จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

เรื่องของเณรป้อง ตอนที่ ๕ พนันของโยมพ่อ


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


183 destination

            เวลาผ่านไปจนเหลืออีกเพียงสามวันก็จะครบเวลา ๑ เดือนที่เณรป้องบวชแล้ว ในวันนี้แม่ของป้องได้นิมนต์หลวงตา หลวงพี่เอก และเณรป้องมาฉันภัตตาหารเพลที่บ้าน โดยแม่ของป้องได้ชวนเพื่อนบ้านใกล้เคียงมาร่วมถวายภัตตาหารด้วย และพ่อของป้องก็ได้ชวนเพื่อน ๆ ของพ่อ รวมทั้งเพื่อนชื่อสมศักดิ์ที่ได้พนันกับพ่อของป้องในเรื่องระยะเวลาบวชของเณรป้องมาร่วมงานด้วย


                เมื่อสมศักดิ์มาถึงงานแล้ว พ่อของป้องก็คอยเย้าแหย่สมศักดิ์ว่า “เหลืออีกไม่กี่วันแล้วนะ” และหลังจากนั้นก็ยังเยาะเย้ยอีกหลายครั้ง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่สมศักดิ์เป็นอย่างมาก

                ภายหลังจากที่ญาติโยมได้ถวายภัตตาหาร และพระภิกษุกับสามเณรได้ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว สมศักดิ์จึงได้เข้าไปใกล้บริเวณที่พระภิกษุกับเณรป้องนั่งอยู่ พร้อมกล่าวถามเณรป้องว่า “เณรครับ โยมอามีเรื่องจะสอบถาม”

                เณรป้องได้ยินแล้วก็ตกใจ เพราะเข้าใจว่าสมศักดิ์จะถามธรรมะ จึงรีบตอบสมศักดิ์ว่า “ถ้าโยมอาต้องการถามธรรมะ ก็ขอให้ถามหลวงตาหรือหลวงพี่เอกดีกว่าครับ ผมไม่ทราบหรอกครับ”

                สมศักดิ์กล่าวตอบว่า “โยมอาไม่ได้ต้องการจะถามธรรมะครับ โยมอาเพียงแค่ต้องการจะถามเณรว่า ที่เณรตั้งใจบวชจนครบเป็นเวลา ๑ เดือนนี้ เณรได้รับการว่าจ้างจากโยมพ่อหรือโยมแม่ หรือบุคคลอื่นใดบ้างไหม หรือว่าเณรตั้งใจบวชด้วยความตั้งใจของเณรเองล้วน ๆ”

                พ่อของป้องเห็นสมศักดิ์ไปถามเณรป้องเช่นนั้น จึงรีบกล่าวขัดจังหวะว่า “สมศักดิ์ เอ็งไปถามอะไรอย่างนั้น เอ็งอย่าไปยุ่งกับเณรเลย”

                สมศักดิ์หันไปตอบพ่อของป้องว่า “อ้าว ก็ข้าอยากรู้นี่นาว่า เอ็งโกงพนันข้าหรือเปล่า”

                พ่อของป้องรีบตอบในทันใดว่า “โกงพนันอะไรล่ะ เราไม่ได้มีเงื่อนไขห้ามตรงไหนเลยว่าห้ามว่าจ้าง”

                เณรป้องได้ฟังทั้งสองคนสนทนาเช่นนั้นแล้ว จึงเกิดความสงสัย และถามสมศักดิ์ว่า “ก่อนที่ผมจะตอบคำถามโยมอา ผมขอถามโยมอาก่อนได้ไหมครับว่า มีการพนันอะไรกันหรือครับ”

                สมศักดิ์จึงได้เล่าให้เณรป้องฟังถึงเรื่องการพนันระหว่างพ่อของป้องและตนเองในเรื่องที่ว่าเณรป้องจะบวชได้ครบ ๑ เดือนหรือไม่ และเดิมพันที่ว่าหากฝ่ายไหนแพ้แล้ว จะต้องเลี้ยงเหล้าอีกฝ่ายหนึ่งฟรีเป็นระยะเวลา ๑ ปี ซึ่งเมื่อเณรป้องได้ฟังแล้ว ก็ทำให้เณรป้องเข้าใจพฤติกรรมแปลก ๆ ทั้งหมดที่ผ่านมาของพ่อ

                หลังจากที่เณรป้องได้ฟังคำอธิบายจากสมศักดิ์แล้ว เณรป้องนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจเล่าให้สมศักดิ์ฟังว่า“ก่อนที่ผมจะตัดสินใจมาบวชเณร โยมแม่ไม่ได้ว่าจ้างอะไรผม แต่เป็นผมเองที่ตั้งเงื่อนไขกับโยมแม่ว่า ถ้าผมบวชเณรได้ครบ ๑ เดือนแล้ว โยมแม่จะต้องซื้อโทรศัพท์มือถือให้ผม ในส่วนของโยมพ่อนั้น ในวันที่บวช โยมพ่อได้บอกผมว่า ถ้าผมบวชครบ ๑ เดือนแล้ว หากผมอยากได้อะไร โยมพ่อจะให้ตามที่ผมขอ”

                หลังจากที่เณรป้องได้เล่าความจริงให้สมศักดิ์ฟังแล้ว บรรยากาศในงานก็อยู่ในความเงียบสนิท เพราะไม่คิดว่าจะมีการสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้น แต่แล้วสมศักดิ์ก็ทำลายความเงียบด้วยการหันไปทางพ่อของป้องและกล่าวว่า “นี่ไงล่ะ เป็นข้อพิสูจน์ว่าเอ็งโกงพนันข้าล่ะ”

                พ่อของป้องหน้าแดงและกล่าวว่า “ข้าโกงตรงไหน ก็บอกแล้วไงว่า พวกเราไม่ได้มีข้อตกลงห้ามในเรื่องการว่าจ้าง”

                สมศักดิ์กล่าวว่า“อ้าว อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมน่ะสิ”

                พ่อของป้องกล่าวว่า “ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมข้าไม่รู้ เพราะข้าไม่ใช่ศาล แต่ข้ารู้แน่ ๆ ว่าเราตกลงกันโดยไม่ได้มีข้อห้ามนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าลูกข้าบวชครบ ๑ เดือน ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ถือว่าเอ็งแพ้พนันล่ะ”

                สมศักดิ์ได้ฟังพ่อของป้องกล่าวดังนั้นแล้วก็อึ้งไป และครุ่นคิดสมควรว่าจะโต้เถียงอย่างไรต่อไป



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



                ท่ามกลางบรรยากาศการโต้เถียงระหว่างพ่อของป้องและสมศักดิ์นั้นแม่ของป้องได้นั่งนิ่งเงียบมาโดยตลอด แต่แล้วแม่ของป้องก็ลุกเข้าไปนั่งตรงหน้าเณรป้อง พนมมือและกล่าวกับเณรป้องด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ป้อง แม่จะขอสารภาพว่า แม่ยังเก็บเงินไว้ได้ไม่เท่าไรเลย เรื่องจะซื้อโทรศัพท์มือถือให้ป้องตามที่เคยรับปากไว้นั้น แม่จะขอค่อย ๆ ผ่อนเงินให้ป้องจะได้ไหม”

                เณรป้องได้ฟังแม่บอกกับตนเองเช่นนั้นแล้ว ก็หวนระลึกถึงสิ่งที่หลวงตาได้สอนในระหว่างที่บวช และระลึกถึงบุญคุณทั้งหลายที่แม่ได้เคยทำให้แก่ตนเองตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งการป้อนข้าวป้อนน้ำนับจำนวนไม่ถ้วน หาเสื้อผ้าและของใช้มาให้ คอยแต่งตัวให้ เฝ้าคอยดูแลและรักษาในยามเจ็บป่วย อีกทั้งคอยสั่งสอนอบรมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมานั้น แม่ต้องทำงานหนักมาก แม้แต่ในเวลาที่แม่ป่วยเป็นโรคหัวใจแล้ว แม่ก็ยังต้องพยายามทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไว้ซื้อโทรศัพท์มือถือให้เณรป้องอีก แทนที่แม่จะนำเงินนั้นไปใช้เพื่อตนเอง หรือใช้เพื่อดูแลรักษาอาการป่วยของตนเอง

                เณรป้องระลึกได้ดังนั้นแล้ว น้ำตาก็ไหลออกจากเบ้าตาทั้งสองข้าง และได้กล่าวกับแม่ของตนเองด้วยเสียงสั่นเครือว่า “วันนี้ผมสำนึกได้แล้วว่า จริง ๆ แล้ว ผมเป็นคนที่เลวมากขนาดไหน โยมแม่ให้ผมมาอย่างมากมายขนาดนี้แล้ว แต่ผมไม่เคยระลึกถึงบุญคุณของโยมแม่เลย และไม่เคยคิดที่จะทำอะไรเพื่อตอบแทนโยมแม่เลย ผมมัวแต่คิดที่จะเรียกร้องเอามากขึ้น ๆ เพื่อตนเอง”

                ทุกคนในงานนั่งฟังด้วยความเงียบ แล้วเณรป้องก็กล่าวกับแม่ต่อไปว่า “โยมแม่ไม่ต้องซื้อโทรศัพท์มือถือให้ผมแล้วครับ แต่โยมแม่เก็บเงินไว้รักษาตัว หรือไม่โยมแม่ก็ทำงานให้น้อยลงและพักผ่อนให้มากขึ้น โดยเอาเงินที่เก็บไว้นั้นใช้จ่ายเถอะครับ”

                แม่ของป้องได้ฟังเณรป้องกล่าวเช่นนั้นแล้ว น้ำตาก็ไหลออกมาอาบสองแก้มด้วยความตื้นตันใจ โดยไม่สามารถกล่าวถ้อยคำอะไรออกมาได้อีก



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



                พ่อของป้องได้ฟังเณรป้องกล่าวกับโยมแม่เช่นนั้นแล้ว จึงกล่าวกับเณรป้องว่า “ถ้าอย่างนั้น ในส่วนของพ่อนั้น เณรก็ไม่เอาอะไรด้วยเหมือนกันใช่ไหม”

                “ถ้าผมไม่เอาอะไร แล้วโยมพ่อจะยังพนันกับโยมอาต่อไปหรือเปล่าครับ” เณรป้องถาม

                พ่อของป้องรีบยืนยันเสียงแข็งว่า “อ้าว ก็ต้องพนันต่อไปสิ จะไปยกเลิกได้ยังไง เมื่อลูกผู้ชายสัญญาอะไรไว้แล้ว ก็ต้องทำตามสัญญา ไม่อย่างนั้น พ่อก็เสียศักดิ์ศรีหมดสิ”

                เณรป้องได้ฟังพ่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ผมยังอยากให้โยมพ่อทำตามสัญญาที่ให้กับผมอยู่ครับ”

                พ่อของป้องได้ฟังเณรป้องกล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นแล้ว ก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยแต่ก็กล่าวกับเณรป้องว่า “เณรต้องการโทรศัพท์มือถือใช่ไหม ก็ได้นะ ถ้าเณรบวชครบ ๑ เดือนแล้ว พ่อจะจัดหามาให้”

                เณรป้องส่ายหน้าและกล่าวกับพ่อของตนเองว่า “ไม่ใช่ครับ สิ่งที่ผมต้องการคือ ถ้าหากผมบวชครบ ๑ เดือนแล้ว ผมขอให้โยมพ่อตั้งใจถือศีล ๕ ตลอดชีวิต”

                พ่อของป้องได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงมาที่กลางศีรษะ จึงกล่าวขึ้นทันทีว่า “ถือศีล ๕ ก็กินเหล้าไม่ได้น่ะสิ”

                “ดื่มสุราไม่ได้ครับ ผิดศีลข้อห้าครับ” เณรป้องตอบ

                “อ้าว แล้วเรื่องที่พ่อพนันกับสมศักดิ์ไว้ล่ะ” พ่อของป้องถาม

                “โยมพ่อจะถือว่าโยมพ่อชนะพนันก็ได้ แต่โยมพ่อไม่ต้องให้โยมอาเลี้ยงเหล้า เพราะว่าโยมพ่อเลิกดื่มเหล้าแล้ว” เณรป้องอธิบาย

                พ่อของป้องรีบแย้งขึ้นว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เณรเปลี่ยนเป็นขออย่างอื่นดีกว่านะ”

                “ผมไม่เปลี่ยนเป็นขออย่างอื่นครับ เมื่อครู่โยมพ่อก็บอกเองไม่ใช่หรือครับว่า เมื่อลูกผู้ชายสัญญาอะไรไว้แล้ว ก็ต้องทำตามสัญญา ไม่อย่างนั้น โยมพ่อก็เสียศักดิ์ศรี ทีนี้ ในเมื่อโยมพ่อรักษาสัญญาพนันที่ให้กับโยมอาที่เป็นฆราวาสได้ แล้วโยมพ่อจะผิดสัญญาที่ให้กับผมที่เป็นสามเณรหรือครับ

                นอกจากนี้ ในขณะที่โยมพ่อมุ่งแต่จะรักษาสัญญากับเพื่อน ๆ ในวงเหล้า แล้วโยมพ่อเคยนึกถึงสัญญาที่โยมพ่อเคยให้กับโยมแม่บ้างไหม ผมเชื่อว่าในสมัยที่โยมพ่อจีบโยมแม่นั้น โยมพ่อก็ต้องเคยสัญญาอะไรกับโยมแม่ไว้บ้าง แล้วโยมพ่อเคยสนใจหรือตั้งใจที่จะรักษาสัญญานั้นไว้บ้างหรือเปล่า” เณรป้องบอกกับพ่อตนเอง

                พ่อของป้องได้ฟังเณรป้องบอกตนเองดังนั้นแล้ว ก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตในช่วงเวลาที่ตนเองจีบภรรยา และขอแต่งงานกับภรรยา โดยตนเองก็ได้เคยให้สัญญาไว้ว่าจะตั้งใจดูแลภรรยาเป็นอย่างดี และตั้งใจทำให้ภรรยามีความสุข แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ตนเองกลับไม่ได้ทำตามสัญญานั้น โดยตนเองปล่อยให้ภรรยาต้องทำงานหนักที่ร้านขายของโดยลำพัง ในขณะที่ตนเองเอาเวลาไปสำมะเลเทเมากับเพื่อน ๆ ในวงเหล้า โดยไม่ได้ตั้งใจดูแลภรรยาเป็นอย่างดี หรือตั้งใจทำให้ภรรยามีความสุข ดังที่ตนเองได้เคยสัญญาไว้กับภรรยาเลย

                เมื่อระลึกถึงตรงนี้แล้ว พ่อของป้องได้หันไปมองสบตากับภรรยาด้วยสายตาสำนึกผิด แล้วหันมากล่าวกับเณรป้องว่า “เอาล่ะ พ่อตกลงตามที่เณรขอ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้เลย พ่อจะตั้งใจรักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต โดยพ่อจะเลิกดื่มสุราด้วย”

                เณรป้องได้ฟังดังนั้นแล้วก็กล่าวขึ้นอย่างดีใจว่า “จริงนะครับ โยมพ่อตกลงแล้วนะครับ”

                “จริงสิ บอกแล้วว่าเมื่อลูกผู้ชายสัญญาอะไรไว้แล้ว ก็ต้องทำตามสัญญา” พ่อของป้องยืนยันด้วยเสียงหนักหนักพร้อมกับมองไปทางแม่ของป้อง ซึ่งแม่ของป้องก็ยิ้มให้กับสามีของเธอด้วยความดีใจ โดยเธอรู้สึกเหมือนกับว่าได้เคยสูญเสียสามีของเธอไป และในวันนี้เธอได้สามีของเธอกลับคืนมาแล้ว

                พ่อของป้องคิดในใจว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สมศักดิ์มันคงหัวเราะเยาะเราด้วยความชอบใจสินะ” คิดดังนั้นแล้ว ก็หันไปมองทางสมศักดิ์ แล้วก็พบว่าสมศักดิ์กำลังนั่งน้ำตาซึมอยู่ พ่อของป้องจึงถามสมศักดิ์ว่า “อ้าว แล้วนั่นเอ็งนั่งน้ำตาซึมทำไมล่ะ ดีใจที่ไม่ต้องเลี้ยงเหล้าข้า หรือว่าเสียใจที่เสียเพื่อนในวงเหล้าไปหนึ่งคน”

                สมศักดิ์ส่ายหน้าและบอกว่า “ข้ารู้สึกเสียดายว่า ถ้าข้ามีลูกดีอย่างนี้บ้าง ข้าคงเลิกเหล้าได้นานก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ต้องมามัวนั่งมั่วสุมดื่มเหล้ากับเพื่อนเลว ๆ อย่างเอ็งอยู่ได้ตั้งนาน”

                “ข้าไม่น่าถามเอ็งเลย” โยมพ่อกล่าวตอบ



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



                หลวงตาเห็นว่าเรื่องราวต่าง ๆ จบลงด้วยดีแล้ว ก็กล่าวขึ้นว่า “โยมทั้งหลายก็เคยสมาทานศีล ๕ กันมา ในเมื่อสมาทานศีล ๕ แล้ว ก็พึงนำไปประพฤติปฏิบัติกันอย่างตั้งใจนะ”

                สมศักดิ์ได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็กล่าวกับหลวงตาว่า “แต่การรักษาศีล ๕ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ”

                หลวงตาจึงหันมาถามสมศักดิ์ว่า “โยมเข้าใจอย่างนั้นหรือ เอาอย่างนี้ อาตมาจะขอให้โยมได้ลองพิจารณาศีล ๕ ทีละข้อนะว่า รักษาศีลกับไม่รักษาศีล อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างให้โยมพยายามไปฆ่าคนอื่น กับ โยมไม่ต้องไปฆ่าใครล่ะ อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน” สมศักดิ์ตอบว่า “เอ่อ ไม่ต้องไปฆ่าใคร ง่ายกว่าครับ”

                หลวงตาถามต่อไปว่า “แล้วหากให้โยมพยายามไปขโมยของของคนอื่น กับโยมไม่ต้องไปขโมยของใครล่ะ อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน” สมศักดิ์ตอบว่า “ไม่ต้องไปขโมยของใคร ง่ายกว่าครับ”

                หลวงตาถามต่อไปว่า “แล้วหากให้โยมพยายามไปเป็นชู้กับเมียคนอื่น กับโยมไม่ต้องไปเป็นชู้กับเมียใครล่ะ อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน” สมศักดิ์ตอบว่า “ไม่ต้องไปเป็นชู้กับเมียใคร ง่ายกว่าครับ”

                หลวงตาถามต่อไปว่า “แล้วหากให้โยมคอยโกหกคนอื่น โดยไม่ให้เขาจับได้ กับโยมไม่ต้องไปโกหกใคร อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน” สมศักดิ์ตอบว่า “ไม่ต้องโกหกใคร ง่ายกว่าครับ”

                หลวงตาถามต่อไปว่า “แล้วหากให้โยมพยายามไปดื่มเหล้า โดยต้องทำงานหาเงินไปซื้อเหล้า แถมยังต้องชักชวนเพื่อนไปดื่มด้วยกันอีก กับโยมอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องไปดื่มเหล้า อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน” สมศักดิ์ตอบว่า “อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องไปดื่มสุรา ง่ายกว่าครับ”

                หลังจากนั้นหลวงตาจึงถามสมศักดิ์ว่า “สรุปแล้ว รักษาศีลหรือไม่รักษาศีลง่ายกว่า” สมศักดิ์พยักหน้ายอมรับพร้อมกับตอบว่า “รักษาศีลง่ายกว่าครับ”

                หลวงตาจึงกล่าวว่า “สาธุ เอาล่ะ ต่อไปโยมทุกคนเตรียมรับพรนะ”

                หลังจากให้พรเสร็จแล้ว หลวงตา หลวงพี่เอก และเณรป้องก็ออกเดินทางเพื่อกลับวัด โดยก่อนที่จะออกจากบ้านของป้องนั้น เณรป้องก็ได้หันไปกล่าวกับพ่อว่า “โยมพ่อช่วยเหลือดูแลโยมแม่ด้วยนะครับ โยมแม่ป่วยอยู่” โยมพ่อได้ฟังแล้ว ก็พยักหน้ารับกับเณรป้องอย่างแข็งขัน

                ระหว่างที่เดินกลับวัดนั้น เณรป้องคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยในตอนเริ่มแรกที่เขามาบวชเป็นสามเณรนั้น เขามุ่งหวังแต่เพียงว่าต้องการจะได้โทรศัพท์มือถือ แต่ในเวลานี้เขาพบว่าโทรศัพท์มือถือไม่ได้สำคัญสำหรับเขาแล้ว เพราะว่าเขาได้พบสิ่งที่มีคุณค่าและสำคัญยิ่งกว่านั้นมากอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ ซึ่งก็คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง โดยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถนำพาเหล่าสัตว์โลกพ้นทุกข์ได้จริง

                เมื่อคิดดังนั้นแล้ว เณรป้องก็บอกกับหลวงตาว่า “หลวงตาครับ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดจริง ๆ นะครับ”

                หลวงตาได้ฟังแล้วยิ้มและบอกกับเณรป้องว่า “ถูกต้องแล้ว และพระสงฆ์สาวกศาสดาก็คือผู้เสียสละออกจากเรือน มุ่งศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระศาสดาเพื่อบรรลุธรรม สืบทอดพระธรรมคำสอนให้แก่อนุชนรุ่นหลัง และนำพระธรรมคำสอนนั้นมาแนะนำสั่งสอนเพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลายตามพระปณิธานของพระศาสดา จึงเป็นเนื้อนาบุญของโลก เพราะเป็นผู้มีคุณใหญ่หลวงเณรจึงสมควรที่จะตั้งใจศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตามสมควรแก่ธรรม เพื่อที่จะได้รับอานิสงส์ตามลำดับชั้นต่อ ๆ ไป”



- จบ -



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP