ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

คนชาติอื่นๆ ตายไปแล้วจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์เหมือนกับชาวพุทธไหม



ถาม - คนชาติอื่นๆ ตายไปแล้วจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์เหมือนกับชาวพุทธไหม

แล้วถ้าได้ไปสวรรค์หรือนรกที่เดียวกัน จะคุยกันรู้เรื่องหรือไม่


ตอบคำถามก่อนคือโลกหลังความตายหรือโลกของวิญญาณ
ภาษาไม่ได้ใช้ภาษาแบบโลกๆ แบบนี้นะ จะใช้ภาษาทางจิต
ลองคิดดูง่ายๆ เวลาที่คุณเห็นคนต่างชาติต่างภาษา
บางทีคุณสามารถทราบได้ว่าเขาใช้ภาษากายบ่งบอกว่าต้องการอะไรนะ
หรือถ้าพยายามที่จะคุยกับเขาในแบบใช้ภาษามือนะ หรือว่าส่งเสียงใบ้กัน
แล้วเกิดความรู้สึกเหมือนจะมีความเข้าใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ ได้
อันนั้นแหละเป็นตัวอย่างของภาษาทางจิต ภาษาที่ส่งออกมาจากเจตจำนงภายใน
ซึ่งไม่ใช่ใช้ไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ไม่ได้ใช้คำศัพท์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง
แต่ใช้ความต้องการทางใจนะ อันนั้นคือตัวอย่าง



แต่ว่าในโลกวิญญาณหลังความตาย มันละเอียดอ่อนกว่านั้น
คือคนหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองพูดภาษาไทย
อีกคนหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองพูดภาษาจีนหรือภาษาฝรั่ง
มันสามารถที่จะสื่อสารกันได้เพราะว่าไม่มีอะไรปิดบังเหมือนกับตอนอยู่บนโลก
ถ้าหากว่าได้ถึงระดับความสูงส่งของวิญญาณระดับเดียวกันนะ
สามารถสื่อสาร สามารถจูนกันรู้เรื่องได้ทันที
รู้ว่าเจตนาอะไร ต้องการฝากข้อความอะไรไว้
หรือถ้าหากว่าจิตหยาบพอๆ กัน อันนั้นก็สามารถสื่อสารกันได้อีกนะครับ
สื่อสารกันด้วยระดับคลื่นของจิตที่ไม่มีความไม่รู้แบบมนุษย์มาปิดบังมาปิดกั้น
แต่ถ้าหากว่าจิตไม่เสมอกัน ต่อให้พูดราวกับว่าเป็นภาษาเดียวกันนะ
ขมุบขมิบปากเป็นภาษาเดียวกัน แต่ก็ฟังกันไม่รู้เรื่องอยู่ดี


อันนี้ก็เหมือนกับในโลกมนุษย์นี่แหละ
ถึงพูดภาษาไทยเหมือนกัน ไม่ใช่จะสื่อสารเข้าใจกันทุกครั้ง
อุตส่าห์พูดอุตส่าห์ใช้มือไม้ประกอบนะ แต่ในที่สุดแล้วนี่ฟังไม่รู้เรื่อง
คนถ้าเกิดว่าตั้งอคติเข้าใส่กันนะ
พูดจนจบเหมือนไม่ได้พูดอะไรเลย เหมือนยังไม่ได้เริ่มพูดอะไรเลย
แต่คนที่มีความพร้อมจะเข้าใจกัน ธาตุนิสัยเดียวกันนะ
ยังไม่ทันพูดสักคำ บางทีมันเหมือนเข้าใจกันเรียบร้อย
นี่ตรงนี้นะเป็นเรื่องของภาษาทางใจ

เป็นเรื่องที่ไม่ใช่แค่อุปมาอุปไมยว่านี่ภาษาทางใจภาษาทางจิต
มันมีภาษาทางจิตอยู่จริงๆ มันมีภาษาทางใจอยู่จริงๆ


ทีนี้สภาพจะเป็นสภาพแวดล้อมของสวรรค์นะ
หรือว่าสถาปัตยกรรมหรือว่ามีนวัตกรรมทางทิพย์อะไรต่างๆ
อันนี้ก็ส่วนใหญ่นะครูบาอาจารย์ท่านก็บอกไว้ว่ามันเป็นไปตามการปรุงแต่งของกรรม
ถ้าหากว่ากรรมมันสามารถปรุงแต่งให้สถาปัตยกรรมของชาติต่างๆ
ปราสาทหรือบ้านหรือว่ากระต๊อบ มันแตกต่างกันได้ในโลกนี้
มันก็สามารถที่จะปรุงแต่งให้เกิดความแตกต่างทางสถาปัตยกรรม
หรือว่านวัตกรรมอะไรต่างๆ บนสวรรค์ได้เช่นกัน
กรรมเป็นสิ่งที่มีความวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าสถาปัตยกรรมอยู่แล้ว
ถ้าหากว่าเราไปดูในสวรรค์ชั้นเดียวกัน บางทีเหมือนกับเห็นเป็นความสว่างเหมือนกัน
เห็นเป็นความวิจิตรพิสดารลวดลายอะไรต่างๆ
มันออกมาจากกรรมทั้งสิ้น
ไม่ใช่ว่ามีใครไปออกแบบเป็นสถาปนิก หรือว่าต้องไปตกแต่งกันล่วงหน้า
ใช้กรรมนี่แหละเป็นตัวสร้างเป็นตัวตกแต่ง


ทีนี้เราดูแล้วกัน ผมให้ตัวอย่างที่ง่ายๆ ที่สุดนะ
อย่างเวลาเราฝัน แต่ละคืนก็ไม่เหมือนกัน
ฝันแต่ละช่วงวัย แต่ละช่วงอายุก็ต่างกัน
อย่างตอนฝันแบบเด็กๆ จะเห็นเป็นลายการ์ตูน จะเห็นเป็นลายอะไรง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน
แต่สังเกตไหมพอโตขึ้นมา ความฝันของเราในแต่ละคืนนะ
ถ้าหากว่ามีความชัด ถ้าหากว่ามีความสด ถ้าหากมีสีสันจะแจ้งนะ
จะรู้สึกเหมือนกับว่าลวดลายหรือว่าสิ่งที่เป็นนิมิต
มีความซับซ้อน มีความวิจิตรพิสดาร
เรียกว่าใส่อะไรเข้าไป ไม่รู้ว่าใครไปวาดไว้นะ
ถ้าหาคนไปวาดนี่ต้องวาดกันเรียกว่าเป็นปีๆ ต้องใช้ศิลปินที่มีชื่อระดับโลกมา
แต่ถ้าหากว่าเป็นกรรมสร้างนะ ไม่ต้องใช้เวลาเลย
ทำกรรมเสร็จเมื่อไหร่ นั่นน่ะมันวาดให้เรียบร้อยนะ
ไม่ต้องไปกังวลหรอกว่าข้างบนโน้นจะมีสภาพแตกต่างกันอย่างไรแค่ไหน
แต่ให้ดูนี่แหละว่าคนเราสามารถทำกรรมแตกต่างกันได้เพียงใด แต่ละคนนะครับ


ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นความแตกต่างความพิสดาร
ที่แต่ละคนทำกรรมได้ไม่เหมือนกัน
แค่ตั้งจิตแค่ส่งมอบของแต่ละชิ้นที่เลือกให้ผู้รับนะ
ได้ประโยชน์แค่ไหน เอาไปใช้ทำอะไร
หรือว่าตกแต่งเสริมเติมอะไรเข้าไปด้วยจินตนาการของแต่ละคน มันต่างกันแค่ไหน
ก็นั่นแหละครับ ตรงนั้นแหละคือตัวอย่างนะ
ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความแตกต่างเกิดขึ้นจากจินตนาการในการทำบุญ
จินตนาการในการอนุเคราะห์ผู้คนนะว่ามีความละเอียดอ่อนเพียงใด
ยิ่งมีความละเอียดอ่อนมากนะ
จินตนาการยิ่งมีความละเอียดอ่อนมาก เวลาทำบุญ
สถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นบนสวรรค์ หรือว่าสภาพความเป็นทิพย์
มันยิ่งมีความวิจิตรพิสดารแตกกิ่งก้านสาขาออกไปยิ่งกว่านั้น
คือเราไม่ได้ไปสร้างสถาปัตยกรรมขึ้นมาด้วยความตั้งใจ
คิดว่าจะให้ออกลวดออกลายแบบไหน
แต่ว่าตัวกรรมนั่นแหละนะเขาจะไปประดิษฐ์สร้างนะ


จับความรู้สึกของเราก็ได้
ถ้าเราทำบุญแต่ละครั้ง เราให้ใคร เราอนุเคราะห์ใครแต่ละครั้ง
มีความละเอียดอ่อนมาก มีความประณีตมาก
นั่นแหละเป็นเมล็ดพันธุ์ของสถาปัตยกรรมที่มีความละเอียดอ่อนมาก

มีความอ่อนช้อยมาก มีความสละสลวยมาก
แต่ถ้าหากว่าเราช่วยใครแบบส่งๆ นะ เหมือนกับโยนเดนให้
หรือว่าคิดง่ายๆ โยนกระดูกให้หมาอย่างนี้ โยนแบบทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างนี้
จิตแบบนั้นมันหยาบ เป็นการให้แบบหยาบๆ คือได้บุญแต่เป็นบุญแบบหยาบๆ
ถ้าหากว่า ณ ขณะนั้นนะเป็นจังหวะที่ใหญ่ที่สุด
เป็นบุญที่จะให้ผลให้เราได้ไปเกิดตามบุญตอนโยนเศษเดนให้หมา
ก็พยากรณ์ได้ว่าไปเกิดกับสิ่งที่ไม่ค่อยจะน่าดูนักแหละนะ



ส่วนใหญ่นะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าถ้าให้อาหารหมาแล้วจะได้บุญน้อย
จริงๆ แล้วถ้าหากว่าเรามีจิตใจที่ประณีต มีจิตใจที่สงสารหมา
แล้วก็ก้มลงให้ด้วยความอ่อนโยน ด้วยความกรุณา
นั่นก็คือตัวอย่างของเมล็ดพันธุ์แห่งสถาปัตยกรรมที่ละเอียดอ่อนงดงามเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าให้ของกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยแล้วมันเป็นบุญน้อย
แล้วไปตกแต่งให้ที่อยู่ของเราน่าเกลียด ไม่ใช่อย่างนั้นนะ
ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของเราว่ามีความเมตตากรุณาแค่ไหน
เวลาให้ ยื่นให้ด้วยมือ ด้วยความอ่อนโยนเพียงใดนะครับ
พระพุทธเจ้าตรัสเลยว่าถ้ายื่นให้ด้วยมือ ด้วยความอ่อนโยน ด้วยความกรุณา
นั่นแหละจิตที่ประณีต นั่นแหละบุญที่มีความเต็ม เต็มรอบนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP