สารส่องใจ Enlightenment

การเจริญสติสัมปชัญญะ (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่



การเจริญสติสัมปชัญญะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
คนเรานี้แหละที่มันยังไม่ตายก็คิดโน่นคิดนี่
อันไหนมันรัก มันชอบ มันหลง มันเกลียด มันก็ชอบคิดในสิ่งนั้นๆ
ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะ เราก็ตามอารมณ์ตามความคิดไป



ส่วนใหญ่เราก็มีสติอยู่ แต่ว่าสติของเรามันอ่อนกำลัง มันไม่มีกำลังพอ
มันเลยควบคุมความคิดตัวเองไม่อยู่ คุมความคิดตัวเองไม่ได้
เมื่อมันมีเหตุการณ์อย่างนี้ มีอาการอย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติสัมปชัญญะ ให้อยู่กับตัวเองมากขึ้น
เพราะคนเราในขณะหนึ่งมันคิดได้อย่างเดียว
ถ้าเราเอาความคิดมาอยู่กับกายให้มากกว่าที่เราจะตามอารมณ์ไป
สติสัมปชัญญะของเราก็จะสมบูรณ์ขึ้นอีก



หรือเราจะเอาสติมาอยู่กับเวทนา ไม่ว่าเวทนาที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์
ที่มันเกิดกับร่างกายของเรา หรือเวทนาที่เกิดกับใจของเรา
สติสัมปชัญญะของเราก็จะดีขึ้น มันก็จะสมบูรณ์ขึ้น
หรือเราจะเอาไปอยู่กับจิตใจของเรา ใจของเราก็หมายถึงตัวผู้รู้
ให้รู้ใจของเราว่ามันสงบหรือไม่สงบนะ
จิตใจของเรามันไม่สงบ มันปรุงแต่ง ก็อย่าให้มันตามอารมณ์ไป



พระพุทธเจ้าท่านสอนเราเพื่อให้ใจของเราจะได้มีพลัง
ใจของเราจะได้เกิดความสงบ สมาธิของเรามันน้อย สมาธิของเรามันอ่อน
คนที่เก่งคนที่ฉลาดน่ะ ส่วนใหญ่จิตมันจะไม่มีกำลังไม่มีพลัง
ทั้งที่รู้ก็รู้อยู่แต่มันหยุดตัวเองไม่ได้
สาเหตุมาจากเราไม่มีสติสัมปชัญญะเพียงพอ
เนื่องมาจากจิตของเราไม่มีกำลัง มีก็ถือว่าน้อย มีชนิดที่เจือจางน่ะ



ทุกท่านทุกคนต้องฝึกนะ ฝึกให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว
ฝึกตัวเองให้มีความสุขในปัจจุบัน
ฝึกตัวเองให้มีความสุขในหน้าที่การงานในปัจจุบัน
เอาการเอางานเอาหน้าที่ในชีวิตประจำวันไว้ฝึกใจ
มีความสุขมีความพอใจ เป็นผู้ยินดีในสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ ยินดีในสิ่งที่มีอยู่
จุดมุ่งหมายก็เพื่อฝึกจิตใจให้มีกำลัง มีพลัง



ส่วนใหญ่ใจของคนเรานี่นะ มันถูกโลกธรรมครอบงำอยู่ตลอดเวลา
สิ่งต่างๆ มันก็มาครอบงำใจเรา มันทำให้สติสัมปชัญญะของเราไม่สมบูรณ์
เปรียบเสมือนผีกำลังเข้าเรานี่แหละ เรากำลังถูกผีเข้า

คนที่ผีเข้าสิงน่ะ สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์มันเลยเข้าสิงได้
สิ่งที่ดีและสิ่งไม่ดีมันก็เข้าครอบงำใจเรา มันเป็นอย่างนี้แหละทั้งวัน



พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จัก
ให้เราได้เจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ไม่ให้เราตามสิ่งเหล่านั้นไป
สิ่งต่างๆ นั้นมันมาเกิดขึ้นกับใจเรา มันตั้งอยู่ไม่นานมันก็จากไป
เราถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดี มาให้เราได้ฝึกได้ปฏิบัติ ได้ขัดได้เกลาได้แก้ไขตัวเรา



พระพุทธเจ้าท่านให้เราขอบใจสิ่งเหล่านี้นะ
ไม่ว่าสิ่งภายนอกหรือสิ่งภายในใจที่มันเกิดขึ้น
มันเป็นสาเหตุที่ให้เราได้ฝึกจิตฝึกใจของเรา
ตัวอินทรีย์บารมีก็แก่กล้า สติสัมปชัญญะของเราจะได้สมบูรณ์
ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่มีอะไรที่จะฝึกจะปฏิบัติ
เราสมควรที่จะขอบพระคุณขอบใจในสิ่งเหล่านี้



ปัญหาต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา
อย่าได้ถือว่าเป็นปัญหาที่ยุ่งยากทำให้เราลำบาก
อันที่จริงแล้วมันเป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกจิตใจของเรา
เป็นโอกาสที่เราจะได้ปฏิบัติธรรมของเรา
ในชีวิตประจำวันของเรา มันมีความทุกข์ทั้งทางกาย มีความทุกข์ทั้งทางใจ
มีความทุกข์ทั้งทางธุรกิจหน้าที่การงาน
นี่ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดีมาก เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ
สิ่งเหล่านี้แหละ มันมีแต่นำคุณนำประโยชน์มาให้เราทั้งนั้นเลย เพื่อให้เราปฏิบัติน่ะ



มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราได้รักษาศีล
ให้เราได้ทำสมาธินะ ให้เราได้เจริญสติปัญญา

ใจของเรานี่แหละ เราทำไปทุกวันเราปฏิบัติไปทุกวัน
มันก็ฉลาดขึ้น มันก็มีปัญญาขึ้น

ทุกท่านทุกคนให้พากันเข้าใจในการประพฤติปฏิบัตินะ
ถ้าเราไม่เข้าใจมันก็เสียเวลา



ถ้าเราไปภาวนาอยู่ที่วัดหรืออยู่ที่เงียบๆ เน้นแต่ทางจิตทางใจมันก็ดีน่ะ
แต่คนเรามันจะปฏิบัติอย่างนั้นตลอดไม่ได้
เพราะเรามีหน้าที่มีการมีงานที่ต้องปฏิบัติ ต้องเกี่ยวข้องกับงานกับการ



การประพฤติปฏิบัติธรรมมันอยู่ที่เราจะต้องแก้จิตแก้ใจของเรา
แก้การกระทำของเราที่มันไม่ถูกต้อง แก้คำพูดของเราที่มันพูดไม่ถูกต้อง
ปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา
เราต้องพออกพอใจในการประพฤติปฏิบัติ ให้เจริญสติสัมปชัญญะให้มันสมบูรณ์ไว้
เวลามันอยู่ภายนอกมันคิดเก่งนะ
เวลาอยู่บนเวที หรืออยู่ในสนามรบ อยู่ในภาคปฏิบัติน่ะต้องให้มันรวดเร็วว่องไว



เราอย่าไปทำตามความเคยชิน
เพราะความเคยชินที่ผ่านมามันเป็นบาป เป็นอกุศล เป็นวัฏสงสารน่ะ
ถ้าเราไปทำอย่างเก่า ไปคิดอย่างเก่า มันไม่ได้
ทำให้เราเสียกำลังจิตกำลังใจ ถูกอวิชชามันบดบังครอบงำไปเรื่อย ไม่ได้



ความอาลัยอาวรณ์ในสิ่งต่างๆ ทุกๆ คนมีมาก มันทำให้ปากสั่น มือสั่นไปเลย
ต้องหยุดตัวเองให้ได้ ต้องเบรกตัวเองให้อยู่ต้องดึงตัวเองกลับมาให้ได้
มันเปรียบเสมือนมีเด็กน้อยคนหนึ่ง และก็มีคนมาจูงแขนเด็กน้อยวิ่งน่ะ
เราเป็นผู้ปกครองของเด็ก เราก็ต้องไม่ให้เขาจูงเด็กไป



ความผิดเล็กๆ น้อยๆ ให้เราถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นะ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเผลอ ไม่ให้เราประมาท
อย่างพระเราหรือว่าแม่ชี ผู้ปฏิบัติธรรมที่มันปฏิบัติไม่ก้าวหน้า
เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่เบรกตัวเอง ไม่หยุดตัวเอง
มันอยากจะคิดอะไรก็ปล่อยมันคิด มันอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยมันพูด
มันอยากจะทำอะไรก็ปล่อยมันทำน่ะ



ผลกรรมมันเป็นอย่างไร?
ผลกรรมมันทำให้จิตใจของเราไม่มีพลัง
มันทำให้สติสัมปชัญญะของเราไม่สมบูรณ์
กลายเป็นโมฆบุรุษไป กลายเป็นโมฆสตรีไป



ความคิดของเรามันหลอกเราเอง หลอกไปฆ่าตัวเองนะ
อย่างพระรูปหนึ่งมีข้อวัตรข้อปฏิบัติที่ดีที่เข้มแข็ง
วันหนึ่งเหนื่อยมาก มันไม่อยากไปบิณฑบาต
ความคิดมันบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร วันนี้ขอพักผ่อนสักหน่อยก่อน
พระรูปนี้น่ะแสดงถึงว่าเสียท่ากิเลสไปเสียแล้ว
ตั้งอยู่ในความประมาท จิตใจก็ย่อมเสียพลัง
เขาไม่รู้จักตัวเองว่าสมาธิกำลังจะแข็งแรงกำลังจะเกิด
ว่าเราจะได้เอาชนะอารมณ์ของตัวเอง เอาชนะจิตใจของตัวเอง
นี่แสดงถึงว่าแพ้ไปแล้ว เสียทีไปแล้ว



ผู้ที่พัฒนาใจตัวเองน่ะ ต้องดูตัวเองอย่างนี้นะ
ไม่อย่างนั้นจะพ่ายแพ้อารมณ์ไปทุกวัน
สติสัมปชัญญะของเรามันจะไม่แข็งแรงไม่สมบูรณ์
ผู้ที่จะพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงคุณธรรม มันไม่ได้ไปเอาชนะใครที่ไหน
มันเอาชนะจิตใจของตัวเอง ปรับตัวเองเข้าหาทางสายกลางของพระพุทธเจ้า
ไม่ให้เราเอาทางสายกลางของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นชีวิตมันมีปัญหาไม่จบ
ฉันข้าวไป บริโภคปัจจัย ๔ ไปก็เสียเวลา จนมันแก่เฒ่าชรา ชีวิตไม่ได้รับการพัฒนาเลย



พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม
เอาใจใส่ พอใจ
เพราะชีวิตการปฏิบัติธรรม มันประเสริฐกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง


เราใคร่ครวญดูสิ มันมีสิ่งไหนดีมากไปกว่านี้?มันไม่มีสิ่งไหนดีมากไปกว่านี้
เราจะมาสะเงาะสะแงะกับสิ่งไร้สาระ มันไม่เข้าท่านะ
วันๆ หนึ่งเรามามุ่งแต่เอาความสุขทางเนื้อทางหนังในปัจจัย ๔ มันคงไม่ถูกต้อง
เพราะความสุขทางเนื้อทางหนังทางปัจจัย ๔ มันเป็นของใช้ชั่วคราว
เรารับประทานอาหารไปแล้ว บริโภคไปแล้ว มันก็ย่อยสลายไป
คาบต่อไปมันก็หิวอีก เราก็ต้องบริโภคไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็แก่เฒ่าไปเฉยๆ นะ



เราเอาชีวิตของเราน่ะมาประพฤติปฏิบัติธรรม
เราจะว่าไม่มีเวลาไม่ได้
ถ้าเรามีลมหายใจอยู่ขึ้นชื่อว่าเรามีเวลานะ



ญาติโยมที่อยู่ที่บ้าน เวลาไปบ้านก็ไปปฏิบัติที่บ้าน ไปที่ทำงานก็ไปปฏิบัติที่ทำงาน
ธรรมะน่ะ มันไม่ขัดกันกับที่เราอยู่ที่บ้านที่ทำงาน
เพราะการทำทุกอย่างก็เพื่อเสียสละ เพื่อละความเห็นแก่ตัวแก่ตน
มันมีแต่สิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้น
ที่เรามีปัญหาในการประพฤติปฏิบัติ
เพราะเราไม่เอาธรรมะไปปฏิบัติในบ้านของเรา ในที่ทำงานของเรา
เราลองคิดดูสิ ถ้าเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ไม่เสียสละ คนอื่นเขาจะรักเราไหม
ถ้าเราเป็นคนไม่มีศีลน่ะ เราจะเป็นอย่างไร
? คนอื่นก็ไม่รักเคารพนับถือเรา


ศีลนะ ให้ทั้งโภคทรัพย์ ให้ทั้งอริยทรัพย์
คนเรามันเห็นแก่ตัวจนมันคิดไม่ออกนะว่าถ้ารักษาศีลมันจะอดตาย มันจะยากลำบาก
ปัญหาต่างๆ ที่มันเกิด มันเกิดจากคนไม่มีศีลนะ
ถ้าเรามีศีลดีๆ น่ะ เสียสละดีๆ ไม่กี่เดือนกี่ปี เรทติ้งขึ้นสูงแน่
เราปฏิบัติเพื่อละตัวละตน ไม่ต้องการอะไร
แต่ว่าเรทติ้งมันขึ้นเองด้วยการยอมรับของบุคคลอื่น



การปฏิบัติธรรมก็คือการเสียสละ มีความสุขในการทำงานกับรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน รุ่นน้อง
ถ้าเรามีเมตตา สถานที่นั้นๆ ก็มีความสุขมาก สถานการณ์ที่มันไม่ดี มันก็ดีได้นะ
เพราะเรามีศีลมีข้อวัตรปฏิบัติกาย วาจา ใจของเรามันดี
เพราะเราได้แก้ไขตัวเอง มันเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเขา เราก็ได้บุญน่ะ
โลกนี้ก็มีแต่ความสงบร่มเย็น เพราะเรากลับมาแก้ไขตัวเอง



เราอยู่บ้านเรา เราก็ประพฤติปฏิบัติธรรมที่บ้านของเรา
เรามีความสุขที่เราได้อยู่กับครอบครัวของเรา ดูแลปัจจัย ๔ ในครอบครัวของเรา
ให้ความรักความเมตตาต่อกันและกันให้มากขึ้นกว่านี้
ครอบครัวของเราก็จะมีความสุขมีความอบอุ่นขึ้น
สวรรค์มันก็จะเกิดขึ้นที่บ้านของเรา นิพพานมันก็จะเกิดขึ้นที่บ้านของเรา
มันอยู่กับเราอย่างนี้นะ



สำหรับเรื่องต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ให้เราถือโอกาสฉวยโอกาสมาพัฒนาจิตใจของเรา
เพราะชีวิตของเราเป็นของมีค่ามีราคา
ที่เราจะต้องปฏิบัติเพื่อสติสัมปชัญญะของเรามันจะได้สมบูรณ์ขึ้น



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก สมบัติของพ่อ เล่มที่ ๒พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP