วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓



Tao Nam Kang - front re



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            มาถึงโรงพยาบาล เห็นสีหน้าลานน้ำค้าง ความหวั่นใจ กังวลของบูรพาค่อยคลายลง หญิงสาวมีแววตากระสับกระส่ายก็จริง แต่ไม่มากอย่างที่คิด ชายหนุ่มก้าวยาว ๆ เข้าไปหาส่งรอยยิ้มอบอุ่นนำหน้า

            “แม่เป็นยังไงบ้าง” บูรพาเรียกขานคุณดาริกาไม่ผิดกับมารดาตัวเอง

            “ยังไม่รู้เลย ทางโรงเรียนเขาโทรศัพท์มาบอกว่าจู่ ๆ แม่ก็วูบเป็นลม เลยพามาส่งโรงพยาบาลแล้วรีบโทรมาหาฉัน...ฉันเลยขอลางานมาดู เจอพี่หมอน่าน เห็นพี่เขาบอกว่าไม่เป็นอะไรมากหรอก ให้ฉันรออยู่ข้างนอกนี่แหละ”

            “ถ้าพี่หมอพูดแบบนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก อย่ากังวลไปเลย” บูรพาปลอบโดยไม่หวังว่าอีกฝ่ายจะเชื่อ

            “แต่แม่ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ” หญิงสาวพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง

            “ทำใจดี ๆ น่า” บูรพาตบไหล่หญิงสาวเบา ๆ เป็นการเรียกสติและให้กำลังใจ “เชื่อสิ แม่ต้องปลอดภัย” คำพูดและอาการสัมผัสของเขา ทำให้ลานน้ำค้างรู้สึกดีขึ้น ไม่จมอยู่กับความครุ่นคิดซ้ำซากไปมา

            “พี่น่าน...” หญิงสาวมองเห็นร่างในเสื้อกาวน์ออกมาจากห้องฉุกเฉิน จึงหลุดปากเรียก

            “พี่หมอน่าน” มีลักษณะที่ใครเห็นแล้วต้องเชื่อว่าเป็นนายแพทย์แบบไม่ต้องสงสัย รูปร่างสันทัด สูงราวร้อยเจ็ดสิบกว่า ๆ หุ่นผอมบาง ผิวขาวออกซีด ๆ แบบคนไม่ค่อยเจอแดดลม ผิวหน้าขาว ดวงตาเรียวรีแบบคนจีน คิ้วเป็นเส้นเฉียง คมจมูกโด่งเป็นสันรับกับแว่นกรอบบาง มองดูเผิน ๆ อาจไม่ใช่ผู้ชายที่สะดุดตา แต่ในความซีด ๆ จืด ๆ นั้นก็มีเสน่ห์ตรงดูสะอาด และมีความมั่นใจในตัวเองสูง

            “สวัสดีครับพี่หมอ” บูรพายกมือไหว้ เขาคุ้นเคยกับหมอน่านพอ ๆ กับลานน้ำค้าง

            “แม่เป็นยังไงบ้างค่ะพี่น่าน” ลานน้ำค้างรีบถาม

            คุณหมอพยักหน้ารับไหว้บูรพา ก่อนหันไปตอบคำถามหญิงสาว

            “ไม่เป็นไรมากหรอก ตอนนี้ฟื้นแล้ว ดีนะตอนที่ล้มมีคนอยู่ใกล้ ๆ คอยรับไว้ เลยไม่มีอะไรน่าห่วง ตอนนี้อาจารย์หมอท่านพาไปตรวจอย่างละเอียดอยู่ อีกสักเดี๋ยวคงออกมา”

            ลานน้ำค้างค่อยยิ้มออก โล่งอก

            “ขอบคุณค่ะพี่น่าน ตอนได้ยินโทรศัพท์ ลานทำอะไรไม่ถูกเลย นึกไม่ออกด้วยว่าจะมาโรงพยาบาลยังไง โชคดีที่พี่มุก...คนที่ทำงานด้วยกันเขาช่วยลางานให้ แล้วพาส่งขึ้นแท็กซี่มานี่แหละค่ะ”

            “คราวหน้าก็ตั้งสติให้ดี มีอะไรโทรมาถามพี่ก่อนก็ได้ คุณน้าท่านก็อยู่ในวัยที่ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษแล้วเหมือนกัน” คุณหมอพูดกึ่งสอน

            “ค่ะ” หญิงสาวรับคำด้วยสีหน้าจ๋อย ๆ

            “แล้วมายังไงล่ะบู” หมอน่านถามบูรพา

            “ลานโทรมาครับ ผมเลยรีบบึ่งมอเตอร์ไซค์มาที่โรงพยาบาลนี่เลย”

            “ดีนะที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ” หมอพูดกึ่งบ่น พลางหันไปทางหญิงสาว “ถ้าเจ้าบูเป็นอะไรไปอีกคนจะทำยังไงนะเรา”

            สองหนุ่มสาวยิ้มรับแหย ๆ เถียงไม่ออกสักคำ...

            พี่หมอน่านอายุมากกว่าพวกเขาหก เจ็ดปี แต่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เขาเป็นลูกชายของคุณนงนุช เพื่อนสนิทเก่าแก่ของคุณดาริกา เคยมาเล่นด้วยที่บ้านบ่อย ๆ ทำตัวเหมือนพี่ชายคนโตที่เข้มงวดคอยดูแลน้อง ๆ ถึงอย่างนั้น ลานน้ำค้างและบูรพาก็รู้ว่าพี่หมอเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี ทำท่าดุ สั่งสอนไปอย่างนั้นเอง ใจจริงไม่มีอะไร

            “อย่างนี้งานวันเกิดก็ต้องยกเลิกสินะ” บูรพาพูดเชิงบ่น

            “เลื่อนไปวันพรุ่งนี้ก็ได้” หมอน่านบอก...เขามีส่วนในแผนการนี้เหมือนกัน “ยังไงคืนนี้ให้คุณน้าได้พักผ่อนเต็มที่เสียหน่อย พรุ่งนี้ก็ลางานต่อ ไม่ต้องไปสอน ตกเย็นเราก็พาแกไปงานเลี้ยงได้แล้ว”

            “จริงนะคะพี่น่าน” ลานน้ำค้างพูดเหมือนขอคำยืนยัน

            “จริงสิ...พี่ดูอาการท่านแล้วก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร จะใช้ตามแผนเดิมก็ได้”

            “ดีครับ งั้นผมจะไปโทรไปขอเลื่อนวันกับทางร้าน” บูรพาบอก

            “งั้นลานก็ต้องโทรไปบอกเลื่อนแขกด้วย”

            หมอน่านฟังแล้วอดหัวเราะหึหึไม่ได้

            ที่จริงแผนสร้างความประหลาดใจของสองหนุ่มสาวไม่มีอะไรมาก แค่ให้หมอน่านกับคุณนงนุชขับรถมาชวนคุณดาริกาไปกินข้าว ที่ร้านอาหารซึ่งบูรพาติดต่อเตรียมไว้ แล้วที่นั่นจะมีพวกคุณครู ศิษย์เก่าที่สนิทสนมกับคุณดาริกามารอร่วมอวยพรวันเกิดอย่างพร้อมหน้า

            พอเกิดเหตุฉุกเฉินแบบนี้ ทั้งคู่ต้องรีบแก้ไข แจ้งกำหนดการเปลี่ยนแปลงเวลากับแขกและทางร้านโดยด่วนที่สุด

            “ดีแล้ว จะได้รู้จักว่าความวุ่นวายเป็นยังไง” หมอน่านยังว่าซ้ำ

            “แหม...พี่หมอ ไม่คิดจะให้กำลังใจกันบ้างเหรอ” บูรพาบ่นอุบ

            “อืม...พี่ว่าจะช่วยอยู่เหมือนกัน เอาเป็นว่าพี่จะช่วยบอกแม่พี่ให้เองแล้วกันว่างานเลื่อน”

            “ค่ะ...ขอบคุณจริง ๆ ช่วยได้เยอะเลย” ลานน้ำค้างประชดใส่

            บูรพาหัวเราะขัน รู้สึกใจผ่อนคลายกว่าตอนแรกมากมาย

            “ที่ช่วยนี่ไม่ใช่ว่ากลัวเจ้าลานโทรไปหาป้านงนุชเอง แล้วแกจะชวนคุณเธอไปเป็นลูกสะใภ้อีกหรือครับ” บูรพาสบายใจพอจะหยอกคุณหมอกลับบ้าง

            “เฮ้ย...แม่เขารู้แล้วว่ายังไงพี่ก็ไม่เอาเจ้าลานแน่ ๆ เลยเลิกหวังแล้วล่ะ”

            “แหม...ลานเสียหายตรงไหนคะพี่น่าน ถึงมาสู่ขอไม่ได้” หญิงสาวหยอกคืน

            “พี่ไม่อยากมีแฟนเป็นทอมบอย” คุณหมอตอบ

            “ใครว่า...ลานน่ะออกจะเป็นเลดี้เต็มขั้น”

            คำพูดนี้สามารถเรียกเสียงหัวเราะจากสองหนุ่มเต็มที่...

            ด้วยความสนิทสนมกันชนิดแน่นแฟ้นระหว่างคุณดาริกากับคุณนงนุช ทั้งคู่จึงแอบหมั้นหมายในใจกันแต่แรกว่าอยากจะให้ลูกของทั้งสองฝ่ายมาเกี่ยวดอง แต่งงานกัน ถึงขั้นพามาให้พบปะ ใกล้ชิดกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทว่าความสัมพันธ์กลับกลายเป็นได้แค่พี่น้อง

            สองคุณแม่เพื่อนสนิทจึงได้แต่มาบ่นปรับทุกข์กัน โดยหารู้ไม่ว่าเด็ก ๆ แอบได้ยิน...ซึ่งพอรู้อย่างนี้ทั้งสองเลยยิ่งขีดคั่นเส้นสัมพันธ์กันชัดเจน ไม่ยอมตามใจบุพการีเด็ดขาด

            “แม่ออกมาแล้ว” ลานน้ำค้างเอ่ยปากทันทีที่เห็นมารดาออกมาจากห้องตรวจ

            ทั้งสามรีบเดินเข้าไปหา พยายามไถ่ถามอาการด้วยความเป็นห่วง

            “แม่สบายดีแล้วจ้ะ...อาจารย์หมอท่านรับรอง แต่ก็ยังให้กินยาบำรุงอีกตั้งสองสามอย่าง”

            “อย่างนั้นก็ดีแล้วครับคุณน้า” หมอน่านบอก “สุขภาพจะได้แข็งแรงเร็ว ๆ”

            “แต่น้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก สบายใจได้”

            “ครับ” หมอน่านรับคำสั้น ๆ

            ลานน้ำค้างกับบูรพาต่างก็ชวนกันพาคุณดาริกากลับบ้าน

            “พักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ” หมอน่านบอกทิ้งท้าย

            “จ้า...” คุณดาริกาแกล้งลากเสียง พร้อมยิ้มสวยบอกลา




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เด็กหนุ่มผมยาว ผอมสูง ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนเก่าสีซีด สะพายกีตาร์เดินออกจากห้องพักโทรม ๆ ได้เพียงสองสามก้าวก็ต้องชะงักเท้า เงยหน้ามองร่างท้วมกลมที่ยืนเท้าเอวรอด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

            “ค่าเช่าห้อง!” เสียงแหลมห้วนของป้าปริก เจ้าของห้องพัก

            “เงินยังไม่ออก” เสียงตอบห้วนพอกัน นัยน์ตาคม สวยใต้แพขนตางอนฉายแววเอาเรื่อง

            “เมื่อไหร่จะออก เลยกำหนดมาเป็นอาทิตย์แล้วนะยะ” ฝ่ายเจ้าของบ้านขึ้นเสียง

            “วันนี้จะเอามาให้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเดิม

            “วันนี้ วันนี้ มันกี่วันนี้แล้ว ไม่เห็นจะได้สักที” เสียงป้าปริกดังขึ้นเรื่อย ๆ

            แววโทสะฉายจับดวงตาคู่สวย ริมฝีปากเรียวบางเม้มสนิท พยายามข่มอารมณ์

            “ถ้าไม่จ่ายก็ต้องรีบย้ายออกไปซะนะยะ อย่าหน้าด้านอยู่ต่อ ให้เจ้าของบ้านอย่างฉันต้องขาดรายได้”

            เปลวไฟลุกโชติช่วงในดวงตา มือเกร็งกำสายกระเป๋ากีตาร์แน่น...หากผู้พูดไม่ใช่ผู้หญิงคราวแม่ คราวป้า เขาคงไม่ยอมทนถึงขนาดนี้

            “ถ้าป้ายังยืนขวางทางอย่างนี้ ผมก็ออกไปทำงานหาเงินมาให้ป้าไม่ได้” เขากัดฟันตอบอย่างใจเย็นที่สุด

            “เชอะ...ไปทำงาน นักดนตรีกิ๊กก๊อก กระจอก ไม่มีเงินจ่ายกระทั่งค่าเช่าห้อง...หล่อ ๆ อย่างนี้ไปหลอกเอาเงินกับพวกแม่ม่ายมาจ่ายค่าเช่าห้องดีกว่าไอ้หนู”

            ใบหน้าที่ขาวจัดกลับแดงฉานด้วยแรงโทสะ ขยับตัวจะเดินไปข้างหน้าตั้งใจชนหญิงคราวป้าอย่างไม่สนใจ วูบหนึ่งแห่งสติกระตุกไว้ ทำให้เขาชะงัก หันหลังกลับเข้าห้องปิดประตูดังปัง!

            ป้าปริกตะลึง อึ้ง เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนเจ้าตัวจะรู้สึกตัว รีบกรากตามไปทุบประตูเสียงดังลั่น

            “นี่...ว่ายังไงยะ จะจ่ายหรือไม่จ่าย ออกมาเดี๋ยวนี้นะแก ออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง ไม่งั้นฉันเรียกตำรวจจับจริง ๆ ด้วย”

            เสียงทุบประตูดังโครมครามได้ยินกันทั่ว ไม่มีห้องไหนกล้าโผล่หน้าออกมาดู และป้าปริกก็ไม่ได้เรียกตำรวจอย่างที่ขู่ จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ หญิงกลางคนเริ่มเหนื่อย ทุบประตูจนเจ็บมือ เสียงที่แผดก็เบาลง ประตูค่อยเปิดออกมา

            ป้าปริกตั้งท่าจะแหวด่า พอสายตาเห็นเด็กหนุ่มถือกีตาร์ มีกระเป๋าเสื้อผ้าสะพายหลังติดมาด้วย จึงเปลี่ยนคำพูดทันควัน

            “นี่แก...จะไปไหน แล้วค่าเช่าห้องจะว่ายังไง”

            “ไม่มี...ไม่จ่าย” เขาพูดห้วนสั้น หน้าเครียด เดินผละอย่างไม่สนใจ

            ป้าปริกรีบวิ่งตุบ ๆ ตามไปขวางหน้าอย่างทันท่วงที

            “ทำยังงี้ได้ยังไง จ่ายค่าเช่าที่ค้างมาเดี๋ยวนี้นะแก”

            “ป้าบอกเองนี่ ถ้าไม่จ่ายก็ให้ย้ายออกไปซะ ผมก็ย้ายออกไปเดี๋ยวนี้แล้วไง”

            “อ้าว...” ป้าปริกพูดไม่ออก เหมือนโดนหมัดเด็ดเข้าลิ้นปี่

            “ส่วนข้าวของที่เหลือของผมน่ะ ป้าอยากจะเอาไปขายหักค่าเช่าที่ค้างก็ตามใจ ผมยกให้”

            พูดจบก็ก้าวยาว ๆ ออกจากบ้าน ปล่อยให้ป้าปริกยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกพักใหญ่...กว่าจะรู้ตัว ก็ทำได้แค่เพียงตะโกนด่าไล่หลังด้วยถ้อยคำรุนแรง ชนิดที่ใครเผลอฟังต้องเอาน้ำมนต์มาล้างหูไม่ต่ำกว่าเจ็ดวัดเจ็ดวา

            โดมถอนใจเฮือกใหญ่ ไฟโทสะยังกรุ่นอยู่ในอก อยากกลับไปตวาดด่าย้อนคืน หรือไม่ก็อาละวาด ทุบข้าวของที่นั่นให้พังคามือ สมกับอารมณ์รุนแรงที่กระแทกอยู่ในใจ ทำได้เพียงบอกกับตัวเองให้อดทน ข่มใจไว้...ไม่มีประโยชน์อะไรกับการกระทำอย่างนั้น

            ประสบการณ์ต้องระเหเร่ร่อนสอนให้รู้ว่า การอดทน อดกลั้น ยอมรับความจริงจะสร้างปัญหาน้อยกว่า หากทำอะไรรุนแรงกลับไป ผลจะเลวร้าย วุ่นวายไม่รู้จบ

            ออกจากห้องเช่า ยังไม่รู้จะนอนไหน ที่ต้องทำก่อนคือ รีบไปทำงาน ไม่งั้นอาจถูกตัดเงิน...

            วันนี้เงินจะออกก็จริง แต่โดมมีรายจ่าย หนี้สินรอเคลียร์อยู่เช่นกัน ไม่แน่ว่าจะเหลือพอมาจ่ายค่าเช่าห้องได้หรือเปล่า การยอมออกมาตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าหมดหนี้สินไปอีกราย

            เด็กหนุ่มถอนใจอีกครั้ง เหนื่อยราวกับต้องแบกภาระเกินอายุ...นี่เขากำลังทำอะไร...เพื่ออะไร...เพื่อเดินตามความฝัน หรือแค่อยากจะพิสูจน์ตัวเอง...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “พอจะเล่นเพลงนี้ได้มั้ยโดม” เจ้าของร้านยื่นเนื้อเพลงมาให้

            ชื่อเพลง ดวงใจ” เห็นแค่ชื่อก็ยังงง ๆ พออ่านเนื้อร้องเขาแทบตากลับ



            ...ดวงใจ...ทุกคนมีสิทธิจะรักกันได้ ถึงอยู่ห่างไกล ก็ยังส่งใจไปถึง...



            นี่มันเพลงรุ่นคุณแม่ คุณป้ายังสาวนี่นา...อย่าว่าแต่จะให้เล่นเลย แค่ฟังผ่านหูก็ไม่เคยได้ยิน

            “ไม่ได้หรอกเฮีย เพลงอะไรก็ไม่รู้” เขาตอบตรงไปตรงมา

            “พยายามหน่อยน่า ลูกค้าขอมา เขาเตรียมไว้เซอร์ไพรส์วันเกิดแม่”

            “ผมไม่เคยฟัง จะร้องได้ยังไง” เสียงเขาอ่อนลง

            “ไม่เป็นไร แค่เล่นกีตาร์อย่างเดียวก็พอ นี่ไงเขาแกะคอร์ดไว้ให้แล้ว เดี๋ยวลูกสาวเขาจะเป็นคนร้อง”

            โดมถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาไม่ชอบทำงานตามใบสั่ง ไม่ชอบร้องเพลง เล่นดนตรีตามความต้องการลูกค้า แต่ไม่อาจเลี่ยงได้

            “ว่ายังไง...เรียบร้อยมั้ยเฮีย” ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินมาถึงหลังร้าน

            “เรียบร้อยสิวะไอ้บู” เจ้าของร้านออกปากรับรอง น้ำเสียงที่พูดบอกความสนิทสนม คุ้นเคย

            ชายที่ชื่อบู...หันมายิ้มให้โดม

            “น้องเป็นคนเล่นกีตาร์ใช่มั้ย” คำถามกันเอง โดมฟังขัดหูจึงแค่พยักหน้ารับ

            “ต้องซ้อมก่อนมั้ย พี่จะไปตามเพื่อนมาให้ นักร้องกับนักดนตรีจะได้เล่นเข้าขากัน” ลูกค้าคนนั้นถามต่อ

            “ไม่ต้องหรอก” โดมตอบห้วน ๆ “ถ้าพี่แกะคอร์ดให้ผมไม่ผิด ก็ไม่น่ามีปัญหา”

            “แล้วมันจะไม่ล่มเหรอ เดี๋ยวเพื่อนพี่ขายหน้าเขาตาย” เขาพูดอย่างเป็นห่วง

            โดมถอนใจอย่างจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน นัยน์ตาสบตรงกับชายหนุ่มลูกค้า

            “ร้องกันเล่น ๆ ในร้านอาหาร คนฟังก็เป็นพรรคพวกกัน ไม่ได้ไปร้องประกวด มีกรรมการมาฟังไม่ใช่หรือพี่”

            คำพูดของโดมทำให้เฮียเจ้าของร้านเริ่มชักสีหน้า ขยับปากจะต่อว่า ชายหนุ่มลูกค้ากลับยิ้มอารมณ์ดี

            “โอเค...ไม่เป็นไร...ไอ้ลาน...เพื่อนพี่มันดำน้ำเก่ง” พูดพลางหัวเราะไม่ถือสา

            รอยยิ้มที่ดูกระจ่าง สดใส ไม่มีร่องรอยการประชดประชันของชายหนุ่มตรงหน้า สร้างความละอายใจแก่โดมไม่น้อย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            วันนี้ไม่ใช่วันคล้ายวันเกิดคุณดาริกา แต่เลื่อนมาแค่วันเดียว เนื่องจากเมื่อวานต้องพักผ่อนหลังกลับจากโรงพยาบาล

            แผนการนี้ คงไม่สามารถเรียกว่า “เซอร์ไพรส์” ได้เต็มปาก เพราะดูท่าคุณดาริกาเดาได้ตั้งแต่เห็นคุณนงนุชมารับพร้อมกับหมอน่าน ว่างานนี้คงไม่ใช่แค่มารับประทานอาหารเย็นกันธรรมดาแน่ ๆ

            พอมาถึงได้พบพวกลูกศิษย์ ลูกหาที่สนิทคุ้นเคย เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันที่ไม่ค่อยได้เจอ ก็รู้แล้วว่าเป็นการเตรียมการอย่างดี

            ร้านอาหารแห่งนี้ตกแต่งแบบกึ่งสวนอาหารกึ่งผับธรรมชาติ เป็นการผสมผสานจัดร้านอย่างลงตัวมีรสนิยม โต๊ะของกลุ่มคุณดาริกาถูกแยกเป็นสัดส่วน ต่างหาก ใกล้กับเวที อาหารที่นำมาเสิร์ฟล้วนถูกคัดสรรว่าเป็นของโปรดทั้งสิ้น

            การจัดงานวันเกิดท่ามกลางเพื่อนฝูง คนรู้จักคุ้นเคยห้อมล้อมอย่างนี้ ทำให้เป็นปีที่อบอุ่น น่าจดจำปีหนึ่งทีเดียว

            เวทีดนตรีใกล้กับโต๊ะคุณดาริกา มีนักดนตรีเป็นเด็กหนุ่มหน้าสวย ผมยาว แต่งตัวเซอร์ ๆ ง่าย ๆ เล่นกีตาร์พลิ้วไหว จับใจราวกับมีเวทมนต์ น้ำเสียงนุ่มละมุน ฟังกลมกลืนกับบรรยากาศธรรมชาติรอบตัว แม้จะเป็นเพลงรุ่นใหม่ คุณดาริกาก็ไม่ฟังขัดหู

            เพลงจบ นักดนตรียังไม่ขึ้นเพลงใหม่ เขากรอกเสียงใส่ไมค์ด้วยคำพูดเรื่อย ๆ

            “เพลงต่อไป เราได้รับเกียรติจากลูกค้า จะขึ้นมาร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับคุณดาริกา แม่ของเธอเองครับ”

            ได้ยินชื่อตัวเองเช่นนี้ คุณดาริการีบหันมามองลูกสาว เห็นลานน้ำค้างยิ้มเผล่ โดยมีบูรพาคู่หูชูนิ้วโป้งให้

            “ถ้าแม่ทนฟังเสียงเจ้าลานไม่ไหว ผมขอเสนอที่อุดหูจากรายการช้อปปิ้งกริ๊งครับ...หรือถ้ามันแย่แน่ ๆ จะแอบหนีไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ยังทัน”

            คนเป็นแม่ยิ้มอย่างเป็นสุข ลานน้ำค้างหันมาแยกเขี้ยวให้เพื่อนชาย ก่อนรีบขอตัวลุกขึ้นไปบนเวที หนุ่มนักดนตรีกำลังนั่งรอ แถมมีสีหน้าเบื่อหน่ายเล็ก ๆ แบบไม่ค่อยเก็บซ่อน

            “น้องได้คอร์ดที่พี่แกะให้แล้วใช่มั้ยคะ” ลานน้ำค้างเชื่อว่าหนุ่มนักดนตรีคงอายุน้อยกว่าเธอจึงเอ่ยปากทักทายเช่นนี้

            อีกฝ่ายพยักหน้าง่าย ๆ กางเนื้อเพลงขึ้นมาโดยสายตาแทบไม่มองนักร้องจำเป็นเลยสักนิด ลานน้ำค้างยิ้มอย่างไม่ถือสา หยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด

            “ฮะแฮ้ม...เนื่องจากวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณแม่ดาริกา ผู้เป็นที่รักของพวกเราทุกคน เพราะฉะนั้น นอกจากอาหารแสนอร่อยมื้อนี้แล้ว ยังมีเสียงเพลงอันแสนหวาน ไพเราะ ชนิดหาฟังที่ไหนไม่ได้อีกแล้วจากลูกสาวแสนสวยคนเดียวของคุณแม่...ถ้าใครฟังแล้วกลับไปนอนหลับฝันดี อย่าลืมเหน็บเลขท้ายสองตัว สามตัวมาฝากกันบ้างนะคะ”

            เสียงหัวเราะมาพร้อมเสียงปรบมือจากโต๊ะเจ้าของงานวันเกิด โดมอดเงยหน้ามองเจ้าของเสียง เจ้าของมุขเรียกรอยยิ้มคนนี้ไม่ได้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวหันมามองเขาเป็นเชิงให้สัญญาณ

            “พร้อมแล้วค่ะน้อง”

            นัยน์ตาสดใส รอยยิ้มสว่าง ใบหน้าเรียวนวลแอร่ม ความสดใส น่ารักจับใจ กระตุกความสนใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...

            เด็กหนุ่มรูปหล่ออย่างเขา เจอผู้หญิงสวยมาไม่น้อย ไม่เคยมีใครสามารถสร้างความรู้สึกแบบนี้ให้เกิดมาก่อน เหมือนตกอยู่ในห้วงอารมณ์ประหลาด ไม่รู้สึกตัว ก่อนได้สติ รีบพยักหน้ารับ พร้อมทำงาน

            เสียงพลิ้วกังวานของกีตาร์บรรเลงขึ้น ตามด้วยเสียงหวานใสร้องคลอตามโดยไม่เพี้ยน ผิดคีย์ ไม่มีร่องรอยอาการว่าจะต้องดำน้ำจนจบเพลง

            ...ดวงใจ...ทุกคนมีสิทธิจะรักกันได้ ถึงอยู่ห่างไกล ก็ยังส่งใจไปถึง...

            ...อ้อมแขนของฉัน คอยสัมพันธ์ รักอันตราตรึง คอยวันสุขซึ้ง จากดวงใจที่จริงจังมั่นคง...



            จังหวะของดนตรี ลูกเล่น ลูกคอนักร้อง สอดคล้องผสานกลมกลืนราวกับซักซ้อมกันมาเป็นปี พาให้ผู้ฟังเคลิ้มฝันไปกับความรัก ความรู้สึกอันแสนหวานที่บรรจงวาดด้วยเส้นเสียง

            คุณดาริกาฟังเพลงนี้ด้วยหัวอกอิ่ม บทเพลงที่ชวนรำลึกถึงชายคนหนึ่งที่อยู่ห่างกัน...ไกลถึงคนละภพ...บทเพลงที่เคยร่วมฟัง เคยร้องกล่อมลูกน้อย

            หากใครได้ฟังเพลงที่สะกิดถึงความหลังอันแสนหวานนี้ อาจพาเศร้าใจ โดนทุกข์บีบคั้น ยอกแสยงหัวอก แต่กับคุณดาริกานั้นไม่ใช่ เธอมีความทรงจำที่ดีต่อเพลงนี้ ทุกครั้งที่ได้ยินมักเรียกรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า ชักพาความอบอุ่นมาสู่หัวใจ



            ...ถึงอยู่ห่างไกล ก็ยังส่งใจไปถึง...



            ใจเธอกับใจเขาสื่อกับด้วยสัมพันธ์อันงดงาม แม้มิอาจเห็นหน้า ก็ยังมีตัวแทนให้รำลึก ตัวแทนที่ร้องเพลงด้วยหัวใจเป็นสุขให้แก่เธอในเวลานี้

            ลานน้ำค้างไม่อาจรู้หรอกว่า...ของขวัญที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับมารดานั้น ไม่ใช่อาหารรสเลิศ ไม่ใช่เสียงเพลงไพเราะ ไม่ใช่ผู้คนมากมายมาร่วมอวยพร แต่เป็นรอยยิ้มของเธอ...ความสุขของเธอ คือของขวัญที่มีค่าที่สุดสำหรับคนเป็นแม่

            เพลงจบ ลานน้ำค้างยกมือไหว้รับเสียงปรบมือ ก่อนพูดปิดท้าย

            “ขอให้คุณแม่ดาริกา สุขภาพแข็งแรง อายุยืน อยู่เลี้ยงลูกสาวคนนี้ไปนาน ๆ นะคะ”

            คุณดาริกาหัวเราะ ขอบตารื้น ลานน้ำค้างลงจากเวที เข้ามากอด หอมแก้มแม่ฟอดใหญ่...

            ภาพความสุขนี้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของโดม...

            ขณะที่ลานน้ำค้างลงจากเวที โดมรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งในหัวใจ กำลังตามติดหญิงสาวคนนี้ไปด้วยเช่นกัน...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP