

            “จะออกไปทำงานหรือยัง”

            “อือ...แต่งตัวเสร็จก็จะไปแล้วล่ะ” เขาตอบ

            “เฮ้อ ขยันจริง ๆ จะเก็บเงินไว้ไปขอสาวที่ไหน”

            บูรพาอมยิ้ม ทั้งที่รู้ว่าหล่อนล้อเล่น ใจอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้

            “มีเรื่องอะไรจะใช้งานอีกล่ะ” ถามอย่างคนรู้นิสัยกันดี

            “คิดถึ้ง คิดถึง อยากฟังเสียงหล่อ ๆ จัง” หล่อนแต่งเสียงหวานเกินจริง

            ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ

            “อย่ามาแกล้งหวาน เดี๋ยวเราหลงรักเธอนะ” คำพูดกลั้วหัวเราะแฝงความนัยที่เจ้าตัวรู้แก่ใจ

            “ดีสิ ฉันจะบอกแม่ให้เรียกสินสอดแพง ๆ เอาให้หมดตัวเลย”

            “ถ้าหมดตัวแล้วเราจะเอาอะไรมาเลี้ยงเธอ” คำตอบด้วยวาจาทันกัน

            ลานน้ำค้างหัวเราะเบา ๆ ไม่กล้าเล่นต่อ กลัวเข้าเนื้อตนเอง

            “ถ้าจะออกไปทำงานก็แวะรับหน่อยนะ ฉันจะอาศัยติดรถไปด้วย” หญิงสาวบอก

            “นั่นไง ว่าแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องใช้งาน เธอไม่โทรมาเวลานี้แน่” เขาพูดแกมบ่น

            “น่า...ถือว่าช่วยเพื่อนประหยัดค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วกัน”

            “ได้...นี่ถือว่าอยู่ซอยเดียวกันนะ ไม่งั้นไม่ยอมเสียเวลาหรอก อีกห้านาทีเจอกัน”

            “ขอบใจจ้า”

            บูรพายิ้มให้กับปลายสาย...เราอยู่ซอยเดียวกัน ความรู้สึกเช่นนี้ก่อให้เกิดความอบอุ่นในใจ...เขาอยู่ท้ายซอย เธออยู่กลางซอย ระยะทางไม่ห่างกันเลย...แต่น่าแปลกที่ระยะห่างนั้นยังเท่าเดิม ไม่เคยย่นใกล้เข้ามาเลยแม้สักน้อยนิด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างออกมาซื้อของแถวหน้าปากซอยเรียบร้อย ยังไม่รีบกลับบ้าน วันนี้แม่มีประชุมครูที่โรงเรียน คงกลับค่ำสักหน่อย หล่อนจึงข้ามถนน เดินไปยังสวนสาธารณะฝั่งตรงข้าม

            ช่วงเวลาเย็น สวนสาธารณะมีคนมาออกกำลังกาย พักผ่อนกันไม่น้อย ปอดในกรุงเทพฯ มีไม่กี่แห่ง ลานน้ำค้างเดินทอดน่องรับอากาศบริสุทธิ์ ปล่อยความคิดฟุ้งซ่าน มองเห็นความหนักใจเรื่องอาการป่วยของแม่เด่นชัดที่สุด

            ถึงหมอน่านจะบอกว่าแม่ไม่เป็นอะไรมาก แค่โรคทั่ว ๆ ไปของคนสูงวัย หล่อนก็อดเป็นห่วง หนักใจไม่ได้ แม่คือเสาหลักของชีวิตต้นเดียว ที่หล่อนคิดว่าจะไม่มีวันโอนเอน เปลี่ยนแปลง หรือล้มลง แม่เป็นคนแข็งแรง เข้มแข็งมาตลอด แม่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอทั้งด้านร่างกาย จิตใจ เป็นที่หวังพึ่งพิงได้เสมอ ไม่ว่าเรื่องราวใด

            จนกระทั่งแม่เกิดอาการป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเช่นนี้ ใจของลานน้ำค้างจึงคลอนแคลนอย่างแรง เกิดความกลัวอย่างไม่เคยมีมาก่อน ความจริงบางอย่างสะท้อนก้องในใจ...

            แม่แก่แล้ว...อาจจะต้องเจ็บ...และตายในวันหนึ่ง

            ไม่เอา...ไม่ยอม...แม่ต้องไม่ตาย...หล่อนตะโกนร้องค้านในใจ

            ความหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่อย่างไม่รั้งรอ ลานน้ำค้างยืนนิ่งกับความคิดที่ว่า...แม่ต้องตายจริง ๆ ในวันหนึ่ง...ตายเช่นเดียวกับพ่อ...แล้ววันนั้นหล่อนจะอยู่อย่างไร

            โลกทั้งใบคงย่อยยับในพริบตา!

            ความทุกข์เอ่อท้นขึ้นมาในจิตใจ ทั้งที่ไม่มีสิ่งภายนอกใดมากระทบ เพียงแค่ความคิดปรุงแต่งชั่วแวบ ก็สามารถเรียกทะเลทุกข์ขึ้นท่วมใจได้ปานนี้

            หญิงสาวยืนนิ่ง ไม่รู้เนื้อรู้ตัว สมองตีบตันคิดอะไรไม่ออก น้ำตาพาลจะไหล ตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะร้องไห้เพราะอะไร...เพราะความกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง...หรือเพราะความคิดของตน สร้างทุกข์ให้ใจตนเอง



            “...กำลังใจ จากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฉันได้ไหม...



            เสียงเพลงกังวานไกล คลอด้วยเสียงกีตาร์หวาน สอดแทรกเข้ามาในห้วงความรู้สึกลานน้ำค้าง

            “...ให้ชีวิต ได้มีแรงใจ ให้ดวงไฟลุกโชนความหวัง...กำลังใจ...



            น้ำเสียงมีพลัง กระทบความคิดเดิมของหญิงสาวให้ดับหาย เปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ที่อิ่มเอมกับท่วงทำนองดนตรี และความหมายกระทบใจ

            เมฆหมอกความคิดฟุ้งในหัวจางหาย คลื่นทุกข์ในใจทิ้งร่องรอยจาง ๆ ใกล้ลบเลือน ลานน้ำค้างเดินตามหาต้นเสียง...ศิลปินคนไหนกัน ที่เล่นกีตาร์ ร้องเพลงอยู่กลางสวนสาธารณะ มอบบทเพลงไพเราะ ความหมายดี ๆ แก่ผู้ฟังให้เป็นทาน ช่วยพลิกจิตใจหล่อนเปลี่ยนจากหมองเศร้าเป็นสดใส

            เดินไม่กี่ก้าว พบชายหนุ่มผมยาวยืนพิงราวสะพาน เล่นกีตาร์ ร้องเพลงโดยไม่สนใจผู้คน ตรงหน้าเขาปูเสื้อเชิ้ตเก่า ๆ วางหมวกหงายรอ ภายในมีเศษเงิน แบงค์ยี่สิบวางไว้จำนวนหนึ่ง

            ลานน้ำค้างเพิ่งเข้าใจ เขาเป็นนักดนตรีเปิดหมวกนี่เอง ... ถึงอย่างนั้น เพลงของเขาก็สร้างความรู้สึกดี ๆ แก่หล่อน ให้กำลังใจโดยไม่ต้องร้องขอ

            เดินไปหยุดยืนไม่ห่างนัก มีกลุ่มคนฟังดนตรีหลายคน ซึ่งไม่น่าแปลกใจนัก เพราะนอกจากจะร้องเพลงไพเราะ เล่นดนตรีพลิ้วหวาน นักดนตรีคนนี้ ยังรูปหล่ออย่างร้ายกาจ หน้าสวย ขนตางอนราวกับผู้หญิง ผมยาวยิ่งเน้นกรอบหน้าเขาให้ดูเด่น เห็นแล้วคุ้นตา ฉุกใจ รู้สึกคุ้นพิกล...

            ลานน้ำค้างน่าจะเคยเจอเขามาแล้วแน่ ๆ ...







บทที่ ๓



            นักดนตรีหนุ่ม ผมยาว หน้าสวย นัยน์ตาคม ขนตางอนยาว จนสาว ๆ ยังอาย อายุไม่เกินยี่สิบ แต่งตัวปอน ๆ

            เสื้อยืด กางเกงยีนขาด ๆ ดูคุ้นตา เสียงคุ้นหู ชั่วแวบของความคิด ลานน้ำค้างนึกถึงงานวันเกิดแม่...หนุ่มน้อยผมยาวคนนี้เองที่เล่นกีตาร์ให้หล่อนร้องเพลงในวันเกิด คิดไม่ถึงจะมาเล่นดนตรีเปิดหมวกในสวนสาธารณะด้วยเหมือนกัน

            เพลงจบพร้อมเสียงปรบมือกราวจากผู้ฟังรอบ ๆ เด็กหนุ่มก้มศีรษะรับ รอยยิ้มน้อย ๆ แตะที่ริมฝีปาก ลานน้ำค้างเดินเข้าไปใส่เงินในหมวกเขาตามคนอื่น

            “เพลงเพราะจัง ขอบใจนะน้องที่ร้องเพลงดี ๆ ให้ฟัง” หญิงสาวส่งรอยยิ้มชื่นชม มีไมตรี

            โดมก้มศีรษะรับ กำลังจะตอบขอบคุณ เมื่อสายตาสบกัน ก็จำได้ จิตใจโลดเต้น ยินดีอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงฝืนใช้อาการนิ่งงันเป็นคำตอบ

            ลานน้ำค้างเห็นเด็กหนุ่มเงียบ แววตามีร่องรอยจดจำได้ คิดจะชวนคุยต่อ พอดีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หยิบมาดูเห็นเบอร์พี่มุกดา เลขาคุณหญิงรัดเกล้าโทรมาถึง

            “สวัสดีค่ะพี่มุก” หญิงสาวเลี่ยงไปยืนพิงสะพานคุยโทรศัพท์ไม่ห่างจากนักดนตรีหนุ่มนัก

            “น้องลานจ๋า พี่ขอโทษทีนะที่โทรมาตอนนี้” พี่มุกพูดเสียงหวาน

            “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถามเพราะรู้สึกหวั่น ๆ จะมีงานนอกเวลาเพิ่ม

            “ก็เรื่องงานทำบุญบริษัทพรุ่งนี้นั่นแหละ” พี่มุกพูดพลางถอนใจอึดอัด

            “มีปัญหาอะไรคะพี่มุก”

            “คือ...พรุ่งนี้พี่เข้าออฟฟิศแต่เช้าไม่ได้” เสียงอ่อย ๆ พยายามชวนให้สงสาร “ลานช่วยจัดการงานแทนพี่ที ได้มั้ยจ๊ะ”

            “ได้ค่ะ” ลานน้ำค้างตอบง่าย ๆ ที่จริงหล่อนมีส่วนช่วยเตรียมงานไม่น้อยกว่าพี่มุกเหมือนกัน

            “เฮ้อ...ขอบใจมากนะจ๊ะ พี่จะไม่ลืมพระคุณจริง ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าทางโรงเรียนของลูก ต้องให้เด็กพาผู้ปกครอง ไปร่วมงานโรงเรียนนะ พี่ก็ไม่มีปัญหาหรอก”

            “ค่ะพี่มุก ไม่เป็นไร ลานเข้าใจ เรื่องแค่นี้พอช่วยได้”

            วางหูโทรศัพท์อย่างเบื่อ ๆ การมาฝึกงานบริษัทในปีสุดท้ายของการเรียน ทำให้เห็นคนหลากหลายประเภท จริง ๆ ...ถ้าไม่คิดอะไรมาก ถือว่าได้เรียนรู้ชีวิตที่ไม่มีสอนในหลักสูตรมหาวิทยาลัยเหมือนกัน

            เก็บโทรศัพท์เตรียมใส่กระเป๋า พอดีกับเด็กซนกลุ่มใหญ่วิ่งเล่นไล่กันขึ้นมาบนสะพาน ความที่ไม่ทันระวังตัว ลานน้ำค้างโดนเด็กวิ่งชนโดยไม่คาดคิด แรงกระแทกทำให้หล่อนเซ พลัดทำมือถือตกจากสะพาน

            “ว้าย...ตายแล้ว” อุทานตกใจ รีบหันมองตาม เห็นโทรศัพท์ร่วงหล่นลงน้ำดังจ๋อม

            ใจหายวูบ เสียดายจนขาดสติ เกือบปีนสะพาน กระโดดลงไปเก็บด้วยความใจร้อน ปนตกใจ ยังดีที่มีมือมาช่วย รั้งเอาไว้

            “ใจเย็น ๆ โดดไปยังไงก็ไม่ทันแล้วล่ะ” เจ้าของมือเป็นนักดนตรีหนุ่มหน้าสวยคนนั้น

            ลานน้ำค้างได้สติ รีบวิ่งลงสะพานทันที บริเวณที่โทรศัพท์มือถือตกลงไป น้ำไม่น่าลึกนัก แต่สีขุ่นจนมอง ไม่เห็นว่าโทรศัพท์อยู่ตรงไหนแน่ หญิงสาวใช้เวลาไม่กี่วินาทีตัดสินใจถอดรองเท้า พับขากางเกง ลงลุยน้ำควานหาโทรศัพท์

            เท้าจมโคลน มือค่อย ๆ ควาน ผู้คนแถวนั้นหันมามอง ไม่มีใครสนใจลงมาช่วย อายก็อาย เสียดายของก็เสียดาย เกือบตัดใจทิ้ง...โทรศัพท์ตกน้ำอย่างนี้ ไม่แน่ใจว่าจะซ่อมได้หรือไม่ด้วยซ้ำ

            “มา...ผมจะช่วยหาให้”

            เสียงดังใกล้ ๆ จากหนุ่มนักดนตรี เขาวางกีตาร์ พับขากางเกงลงมาในน้ำ ช่วยหาโทรศัพท์โดยไม่จำเป็นต้อง ร้องขอ ลานน้ำค้างพึมพำขอบคุณอย่างเขิน ๆ ยินดี ที่มีเพื่อนร่วมลงน้ำ...

            เวลาผ่านไปไม่นาน โทรศัพท์ถูกพบโดยเด็กหนุ่มคนนั้นเอง

            “เครื่องนี้ใช่มั้ยครับ” เขายื่นโทรศัพท์ให้

            “ใช่ค่ะ...ขอบใจมากเลยน้อง” ลานน้ำค้างถอนใจโล่งอก ทั้งที่ไม่รู้ว่าโทรศัพท์จะใช้งานได้หรือไม่

            ทั้งสองขึ้นจากน้ำมานั่งผึ่งขากางเกงให้แห้ง ลานน้ำค้างแกะโทรศัพท์มาดู หลังจากเปิดเครื่องไม่ได้ เปียกน้ำ ขนาดนี้คงต้องส่งศูนย์ซ่อมแน่ ๆ

            ส่วนโดมค่อย ๆ เก็บกีตาร์ใส่กระเป๋า พลางรวบรวมเงินในหมวกช้า ๆ เหมือนรออะไรบางอย่าง

            “จะหยุดเล่นแล้วหรือคะ” ลานน้ำค้างเห็นอย่างนั้น รู้สึกเกรงใจ “เพราะพี่จริง ๆ ทำให้น้องต้องเสียเวลา”

            เด็กหนุ่มชะงัก หันมามองแล้วตอบเรียบ ๆ

            “ไม่เป็นไร”

            “น้องมาเล่นดนตรีเปิดหมวกที่นี่ประจำหรือเปล่า” หญิงสาวถามกึ่งชวนคุย

            “เปล่า...นาน ๆ มาที” โดมไม่ได้พูดตรง ๆ ว่ามาเฉพาะตอนขาดเงินหนัก ๆ อย่างเวลานี้

            “เราเคยเจอกันมาแล้ว จำได้มั้ย” พอเขาตอบสั้น ๆ ลานน้ำค้างยิ่งอยากชวนคุยต่อเรื่อย ๆ

            โดมนิ่งมองหญิงสาวอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าหล่อนจะจำได้

            ลานน้ำค้างสรุปอาการเฉยของเขาว่า คงเริ่มรำคาญ จึงยิ้มเก้อ ๆ

            “เอ่อ...คนรูปหล่ออย่างน้องนี่ น่าจะมีสาว ๆ ใช้มุก...เราเคยเจอกันที่ไหน?...มาจีบบ่อย ๆ ล่ะสิ พี่ไม่มีเจตนา อย่างนั้นนะ แค่จำได้ว่าเคยเห็นน้องเล่นดนตรีที่ร้านอาหารวันก่อนโน้นน่ะ” หล่อนอธิบาย

            “ผมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น” เขาตอบด้วยท่าทางผ่อนคลายกว่าเดิม

            “พี่ชื่อลานนะ แล้วน้องล่ะ” หญิงสาวแนะนำตัว

            “โดม...” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนชะงัก ลังเล ก่อนเอ่ยปากพูด... “แล้ว...ชื่อลาน...เฉย ๆ เหรอ”

            ได้ยินคำถามนี้ ลานน้ำค้างหัวเราะเบา ๆ

            “ชื่อเต็มคือ...ลานน้ำค้าง จ้ะ” หล่อนแกล้งพูดอย่างเป็นทางการ ก่อนหัวเราะคิก ขำตัวเอง “เป็นยังไง ฟังดู หวานแหวว อ่อนหวานผิดกับตัวจริงเลยใช่มั้ย”

            โดมเฉย ๆ ไม่ตอบ นัยน์ตามีรอยยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า

            “ตอนที่แม่พี่รู้ว่าได้ลูกสาวนะ ก็วาดหวังไว้สวยงามเลย ว่าจะต้องเป็นเด็กผู้หญิงสวย เรียบร้อย น่ารัก เหมือนตุ๊กตา อุตส่าห์หาชื่อที่คิดว่าเหมาะสมกับลูกสาวสุดสวยแล้วเชียว ที่ไหนได้ กลับเป็นตรงกันข้ามเลย”

            ลานน้ำค้างไม่ค่อยเล่าที่มาของชื่อตัวเองให้ใครฟังหากไม่สนิทพอ น่าแปลกที่หล่อนกลับคุ้นใจ คุ้นเคยกับเด็กหนุ่มคนนี้ จนสามารถเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในครอบครัวให้ฟังได้

            “แล้วของน้องล่ะ...ชื่อโดมนี่ เพราะว่าพ่อแม่เรียนที่ธรรมศาสตร์หรือเปล่า” หล่อนเป็นฝ่ายย้อนถามเขา

            ทันทีที่วกมาเรื่องครอบครัวตนเอง สีหน้าโดมเปลี่ยนไป แววตาคล้ายมีเมฆหมอกปกคลุม

            “เปล่า” เขาตอบสั้น เกือบห้วน “ผมต้องกลับแล้วนะ”

            พูดจบเก็บของ หยิบกีตาร์ขึ้นสะพาย ลานน้ำค้างรู้สึกว่าตนคงพูดอะไรสะกิดแผลเด็กหนุ่มเสียแล้ว

            “พี่ขอโทษนะโดม”

            เสียงอ่อนอ่อยของหล่อนเรียกให้เขาหันมามอง ดวงตาอ่อนโยนลง

            “ไม่เป็นไร...ยังไงก็...ขอให้ซ่อมโทรศัพท์ได้นะ...”

            ไม่มีคำลงท้าย แต่ทอดเสียงอ่อนลงจนฟังไม่ห้วน ระคายหู จากนั้นจึงลุกเดินหายลับไปกับกลุ่มผู้คน

            ลานน้ำค้างถอนใจมองตามหลังโดมด้วยความรู้สึกแปลก ๆ คล้ายเจอคนประเภทเดียวกัน คนที่ครอบครัวขาด พร่อง...เขาทำให้หล่อนนึกอยากมีน้องชายจอมเฮี้ยวสักคน

            แยกกันคราวนี้ ไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP