จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

ขุดถอนรากต้นมะม่วง


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it



185 destination



ในรั้วบ้านผมมีพื้นที่สนามหญ้าเล็ก ๆ อยู่หน้าบ้าน
ซึ่งนอกจากจะใช้ปลูกต้นกล้วย สมุนไพรฤทธิ์เย็นบางชนิด
แล้วก็ยังปลูกต้นมะม่วงต้นใหญ่ต้นหนึ่งด้วย
ต้นกล้วยนั้นก็ออกผลกล้วย และแตกหน่อกล้วยใหม่อยู่เรื่อย ๆ ตามปกติ
ใบตองก็นำมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้ เช่น ห่อผักก่อนที่จะนำผักแช่ตู้เย็น
ซึ่งก็จะช่วยทำให้ผักคงความสดได้ดีกว่าแช่ในถุงพลาสติกเฉย ๆ
สมุนไพรฤทธิ์เย็นนั้นก็สามารถนำมาทำน้ำคลอโรฟิลด์ได้
เวลาตัดหญ้าในสนามหญ้าหน้าบ้าน
ก็สามารถนำต้นหญ้าที่ตัดแล้ว ไปให้วัวที่อยู่ที่วัดใกล้ ๆ บ้านกินได้


แต่สำหรับต้นมะม่วงนั้น ปลูกมาหลายปีนานจนต้นใหญ่พอสมควรแล้ว
แต่กลับปรากฏว่าไม่ออกลูกมะม่วงเสียที ออกมาแต่ใบเยอะมาก
มีอยู่บางปีที่ต้นมะม่วงออกดอกมาอยู่ไม่กี่วัน ไม่มาก แล้วก็ร่วงหมด
แม้ว่าจะลองปรับเปลี่ยนปุ๋ยอย่างไร ก็ไม่ปรากฏว่าออกลูกมะม่วงได้
ลองค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดู พบว่ามีบางความเห็นเขาแนะนำว่า
ถ้าเลี้ยงดูแบบสมบูรณ์เกินไป ต้นมะม่วงจะไม่ติดลูก
โดยต้องเลี้ยงแบบให้ใกล้ตาย ต้นมะม่วงจะได้ออกลูกเพื่อสืบพันธุ์


แต่การที่ผมจะเลี้ยงต้นมะม่วงแบบให้ใกล้ตายอย่างนั้นก็ไม่ใช่ง่าย
เพราะต้นมะม่วงอยู่ใกล้กับต้นไม้อื่น ๆ ซึ่งเวลาไปรดน้ำต้นไม้อื่น ๆ
ต้นมะม่วงก็ย่อมจะได้น้ำจากในดินด้วย
แถมพอว่างทีไร คุณน้าที่อยู่ด้วยกันก็ชอบเอาปุ๋ยไปใส่ต้นไม้
ในปีที่ผ่านมาซึ่งแล้งมาก ที่บ้านผมก็งดรดน้ำต้นไม้ทั้งหมด
เพราะช่วยกันประหยัดน้ำ โดยตั้งใจว่าแม้ต้นไม้จะตาย ก็ปล่อยไป
แต่ต้นมะม่วงก็ไม่ตายนะครับ แถมยังออกใบและกิ่งมาเยอะอีก
ส่วนดอกและผลนั้นไม่มีให้เห็นเลย


หลังจากที่รออยู่ปลายปี ผมจึงตัดใจว่าจะนำต้นมะม่วงออกจากสนามดีกว่า
โดยในการนำต้นมะม่วงออกจากสนามนั้น
ผมไม่ได้ทำวันเดียวเสร็จนะครับ แต่ว่าทำอยู่หลายวันตามแต่เวลาสะดวก
โดยก็ทำไปวันละนิดวันละหน่อยตามแต่กำลังกายจะสามารถ
ในวันแรกก็เริ่มต้นด้วยการตัดกิ่งเล็ก ๆ และใบออกไปก่อน โดยใช้กรรไกรตัดกิ่ง
ต่อมาวันที่สองก็ค่อยมาทยอยตัดกิ่งใหญ่ ๆ หนา ๆ โดยใช้เลื่อย
เมื่อตัดกิ่งใหญ่ ๆ ออกหมดแล้ว ผมก็เลื่อยตัดลำต้นออกไปบางส่วน
เหลือลำต้นอยู่ขึ้นมาเหนือดินประมาณเมตรกว่า ๆ
(สำหรับกิ่งหนา ๆ และลำต้นที่ตัดออกมานั้นก็นำไปให้กับคนแถวบ้าน
โดยเขานำไปตากแห้ง แล้วสามารถนำมาใช้ทำเป็นฟืนได้)
พอทำมาถึงตรงนี้แล้ว คุณน้าที่อยู่กับผมก็แนะนำว่า
ให้เลื่อยลำต้นเหลือเท่าพื้นดินก็พอแล้ว
ไม่ต้องไปขุดดินถอนรากต้นมะม่วงหรอก


แต่ผมเห็นว่าหากปล่อยลำต้นไว้เท่าพื้นดินย่อมจะเกะกะพื้นที่สนามหญ้า
แถมต้นมะม่วงก็อาจจะงอกขึ้นมาได้อีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ดังนั้นผมจึงตั้งใจว่าจะต้องขุดดิน และถอนรากต้นมะม่วงออกไปเลย
วันที่สามจึงเริ่มใช้จอบและเสียมขุดดินรอบ ๆ ต้นมะม่วงลึกลงไปเรื่อย ๆ
เมื่อใช้จอบ โดยใช้มือเปล่าไปได้สักพักหนึ่งแล้ว มือก็จะเริ่มขึ้นตุ่มน้ำ
ก็เลยต้องหยุด เพื่อไปหาซื้อถุงมือสำหรับทำสวนมาใส่เสียก่อน


เมื่อได้ถุงมือทำสวนมาแล้ว ในวันที่สี่ก็เริ่มขุดดินต่อ
ช่วงแรก ๆ ที่ขุดดินลงไปนั้น ผมลองเอามือไปผลักขยับต้นมะม่วง
ปรากฏว่าต้นมะม่วงไม่ขยับเลย ยังคงตั้งตรงแข็งแรงอย่างมาก
ทำให้รู้สึกหนักใจพอสมควรทีเดียว ไม่รู้ว่าจะต้องขุดไปลึกอีกแค่ไหน
แต่ลึก ๆ ก็ยังสบายใจว่าได้ทำมาพอสมควรแล้ว เพราะหลุมรอบ ๆ ก็ลึกอยู่


ต่อมาในวันที่ห้า ขุดดินลงไปได้ถึงระดับหนึ่ง และตัดรากออกไปได้เยอะแล้ว
พอเอามือไปผลักขยับต้นมะม่วง ปรากฏว่าต้นมะม่วงเริ่มขยับได้บ้างแล้ว
ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น เพราะเห็นว่าต้นมะม่วงขยับได้แล้ว
ในวันที่หก ก็ขุดลึกลงไปเจอรากขนาดใหญ่ของต้นมะม่วง
แล้วก็ทยอยตัดรากขนาดใหญ่ออกไปหลายราก
ลองเอามือผลักขยับต้นมะม่วงดู ปรากฏว่าต้นมะม่วงโยกเยกล้มได้แล้ว
ผมลงไปยืนในหลุมที่ขุดและตรวจสอบรากต้นมะม่วง
เห็นว่าเหลือรากขนาดใหญ่อีก ๒ รากเท่านั้น ก็รู้สึกสบายใจว่าทำเสร็จแน่ ๆ


พอต่อมาในวันที่เจ็ด ก็ขุดลงไปอีกเพียงไม่เยอะแล้วตัดรากขนาดใหญ่ ๒ ราก
และรากเล็ก ๆ ที่เหลืออีกจำนวนไม่มาก
แล้วก็สามารถยกต้นมะม่วงขึ้นมาจากหลุมได้
หลังจากนั้นแล้วก็นำดินที่อยู่รอบ ๆ หลุมกลบหลุมไป
ก็ถือว่าเสร็จสิ้นการขุดรากถอนต้นมะม่วง


ในการขุดถอนรากต้นมะม่วงที่เล่ามานี้
ส่วนตัวแล้วผมก็รู้สึกว่ามีบางเรื่องเหมือนกับการปฏิบัติธรรมนะครับ
โดยในการขุดรากถอนต้นมะม่วงต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม
กล่าวคือ ใช้กรรไกรตัดกิ่ง สำหรับตัดใบและตัดกิ่งขนาดเล็ก
ใช้เลื่อย สำหรับตัดกิ่งขนาดใหญ่ และลำต้น
ใช้จอบและเสียม สำหรับขุดดิน
ในการปฏิบัติธรรมนั้นก็ย่อมต้องใช้เครื่องมือให้ถูกตรงกับกิเลสเช่นกัน
ดังที่เคยฟังครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า
กิเลสหยาบ ๆ ต้องจัดการด้วยศีล
กิเลสปานกลาง (นิวรณ์) ต้องจัดการด้วยสมาธิ
กิเลสละเอียด (อวิชชา) ต้องจัดการด้วยปัญญา
ถ้าเราใช้เครื่องมือไม่ถูกประเภทแล้วก็ย่อมจะเหนื่อยยากมาก
เปรียบเสมือนเราจะใช้จอบและเสียมไปตัดใบไม้และกิ่งไม้ขนาดเล็ก
หรือจะใช้เลื่อยหรือกรรไกรตัดกิ่งไม้ไปขุดดินเป็นต้น


ในการขุดถอนรากต้นมะม่วงนั้น
เราก็ย่อมจะเห็นพัฒนาการของตนเองได้มาตามลำดับ
อย่างเช่น เราเห็นแล้วว่าใบและกิ่งไม้ขนาดเล็กหลุดออกไปแล้ว
เห็นแล้วว่ากิ่งขนาดใหญ่ที่ตัดออกนั้นได้หลุดออกแล้ว
เห็นแล้วว่าได้เลื่อยลำต้นออกไปบางส่วนแล้ว
เห็นแล้วว่าได้ขุดดินและตัดรากออกไปมากน้อยบ้างแล้ว
แม้ว่าบางทีเราจะรู้สึกว่าต้นมะม่วงยังไม่ขยับและทำให้รู้สึกเหนื่อยใจบ้างก็ตาม
แต่โดยพัฒนาการที่ผ่านมา เราย่อมเห็นได้ว่าเราทำมาถูกทางหรือไม่
และเมื่อนำต้นมะม่วงขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว เราย่อมเห็นได้ว่า ทำสำเร็จแล้ว


ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เราย่อมต้องใช้โยนิโสมนสิการตรวจสอบตนเอง
ว่าเรามีพัฒนาการบ้างขึ้นไหม
โดยพิจารณาว่าศีล สมาธิ และปัญญาเพิ่มขึ้นไหม
ซึ่งแม้ว่าเราอาจจะยังไม่ได้บรรลุธรรมในเวลานี้
แต่หากเราเห็นพัฒนาการของเราเองที่มีศีล สมาธิ และปัญญาเพิ่มขึ้น
เราก็ย่อมจะสบายใจได้ และพอจะเชื่อได้ว่าน่าจะมาถูกทางแล้ว
ในทางกลับกัน หากไม่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้น แต่ศีล สมาธิ ปัญญากลับแย่ลง
เราก็ควรต้องพิจารณาว่า เราปฏิบัติธรรมผิดทางหรือเปล่า
หรือเรามีทิฏฐิความเข้าใจตรงไหนผิดพลาดจากพระธรรมคำสอนหรือไม่
ในกรณีที่ศีล สมาธิ ปัญญาไม่แย่ลง แต่ก็ไม่พัฒนาเพิ่มเติม
เราก็ย่อมควรพิจารณาตนเองว่าติดขัดตรงไหน อย่างไร
โดยอาจจะสอบถามครูบาอาจารย์ในแนวทางคำสอนที่ท่านปฏิบัติอยู่
หรืออาจจะฟังธรรมเทศนา หรืออ่านหนังสือคำสอนครูบาอาจารย์ต่าง ๆ
ก็ย่อมจะช่วยให้แก้ไขข้อติดขัดนั้น ๆ ได้ครับ


ดังนี้แล้ว แม้ว่าเราจะยังไม่ได้บรรลุธรรมในขณะนี้
แต่เมื่อเราได้เห็นพัฒนาการในการปฏิบัติธรรมของเราแล้ว
เราก็ย่อมจะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมของเราได้
โดยไม่ควรให้ความอยากบรรลุธรรมมาเผาผลาญจิตใจเราให้เป็นทุกข์
เพราะเมื่อเราได้ทำเหตุและปัจจัยให้ถึงพร้อมเมื่อไรแล้ว
ผลก็ย่อมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ เป็นธรรมดาครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP