วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓๔


cover rabamvej

               


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง 

หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



               

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

               
               
                พายุสงบ หยาดฝนขาดเม็ด ทีเกื้อจอดรถที่สวนสาธารณะใกล้เวทีคอนเสิร์ต

                กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงที่หมายก็กินเวลานาน หมอหมากนอนหลับอยู่หลังรถ ทรงกลดนั่งหลับตาพักผ่อนในสมาธิตั้งแต่รถติดอยู่กลางถนน ทีเกื้อ เอื้อกานต์ แทบไม่พูดจากัน เกรงรบกวนสองหนุ่มในรถ

                พอรถจอดสนิท ทรงกลดลืมตาตื่นราวกับเห็นเหตุการณ์รอบตัว

                “คนหายเกลี้ยงเชียว ไปหลบอยู่ไหนหมดนี่” ทีเกื้อมองออกไปนอกรถ เห็นสภาพเวที อัฒจันทร์ บริเวณงานคอนเสิร์ตแล้วอดทักไม่ได้

                “อยู่ในอาคารด้านหลังเวที มีผู้ชม คนในงานหลายคน ติดไวรัสอาคม กำลังรอรถพยาบาล บางคนอาการหนัก อาจรอไม่ไหว เกื้อกับเอื้อไปช่วยพวกเขาหน่อยได้มั้ย” ทรงกลดบอก

                “หือ?” ทีเกื้อมองชายหนุ่มที่นั่งหน้ารถ ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะสรุปเหตุการณ์ได้ละเอียดทั้งที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา

                “ได้ค่ะ” เอื้อกานต์รับคำ เชื่อมั่นชายหนุ่มตรงหน้า

                “แล้วพี่กลดจะไปไหน” ทีเกื้อถาม

                “พี่จะไปช่วยไลลา” คำพูดทรงกลดทำเอาสองพี่น้องงุนงง

                “ไลลา?” เอื้อกานต์เอ่ยชื่อเชิงถาม...ฝีมือระดับไลลา ต้องการให้ใครช่วยด้วยหรือ

                ทรงกลดถอนใจ ไม่มีเวลาอธิบาย

                “ตอนนี้ไวรัสอาคมกระจายทั่วประเทศแล้ว คนโดนไวรัสมีจำนวนมาก ต่อให้หมอหมากฟื้นมาช่วยอีกคนก็ยังรับมือไม่ไหว ต้องให้ไลลาเป็นคนถอนอาคมเอง”

                ทีเกื้อพยักหน้าเข้าใจ ด้วยเคยพบเหตุการณ์คล้ายกันมาก่อนแล้ว

                “แล้วหมอหมาก?” เอื้อกานต์มองคุณหมอหนุ่มที่นอนหลับข้างกาย

                ทรงกลดมองใบหน้าชายหนุ่มที่ยังหลับสนิท แววตาแลลึกถึงสภาวะภายใน

                “เขาใกล้เยียวยาตัวเองเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวคงฟื้นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก หมอหมากเขามีพลังพิเศษ ความสามารถเฉพาะตัวที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ” ท้ายคำพูดชมเชยกึ่งยกย่อง

                “ค่ะ” เอื้อกานต์รับคำไม่ร่ำไร

                “เดี๋ยวเอื้อ” ทรงกลดรั้ง หญิงสาวหันมามอง แววตามีคำถาม

                “อย่าฝืนถอนอาคมคนเดียว อาศัยพลังร่วมกับเกื้อด้วย...ไวรัสอาคมครั้งนี้รุนแรงร้ายกาจกว่าทุกที เอื้อทำคนเดียวไม่ไหวแน่...อันตรายเกินไป”

                หญิงสาวพยักหน้า แววตาฉายความสงสัยเพิ่มพูน ทรงกลดนั่งรถมาด้วยกัน ยังสามารถรู้สถานการณ์ละเอียดขนาดนี้เชียวหรือ

                ทรงกลดตบไหล่ทีเกื้อ ยิ้มให้เอื้อกานต์ กระแสอ่อนโยนแผ่ออกมากระทบใจสองพี่น้องฝาแฝด

                ไม่จำเป็นต้องถามไถ่อีก ทั้งคู่ต่างรู้ ฝีมือชายหนุ่มคนนี้ล้ำลึกแค่ไหน...ขอให้เชื่อใจกันก็พอ

                “ฝากด้วยนะ” ทรงกลดพูด ก่อนทั้งสามจะแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตัวเอง...

               
               

               

               
ตอนที่ ๒๘

               
               
                เหตุการณ์ก่อนเดินทางถึงงานคอนเสิร์ต

                หลังจากทรงกลดขึ้นรถ เห็น ‘บางคน’ ในร่างหมากเอนหลังพักผ่อน เขาก็รู้ว่าตนเองควรเข้าสมาธิ ชาร์ตกำลัง เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ข้างหน้า

                เมื่อหลับตา จิตเข้าสู่สมาธิ ก็สัมผัสถึง ‘สาส์น’ ที่ถูกส่งมารอคอย เป็นการส่งข้อความแบบพิเศษ เฉพาะ ฮันเตอร์ คิม กับลูกศิษย์ ซึ่งผู้ทรงอาคมอื่นไม่อาจล่วงรู้ อ่านข้อความได้

                ‘สาส์น’ นั้นมีข้อความสั้นนิดเดียว

                ...ปกป้องไลลา...

                แรกที่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ จิตใจนึกฉงน สงสัย ไลลากำลังปล่อยไวรัสอาคมทำร้ายคนจำนวนมาก ผู้ที่ควรได้รับการปกป้องน่าจะเป็นคนบริสุทธิ์ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มากกว่า

                พอสลัดความสงสัยออก จิตก็แนบกับสาส์น ข้อความที่ได้รับ ภายในนั้นยังมีความทรงจำที่ ฮันเตอร์ คิม ซ่อนเร้น แผนการและเรื่องราวต่างๆ ที่เขาจำเป็นต้องรู้ เพื่อสอดประสานช่วยเหลือเป็นแนวหลังให้อาจารย์

                จิตทรงกลดเปิดกว้าง ขยายการรับรู้ของตน ตามดู ตามรู้เหตุการณ์ในงานคอนเสิร์ตตั้งแต่พายุฝนกระหน่ำ ไลลาปล่อยไวรัสอาคมรุนแรง จนตนเองพลาดพลั้งได้รับไวรัสเสียเอง

                สุดท้าย...การปรากฏตัวของตูมิน และการต่อสู้ระหว่างสองผู้ทรงเวท

                ทรงกลดแปลกใจพอสมควรที่รู้ว่าตูมินคืออาจารย์หมอ คนที่พาเขาส่งโรงพยาบาลจนได้พบเอื้อกานต์ มันทำใจเชื่อยาก แต่พอประมวลทุกเรื่องที่รู้ก็เข้าใจ...ตูมินสามารถเป็นใครก็ได้ที่เจ้าตัวอยากเป็น!

                เมื่อรับรู้เหตุการณ์ปัจจุบัน มองเห็นเบื้องหลังความแค้น และเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปกระจ่างขนาดนี้ เขาจึงระบุตัว วางแผนขอความช่วยเหลือจากสองพี่น้องฝาแฝด และกำหนดทิศทางของตนเองเรียบร้อย

                ดังนั้นเมื่อทีเกื้อจอดรถ ทรงกลดจึงสั่งงาน แบ่งหน้าที่ พร้อมบอกเหตุการณ์ปัจจุบันแก่สองพี่น้องอย่างไม่ผิดพลาด ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย...

               
               
                ทีเกื้อ เอื้อกานต์ เข้ามาถึงอาคารด้านหลังเวทีคอนเสิร์ต ได้ยินเสียงร้องโอดโอย ครวญคราง แว่วมาชัดเจน คนในอาคารเหลือแค่เจ้าหน้าที่ ผู้ร่วมงานไม่กี่คน นักร้องนักดนตรีส่วนใหญ่ทยอยกลับไปแล้ว

                สองพี่น้องเดินผ่านผู้คน มุ่งไปทางที่มาของเสียง จนกระทั่งได้พบคนคุ้นเคยเดินสวนมาสีหน้ากังวล

                “หนูดี” นายตำรวจหนุ่มส่งเสียงเรียกคนรัก

                สัตตบงกชใบหน้าเผือดซีด ท่าทางเหน็ดเหนื่อย ดูออกว่าคงกำลังวิ่งวุ่นดูแลคนป่วย และติดต่อรถพยาบาล

                “หนูดี...เป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มเรียกพร้อมดึงแขนเอาไว้

                “พี่เกื้อ” หญิงสาวเพิ่งสังเกตเห็นเขา น้ำเสียงขานรับมีรอยโล่งใจลึกๆ

                “เกิดอะไรขึ้น” เขาถามเข้าประเด็น

                “จู่ๆ ก็มีคนป่วยเต็มเลย” สัตตบงกชตอบ “ไม่รู้ป่วยเป็นโรคอะไร เป็นพร้อมกันทีเดียวยี่สิบสามสิบคน อาการน่ากลัวมาก ดูเหมือนโรคติดต่อ แต่ดูอีกทีก็คล้ายเป็นโรคอุปาทานหมู่เหมือนกัน”

                “มีใครกันบ้าง?” เขาถาม

                “มีทั้งคนดูคอนเสิร์ต เจ้าหน้าที่ แขกในงาน ปนๆ กันแยกไม่ถูก” หญิงสาวเริ่มสับสน

                “คุณหญิงล่ะ...คุณหญิงเป็นอะไรด้วยหรือเปล่า” ทีเกื้อถามถึงมารดาเลี้ยง ผู้เป็นประธานจัดงาน ซึ่งตนเองรู้ดีว่าคุณหญิงอัปสรก็เขาข่ายโดนไวรัสอาคมได้อยู่เหมือนกัน

                “ฉันไม่เป็นไรหรอก...ขอบใจนะที่เป็นห่วง” เสียงคุณหญิงดังมาจากเบื้องหลัง ทีเกื้อ เอื้อกานต์ หันไปมองค่อยโล่งใจขึ้น

                ถึงคุณหญิงไม่ใช่คนดีนัก เคยร้ายกาจต่อสองพี่น้องขนาดไหน ช่วงหลังมานี้ก็นับว่ายังดีต่อกัน ช่วยให้ความรักของทีเกื้อ สัตตบงกช ราบรื่นไร้อุปสรรค

                “ฉันกำลังมองหาเธออยู่พอดี” คุณหญิงอัปสรมองเอื้อกานต์

                “คุณหญิงมีอะไรให้เอื้อรับใช้หรือคะ” คุณหมอสาวเอ่ยถาม

                “ไม่ใช่ฉันหรอก พวกคนป่วยในห้องนั้นต่างหาก จู่ๆ ก็ป่วยพร้อมกันด้วยอาการผิดปกติอย่างกับโรคติดต่อ ไม่ก็เป็นพวกโรคอุปาทานหมู่อย่างนั้นแหละ”

                น้ำเสียงคุณหญิงบอกความเป็นห่วง กังวลอย่างจริงใจ สองพี่น้องสัมผัสได้ เอื้อกานต์จึงตอบรับด้วยน้ำเสียงเต็มใจ

                “ได้ค่ะ เดี๋ยวเอื้อจะเข้าไปดูให้ คุณหญิงไม่ต้องตามเข้ามาก็ได้ เผื่อมันจะเป็นโรคติดต่อจริงๆ” คุณหมอสาวรีบพูดดักไว้ก่อน

                ผู้อาวุโสกว่าพยักหน้ารับ จึงมีแค่เอื้อกานต์ ทีเกื้อ สัตตบงกช ที่เข้าไปในห้องคนป่วยชั่วคราว

               
               
                ห้องผู้ป่วยชั่วคราวดัดแปลงจากห้องประชุม ขยับโต๊ะเก้าอี้ออก เหลือพื้นที่ว่างพอที่จะให้ผู้ป่วยร่วมสามสิบคนได้พักรอรถพยาบาลอย่างไม่แออัดนัก

                ผู้ป่วยในห้องนี้ดูเผินๆ คล้ายคนเป็นโรคอุปาทานหมู่ แต่ละคนร้องโอดโอย บิดตัวเร่าๆ ด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าแดงฉาน บ้างก็ซีดเซียว แสดงอาการเจ็บปวดภายในดูไม่แตกต่างกัน

                ทีเกื้อเห็นแล้วนึกถอนใจ ขนาดเขาทำตามคำแนะนำของ ฮันเตอร์ คิม บอกให้สัตตบงกชช่วยพูดกระตุ้นจิตใจของผู้ชมคอนเสิร์ตให้เป็นกุศลแล้ว ก็ยังมีคนติดไวรัสอาคมมากขนาดนี้

                เท่าที่มองด้วยสายตา ประเมินจากความรู้สึกของตำรวจ พอจะบอกได้ว่าคนในจำนวนนี้เกินกว่าครึ่งเป็นพวกมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาในคราบของคนดู ผู้ร่วมงาน และมีอีกส่วนที่เมื่อใช้จิตสัมผัสแล้วก็พบความดำมืดของกิเลสรุนแรงเป็นพื้น จึงไม่น่าแปลกที่โดนไวรัสอาคมเหมือนกัน

                “โทร. เรียกรถพยาบาลแล้วหรือยังจ๊ะ” เอื้อกานต์ถามสัตตบงกช

                “โทร. แล้วค่ะ แต่เพิ่งเจอพายุฝนแบบนี้ รถต้องติดนานแน่ๆ ไม่รู้จะมาถึงตอนไหน”

                “ที่นี่มีหมอคนอื่นอีกมั้ยจ๊ะ” เอื้อกานต์ถามต่อ

                “ไม่มีเลยสักคน มีแต่พวกเจ้าหน้าที่ที่พอมีความรู้บ้าง หนูดีเลยขอแรงพวกเขาให้ช่วยพาคนเจ็บมารวมกันที่นี่ พอรถพยาบาลมาถึงจะได้พาไปสะดวก หรือไม่ก็ให้หมอมาตรวจรักษาก่อนก็ยังดี”

                “ถ้างั้นรบกวนหนูดีออกไปรอข้างนอกก่อนนะจ๊ะ อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามา พี่จะอยู่ดูอาการคนป่วยข้างในนี้ก่อน ให้เกื้อเป็นผู้ช่วยคนเดียวก็พอ”

                “ค่ะ” หญิงสาวรับคำ

                ทีเกื้อยิ้มให้คนรักก่อนเดินไปส่งถึงประตูห้อง พอหันกลับ สีหน้าที่ปกติเริ่มมีแววเครียด กังวล

                “คนป่วยเยอะขนาดนี้ จะช่วยทีเดียวไหวเหรอ” ทีเกื้อถามพี่สาว

                สภาพคนป่วยโดยรวมอาการหนักทุกคน ไม่สามารถเลือกช่วยใครก่อนหลังได้ง่ายๆ

                “ก็ต้องลองดู” เอื้อกานต์บอก

                “ถ้าเราถอนอาคมแบบเดิม มันจะย้อนกลับไปยังตัวผู้ส่ง...ถ้าไลลาเป็นอะไรขึ้นมา คนที่โดนอาคมทั่วประเทศจะไม่มีทางรอด” ทีเกื้อนึกถึงประเด็นนี้ได้จากบันทึกของคุณตา

                เอื้อกานต์นิ่งคิดครู่หนึ่ง เธอเคยถอนอาคมที่ควบคุมไวรัสสองครั้ง แต่มักลืมคิดไปว่า อาคมย่อมย้อนคืนยังผู้ส่ง ที่แล้วมาไลลาอาจไม่เห็นอาคมย้อนคืนอยู่ในสายตา มาครั้งนี้ย่อมแตกต่าง เพราะทรงกลดบอกว่าจะไปช่วยไลลา แสดงว่าแม่มดผู้นี้ตกอยู่ในอันตราย พวกเธอไม่อยากเพิ่มปัญหาให้หนักเข้าไปอีก

                “งั้นเราก็ไม่สามารถใช้วิธีผลักมันออกไปเฉยๆ ได้ ต้องค่อยๆ เจือจางมันจนอาคมหมดฤทธิ์”

                “ยากกว่าเดิมอีก” ทีเกื้อบ่น

                “มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เกิดประโยชน์ทุกด้าน” เอื้อกานต์บอก

                ทีเกื้อนิ่งคิด ไตร่ตรอง สุดท้ายก็เห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก

                “ตกลง...มิน่า พี่กลดถึงย้ำว่าต้องให้เราช่วยกัน” ชายหนุ่มบอกด้วยความเข้าใจชัดเจนกว่าเดิม

                ทั้งสองหันมามองผู้ป่วยเกือบสามสิบรายที่นอนเรียงกันอยู่ภายในห้อง สัมผัสได้ถึงพลังอาคมที่ควบคุมไวรัส ความหนาแน่นของมนตรานั้นเข้มข้นทึบดำไม่ต่างจากเมฆฝนที่รวมตัวกันจนมีขนาดใหญ่ ใกล้เทกระหน่ำโลก

                เพียงจิตทีเกื้อกระทบพลังอำนาจของมันในวาระแรก ก็รู้ถึงความหนักหนา รุนแรง ขณะที่เอื้อกานต์ยอมรับ สิ่งที่ทรงกลดเตือนล่วงหน้าเป็นความจริง ไวรัสอาคมครั้งนี้รุนแรงกว่าที่ผ่านมา หนักหนาสาหัสด้วยแรงมนตรา และจำนวนผู้ป่วยก็มากกว่าเคยเจอ

                ถ้าเอื้อกานต์เผชิญเหตุการณ์นี้เพียงคนเดียว คงไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องยอมรับสภาพ และเลือกถอนอาคมให้คนที่ได้รับเบาบางก่อน

                ครั้งนี้มีทีเกื้อ น้องชายที่เป็นเหมือนอีกขั้วของพลังพิเศษ สองพี่น้องฝาแฝดเคยร่วมมือกันผ่านเรื่องราวยากๆ มาแล้วหลายครั้ง...ไม่ว่าครั้งนี้จะหนักหนาเพียงใด เธอมั่นใจว่าต้องผ่านมันไปได้

                หญิงสาวเงยหน้ามองน้องชาย ยื่นมือออกมาแบรอ ทีเกื้ออมยิ้มนิดๆ ยื่นมือมากุมมือพี่สาว บีบกระชับมั่น สัมผัสเชื่อมโยง ใจต่อใจ จังหวะหายใจเข้าออกผสานเป็นหนึ่งเดียว

                การได้พลังของทีเกื้อมาเสริม ไม่ใช่เพียงทำให้อำนาจการรักษา ถอนอาคม เพิ่มขึ้นแค่เท่าสองเท่าตัว แต่มันสามารถขยายกำลังออกไปได้นับสิบเท่า

                พลังอาคมเบื้องหน้า ไม่ว่าจะกร้าวแกร่ง รุนแรงแค่ไหน ทั้งคู่มั่นใจ พวกตนต้องสามารถถอดถอน เจือจางมัน โดยที่ไลลา ผู้เป็นเจ้าของอาคม จะไม่ได้รับผลกระทบแม้สักน้อยนิด

               
               
                สัตตบงกชยืนรออยู่นอกห้องคนป่วยชั่วคราว คอยกันไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน หญิงสาวรู้ว่าสองพี่น้องช่วยเหลือคนป่วยได้ แต่จำเป็นต้องใช้สมาธิ มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าปกติ

                สัญชาตญาณของผู้หญิง และความคุ้นเคยกับสองพี่น้องฝาแฝดมานาน ทำให้รู้ว่าทั้งคู่มีความ ‘พิเศษ’ ไม่เหมือนใคร อาการป่วยประหลาดของผู้คนในงานคอนเสิร์ตนี้อาจได้รับการบรรเทาเยียวยาจากคนทั้งคู่ ก่อนรถพยาบาลมาถึงก็ได้

                คนดูคอนเสิร์ตหลายรายที่ป่วยคราวนี้ ประเมินด้วยสายตาว่าไม่น่าใช่ผู้ชมธรรมดา ลักษณะท่าทาง การแต่งตัว ไม่เหมือนพวกแฟนคลับ น่าจะคล้ายพวกมิจฉาชีพมากกว่า ส่วนแขกในงานที่ป่วย เธอก็พอรู้เบื้องหลังจากเสียงซุบซิบนินทาของเหล่าไฮโซทั้งหลายว่า เป็นคนร้ายกาจขนาดหนัก ที่มาร่วมงานครั้งนี้เพราะอยากมีหน้ามีตาออกสื่อเท่านั้นเอง

                ถึงพวกเขาทั้งหมดจะเป็นอย่างไร เมื่อมาเจ็บป่วยให้เห็นอย่างนี้ เธอก็อยากช่วยเหลือ ทั้งไม่มีหน้าที่โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคนโทร. เรียกรถพยาบาล หรือเจ้ากี้เจ้าการเปลี่ยนห้องประชุมเป็นห้องพักผู้ป่วยชั่วคราว

                ยิ่งพอรู้ยอดผู้ป่วยว่ามีจำนวนมากขนาดนี้ สัตตบงกชก็เร่งโทร. ติดต่อโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้มีรถพยาบาลมารับเพิ่มขึ้น สามารถนำส่งผู้ป่วยทั้งหมดได้ในเวลารวดเร็ว หรืออย่างน้อยก็ส่งทีมแพทย์มาช่วยเหลือก่อน

                แต่ปรากฏว่า เมื่อโทร. ติดต่อโรงพยาบาลอื่นๆ ก็ได้รับข่าวอันน่าตระหนก...

                เวลานี้โรงพยาบาลทั่วทั้งกรุงเทพฯ ได้รับแจ้งว่ามีผู้ป่วยลักษณะอาการติดเชื้อเฉียบพลันแบบนี้ทุกแห่ง อีกทั้งยังเกิดอุบัติเหตุใหญ่อีกสามสี่จุด ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ เริ่มปั่นป่วน บริการไม่ทัน ต้องรีบระดมแพทย์ พยาบาล เพื่อมารักษาดูแลผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด

                สัตตบงกชเดินไปเปิดโทรทัศน์ เห็นตัววิ่งด้านล่างจอบอกข่าวโรคระบาดจากไวรัสไม่ทราบชื่อ แพร่กระจายไปทั่วประเทศ มีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมาก ยังประมาณตัวเลขไม่ถูก อีกทั้งยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายแห่ง ทางโรงพยาบาลกำลังต้องการเลือดเป็นจำนวนมาก

                หญิงสาวหนาววูบ ตัวสั่นขึ้นมาเฉยๆ ตอบไม่ถูกว่ากำลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใดขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน รวดเร็วขนาดนี้ เหลือบตามองไปทางห้องคนป่วยที่เสียงโอดโอยเบาบางลง

                บางที...จำนวนผู้ป่วย กับเหตุการณ์ที่เธอพบเจอตอนนี้ อาจเป็นแค่น้ำจิ้มเล็กๆ สิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจากนั้นต่างหากเป็นของจริง...เรื่องร้ายที่ใครก็คาดไม่ถึง

                ใจอดคิดไม่ได้ว่า...ต่อให้ทีเกื้อ เอื้อกานต์ ช่วยคนป่วยในห้องนั้นได้สำเร็จก็ตาม พอออกมาเผชิญกับศึกใหญ่ที่รอคอยนอกห้อง นอกสวนสาธารณะแห่งนี้ พวกเขาจะมีกำลังพอช่วยคนเหล่านั้นได้หรือไม่?

                สัตตบงกชไม่กล้าคาดเดา...

               
               
                ที่ไหน...ฉันอยู่ที่ไหน?

                ไลลาตอบไม่ถูก...มันเป็นสถานที่ที่ขาทั้งสองข้างพาก้าวออกมาอย่างไม่มีสติ ไม่รู้ทิศทาง รู้แค่อยากหลีกลี้ หนีไปให้ไกล

                หนีใคร...หนีอะไร...เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน

                ไลลากำลังหลบ ซุกซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด พิษไวรัสอาคมกำเริบ สร้างความทุกข์ทรมานจนต้องบิดตัวเร่าๆ แทบร่ำร้องขอความตาย

                สติยังหลงเหลือ อำนาจอาคมมิได้เหือดหายไปหมด แต่ไลลาไม่คิดใช้มันถอนอาคมให้ตัวเอง...

                เพราะอะไร?

                ยามร่างกายอ่อนแอ จิตใจอ่อนล้า ทำให้ความคิดอยากมีชีวิตสูญหาย...ไลลามองไม่เห็นว่าตนเองควรอยู่ต่อไปเพื่ออะไร มีเรื่องราวใดให้กระทำ

                จุดประสงค์ในการสร้างไวรัสอาคมเพื่อตามล่าหาตูมินสัมฤทธิผลแล้ว ฮันเตอร์ คิม จะปิดบัญชีได้หรือไม่ ล้วนไม่ใช่สาระสำคัญ

                ส่วนภารกิจบรรพชนแม่มด ล้างคำสาป ด้วยการสังหารคนชั่วช้าให้หมดโลก ...มาถึงตอนนี้เธอยอมรับแก่ใจ ยอมรับชนิดไม่มีหนทางโต้เถียง

                มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะขนาดเธอเองยังโดนไวรัสอาคมเล่นงาน

                นั่นแสดงว่า กระทั่งตัวเธอ...ก็ยังเป็นคนชั่วช้าคนหนึ่ง!

                ที่ผ่านมา ไลลากระทำสิ่งใดตามใจตน แต่เธอก็เชื่อมั่นเสมอว่าตนมีมโนธรรม ไม่เบียดเบียนทำร้ายคนดี กระทั่งเอื้อกานต์ หมอหมาก ทรงกลด มาขัดขวางภารกิจสำคัญ เธอก็เพียงต้องการคุมขังพวกเขาไว้ชั่วคราว ตั้งใจปล่อยเมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้น

                เมื่อเกิดเหตุผิดพลาดในการปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สอง เธอก็รีบแก้ไข ช่วยเหลือคนป่วย ผู้บาดเจ็บ อย่างรวดเร็ว ด้วยไม่มีเจตนาทำร้ายผู้บริสุทธิ์

                มาถึงตอนนี้ เธอจึงได้เห็นความจริง...จิตใจเธอก็มีความชั่วช้า มีกิเลสรุนแรง สามารถทำร้ายคนไม่เลือกหน้า จนไวรัสอาคมที่เธอสร้างเองยังวกกลับมาทำร้ายเอาได้

                ไลลาจะถอนไวรัสอาคมให้ตัวเองเพื่ออะไร...เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างทนทุกข์ทรมานกับการรังเกียจความชั่วช้า กิเลสในใจตน...อย่างนั้นหรือ

                ให้เธอมีชีวิตต่อไป เพื่อตอกย้ำว่า...วันเวลาสามสิบปีที่ล่วงผ่าน เธอเสียเวลาทำเรื่องโง่ๆ หมกมุ่น งมงาย บ้าคลั่งกับการคิดจะเอาชนะ ทำภารกิจบรรพชนแม่มดให้สำเร็จ เพื่อพิสูจน์รักแท้ในหัวใจ

                ...แล้วสุดท้าย ให้มีชีวิตเหลืออยู่ เพื่อที่จะได้มองดูคนรักอยู่ห่างๆ ต่อไป โดยมั่นใจว่าจากนี้จนตาย เส้นทางรักไม่มีวันบรรจบกันตลอดกาล

                มีชีวิตอยู่เช่นนั้น...สู้โดนพิษไวรัสอาคมกำเริบจนตายดีกว่า

                ร่างไลลากระตุกเฮือกใหญ่เมื่อพิษไวรัสเข้าจู่โจมอวัยวะภายใน เธอรับรู้ได้ถึงพิษไวรัสที่ซึมแทรก ชอนไชเข้าไปทำลายร่างกายทีละน้อย รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามสี่ชั่วโมง

                มันน่าจะเป็นสามสี่ชั่วโมงที่แสนทุกข์ทรมาน...แต่ก็ไม่น่าจะทรมานมากกว่ามีชีวิตต่อไปด้วยใจที่หมดหวัง

               
               
                ทรงกลดใช้สมาธิจิตควานหาไลลา ต่อให้พลังของเขายังกลับมาไม่เต็มร้อย แต่ก็เพียงพอสำหรับใช้ตามรอยผู้ทรงอาคมกล้าที่ได้รับบาดเจ็บ และไม่คิดปิดบัง ซุกงำพลังของตน

                สวนสาธารณะแห่งนี้กว้างขวาง มีอาคารตั้งอยู่เป็นระยะ ทรงกลดเดินตามรอยคนรักของอาจารย์มาเกือบสุดกำแพง เจอห้องเก็บของที่ซ่อนตัวหลังแนวไม้หนาทึบ ใจค่อยคลายลง เดินช้าๆ เปิดประตูออก พบร่างในชุดขาวโพลนซุกตัวเงียบๆ อยู่มุมห้อง

                สายตาชินกับความมืด ประกอบกับมีแสงสลัวจากโคมไฟด้านนอกส่องมาจางๆ ทรงกลดจึงเห็นชายผ้าสีขาวที่เปรอะเปื้อนของไลลา ใบหน้าเธอซีดเผือด รับรู้ถึงจังหวะเต้นอ่อนล้าของหัวใจ หูแว่วเสียงหอบหายใจเป็นห้วงๆ

                ม่านมืดของอาคมที่ควบคุมไวรัสกระจายรอบตัวไลลา หนาทึบราวกำแพงมืดแข็งแกร่ง ทรงกลดรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีสติ อาคมมีกำลังพอจะถอนพิษให้ตัวเองได้ แต่ทำไมไลลาถึงไม่ทำอะไรเลย ปล่อยตัวเองนอนรอความตายแบบนี้

                ชายหนุ่มเปิดสวิตช์ไฟห้องเก็บของ แสงสว่างสีซีดกระจายทั่ว ไลลาลืมตามองเขาด้วยใบหน้าซูบเซียว เส้นผมเปียกลู่ คล้ายชราลงจากที่เคยเห็นนับสิบปี

                ทรงกลดเดินเข้าไปหา ระยะห่างเพียงก้าวเดียวก็คุกเข่าลงตรงหน้าแม่มดผู้กำลังหมดสภาพ

                “ทำไมคุณไม่ถอนอาคมให้ตัวเอง” เขาเอ่ยปากถาม

                “ฮันเตอร์...ให้เธอ...มาช่วยฉันหรือ...” อีกฝ่ายขยับปากย้อนถามเสียงแผ่ว

                “ครับ” ทรงกลดตอบรับ “อาจารย์ส่งข้อความมาว่า...‘ปกป้องไลลา’...”

                ประกายตาของคนเป็นแม่มดเจิดจรัสขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนหรี่ลง เบือนหน้าหลบตาผู้อ่อนวัยกว่า

                “ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” น้ำเสียงบอกจิตใจอิดโรย

                ทรงกลดมองเข้าไปยังจิตใจผู้หญิงตรงหน้า เห็นความทดท้อ อ่อนล้า เห็นความคิดสับสน ความรู้สึกผิด ความหวาดกลัว ผิดหวัง รังเกียจชีวิต เจ็บปวด ปนเปกันจนแทบแยกแยะอารมณ์ความรู้สึกไม่ออก

                สภาพเช่นนี้เคยเกิดกับทรงกลดมาแล้ว...ช่วงก่อนที่เขาจะเลิกเป็น ‘คิม’ มือสังหาร

                ชายหนุ่มนั่งลงบนพื้นตรงหน้าคนรักของอาจารย์ ส่งรอยยิ้มจริงใจแก่ฝ่ายตรงข้าม พยายามระลึกถึง ‘สาส์น’ ข้อมูลที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ ปรับจิตใจให้เยือกเย็น อ่อนโยน เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นสู่หัวใจอันเหน็บหนาวเช่นนี้

                “คุณเสียใจที่ไวรัสอาคมมีผลกระทบกับผู้บริสุทธิ์ หรือว่า...เสียใจ...ที่ตัวเองก็โดนไวรัสอาคมเล่นงานเหมือนกัน”

                “ฉันเสียใจ...” ไลลาพูดช้าๆ นัยน์ตาแลไปยังที่แสนไกล “ที่ทำไม...ถึงยังเก็บความรักช้ำๆ ไว้นานถึงสามสิบกว่าปี”

                เพียงคำพูดประโยคเดียว กับความทรงจำที่ ฮันเตอร์ คิม ให้มา ทรงกลดสามารถมองเห็นส่วนลึกจิตใจและความต้องการแท้จริงของไลลาได้

                เรื่องความคิดผิด หลงสร้างไวรัสอาคมจนเสียเวลาไปเปล่าๆ ถึงครึ่งค่อนชีวิต อาจทำให้ท้อใจ การโดนไวรัสของตัวเองทำร้าย อาจทำให้ได้คิด...เข้าใจ

                แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ไลลาเสียใจจนคร้านจะรักษาตัวเอง ยอมตายโดยไม่คิดดิ้นรน ก็เพราะหมดหวังที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนรักตลอดกาล!

                การบอกว่า...เสียใจที่เก็บความรักช้ำๆ ไว้นานถึงสามสิบกว่าปี นั่นย่อมหมายถึง...หากเธอตั้งต้นตัดใจเสียตั้งแต่วันนั้น มาถึงวันนี้ย่อมไม่มีความเจ็บปวดหลงเหลือ ความรักวัยเยาว์จะกลายเป็นแค่เงาอดีตที่เห็นเลือนราง ไม่อาจทำร้ายจิตใจเธอได้เลย

                เป็นเพราะเธอรักษาความรักไว้ในหัวใจนานขนาดนั้น ส่วนลึกพยายามหาหนทางให้ความรักสมหวัง ดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อจะมีชีวิตรักเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

                มันจึงทำให้มีวันนี้...วันที่ต้องเจ็บปวดเหลือแสน เมื่อความจริงปรากฏต่อหน้าอย่างไม่มีทางบิดเบือนหลีกเลี่ยงได้เลยว่า...การถอนคำสาป...เพื่อให้รักสมหวัง...มันเป็นไปไม่ได้!

                ทรงกลดถอนใจเบาๆ เมื่อเข้าใจความรู้สึกของสตรีผู้ทรงเวท ขนาดอายุย่างเข้าวัยชรา มีความเก่งกาจ อัจฉริยะเช่นนี้ หัวใจรักของเธอยังอ่อนแอ ขาดแคลน โหยหา อย่างไม่น่าเป็นไปได้

                “ผมก็มีความรักที่ต้องเก็บไว้แต่ในหัวใจ...ทำได้เพียงมองผู้หญิงที่ตัวเองรักอยู่ห่างๆ ตลอดชีวิตเหมือนกัน”

                “นั่นสิ...เธอทำได้ยังไง” ไลลาพอจะรู้เรื่องของทรงกลดกับเอื้อกานต์พอสมควร

                “ผมไม่ได้ทำอะไร...แค่...ยอมรับมันตามความเป็นจริง”

                คำพูดไม่กี่คำของทรงกลดสร้างแรงสะเทือนขึ้นมาในใจไลลา แต่เพียงวูบเดียวก็จืดจาง ดับหาย

                ไลลาถอนใจยาว เอ่ยปากเชื่องช้า

                “ถ้าจิตใจคนเรายอมรับความจริงได้ง่ายอย่างนั้น ฉันคงไม่ต้องเสียเวลาบ้าบออยู่สามสิบกว่าปี...ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า...เมื่อใดคนชั่วช้าตายหมดโลก...เมื่อนั้นคำสาปของแม่มดทั้งปวงจะได้รับการลบล้าง...ยกเลิก”

                จบคำพูด ไลลาหัวเราะเบาๆ เยาะหยันตนเอง

                ทรงกลดยิ้มละไม พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ อ่อนโยน

                “พวกคุณเดินบนเส้นทางเดียวกัน โดยแอบหวังในใจลึกๆ ว่า...ถ้าวันใดคำสาปแม่มดถูกลบล้าง ถอดถอน พวกคุณจะได้สมหวังในรัก...โดยลืมไปอย่างหนึ่งว่า...ตลอดเวลาสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกคุณมีกันและกันในใจเสมอ ไม่เคยมีสายตาเหลือบแลคนอื่นเลย...นั่นก็เป็นความสมหวังในรักอย่างหนึ่งแล้ว”

                ชายหนุ่มจบคำพูดพร้อมสังเกตปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม

                ไลลาไม่โต้เถียง ไม่คัดค้าน เอนศีรษะพิงผนัง ระบายลมหายใจอย่างหมดเรี่ยวแรงก่อนหลับตาลง ทรงกลดเห็นว่าถ้าเสียเวลาชักจูง โน้มน้าวใจต่อ ไลลาจะเข้าใกล้ความตายมากขึ้น สู้รีบรักษาเธอเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า...

                จิตถูกรวมเป็นสมาธิมั่น ก่อให้เกิดกำลังเตรียมถอนอาคมอันหนาแน่นที่แทรกซึมทั่วร่างไลลา

                “ไวรัสอาคมฝังลึกลงไปถึงกระดูกฉันแล้ว ต่อให้เธอมีพลังเต็มร้อยอย่างเดิม ก็ถอนมันไม่ได้ง่ายๆ หรอก” ไลลาเอ่ยทั้งที่ยังไม่ลืมตา

                “ถึงคุณทรงกลดไม่สามารถถอนอาคมให้คุณได้...แต่ผมน่าจะรักษาได้นะครับ”

                เสียงดังจากหน้าประตูทำให้ไลลาลืมตามอง ทรงกลดเหลียวหลัง คาดไม่ถึงจะมีคนมายืนอยู่เบื้องหลังโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้

                หมอหมากยืนเด่นอยู่หน้าประตู สีหน้าแววตาดุจเดิม ใบหน้าขาวใสตัดกับไรหนวดเข้ม ดวงตาเป็นประกายบอกถึงพลังซ่อนเร้นเกินคาดคำนวณ

                “ฉันไม่ต้องการให้เธอรักษา” ไลลาพูดเสียงห้วน

                “คุณจะตายก็ได้ แต่คุณต้องการตายพร้อมกับบาปผิดและชีวิตผู้คนเรือนแสนเกินจะนับ หรือตายอย่างปลอดโปร่งใจ ไม่มีหนี้ชีวิตใครให้ค้างคา”

                หมากพูดเข้าประเด็น ไม่เสียเวลาเกลี้ยกล่อมไลลา ตอนนี้ไวรัสอาคมกระจายทั่วประเทศ เหล่าคนชั่ว คนที่เกิดกิเลสแรงๆ จิตใจมืดบอดจำนวนมากคาดคะเนไม่ถูก ล้วนติดเชื้อ รอความตาย กระทั่งคนบริสุทธิ์ยังได้รับผลกระทบไม่น้อย

                คนเดียวที่สามารถสลายอาคม ถอนไวรัสช่วยชีวิตคนจำนวนมหาศาลได้ คือ...ไลลา

                คุณหมอหนุ่มเดินมานั่งลงข้างทรงกลด มองหน้าไลลา ดวงตามีประกายจริงจัง ไม่อ้อมค้อม ไม่มีร่องรอยล้อเล่นอย่างเคย

                “ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณหมดกำลังใจในชีวิตเพราะอะไร ไม่สนใจว่าคุณกำลังทุกข์ทรมานใจแค่ไหน แต่ตอนนี้ คนจำนวนมากกำลังรอความช่วยเหลือจากคุณ...คนเดียว” หมากเน้นหนักคำท้าย

                “ไอ้คนชั่วพวกนั้น ปล่อยให้มันตายไปเสียบ้าง โลกจะเบาลง” ไลลาเถียง

                หมากยิ้ม นึกถึงตอนที่ตนเอง เอื้อกานต์ ไลลา พูดคุยถึงภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ของเหล่าบรรพชนแม่มด

                “คนชั่วไม่มีวันหมดจากโลกหรอกครับ...ตราบใดที่ใจเราก็ยังมีความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่เหมือนกัน”

                คำพูดของหมากเหมือนเข็มแหลม เสียบแทงใจไลลาจนเจ็บแปลบ ถ้าหมากพูดกับเธอเช่นนี้ ตอนที่คุยกันในโรงแรม รับรองว่าเธอต้องคัดค้าน ไม่เห็นด้วยแน่นอน

                “ถ้าภารกิจของเหล่าบรรพชนแม่มดบอกว่า...ต้องให้เหล่าคนชั่วตายหมดโลก คำสาปแม่มดถึงจะได้รับการลบล้าง คุณถึงจะมีโอกาสได้อยู่ร่วมกับคนรัก”

                หมากเท้าความถึงเรื่องที่เคยคุยกันครั้งก่อน

                “บางที...ถ้าคุณมองเห็นร่างกายกับจิตใจคนเราเป็นเหมือนโลกใบหนึ่ง การที่บรรพชนแม่มดของคุณบอกว่า ให้คนชั่วตายหมดโลก อาจหมายถึงให้ผู้ที่ต้องคำสาป ขัดเกลาจิตใจตัวเอง...ละความชั่วออกจากใจให้สิ้น ไม่ยอมกระทำเรื่องเลวร้าย

                “เมื่อไม่มีความชั่วร้ายในใจเป็นเครื่องเกาะยึด เหนี่ยวนำแล้ว...คำสาปแม่มด ไม่ว่าจะร้ายกาจรุนแรงแค่ไหน ก็ย่อมหลุดหายไป เพราะไม่อาจเกาะอยู่ในใจที่มีแต่ความดีงามได้

                คำพูดของหมากเหมือนระเบิดลูกใหญ่ ช่วยทำลายจุดบอดอันตีบตันในหัวไลลาจนทะลุปรุโปร่ง ที่ผ่านมาเธอยึดถือคำสั่งบรรพชนตามตัวหนังสือ ไม่เคยตีความ อ่านมันด้วยใจที่เปิดกว้าง หลายแง่มุม จนกระทั่งตนเองโดนไวรัสของตน...เห็นว่าจิตใจที่เคย ‘คิดว่า’ เป็นคนดีนั้น ก็ยังมีความร้ายกาจ ชั่วช้าไม่น้อยกว่าใคร

                และเมื่อหมากระเบิดประตูบานนี้ออกมา ไลลาจึงมองเห็นสิ่งที่ตนละเลยมองข้ามมาตลอด

                “สิ่งที่เธอพูด...มันเป็นความจริงหรือ?” ไลลาเอ่ยถามอย่างเผลอไผล ในใจต้องการให้เขาตอบรับ ยืนยัน

                “ผมยืนยันไม่ได้ เพราะผมเกิดไม่ทันบรรพชนของคุณ แต่ผมก็ได้รับการสั่งสอนจากพุทธศาสนามาตลอดว่า...โลกนี้คือกายกับใจของเราเอง ถ้าเราสามารถละความชั่วออกจากใจเสียสิ้น...ยังกุศล ความดีงามให้ถึงพร้อม...ฝึกฝนจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว สิ่งเลวร้ายใดๆ ก็ไม่อาจเข้ามาย้อมจิตใจเราได้”

                ไลลาอึ้ง...เนิ่นนาน แววตาบอกถึงความสับสน ระหว่างยอมรับความคิด เส้นทางใหม่ กับจมปลักอยู่กับเส้นทางเดิมของตน

                หมากหันมายิ้มให้ทรงกลด สายตาสองหนุ่มสื่อถึงกัน บอกถึงความเข้าใจ โล่งใจ เชื่อว่าปัญหาใหญ่ สำคัญข้อหนึ่ง ได้ลุล่วง หลุดหายไปแล้ว

                ครู่ใหญ่...ไลลาก็ถอนใจยาว มองหมอหมากด้วยแววตาจริงจัง ความรู้สึกอยากมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง

                “ไวรัสอาคมในตัวฉันซึมลึกถึงกระดูกแล้ว ต่อให้ใช้พลังในตัวขับออกมาก็ยังต้องเสียเวลาครึ่งค่อนวัน พวกคนป่วยทั่วประเทศรอไม่ไหวหรอก”

                “ผมสามารถรักษาคุณได้โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที” หมากยืนยันหนักแน่น ไลลามองตอบด้วยแววตาไม่เชื่อถือ

                “ผมมีมือพิเศษ...รักษาคุณได้” เขายื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้มท้าทาย “คุณล่ะ...มีหัวใจพิเศษ พร้อมจะช่วยเหลือคนเรือนแสนเรือนล้านหรือเปล่า?”

                ไลลาขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิเตรียมพร้อม แทนการตอบรับคำท้าทาย

                หมากหันไปบอกกับทรงกลด

                “ผมรักษาไลลาได้แน่ คุณรีบไปหาอาจารย์เถอะ ตูมินไม่ธรรมดาเลยนะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”

                ทรงกลดพยักหน้า ลุกขึ้นยืน ไม่เอ่ยถามสักคำว่าหมากรู้เรื่อง ฮันเตอร์ คิม กับตูมินได้อย่างไร เพราะเชื่อว่า ‘ใคร’ บางคนที่เคยอาศัยร่างเขา คงบอกเล่าเหตุการณ์ทางนี้ พร้อมแนะนำวิธีคลี่คลาย แก้ไข ให้หมดแล้ว

                หลังทรงกลดออกจากห้อง หมากจ้องตาไลลา ความอ่อนโยนรินผ่านหัวใจ สื่อกระแสด้วยแววตา มือสองข้างเลื่อนไปเกาะกุมกระชับมืออีกฝ่าย หัวใจบังเกิดความอบอุ่นยิ่งกว่าเคยอบอุ่น สว่างยิ่งกว่าเคยสว่าง

                กระแสความเมตตา หวังดี รินผ่านจากมือสู่มือ ราวสายน้ำใสเย็นจำนวนมหาศาลไหลหลากด้วยแรงแห่งกรุณา กอปรด้วยหัวใจที่ไม่ธรรมดา...หัวใจอันเปิดกว้างสว่างไสว พร้อมช่วยเหลือทุกผู้คนโดยไม่เกี่ยงงอน

                ไลลามองเห็นพลังอันยิ่งใหญ่นั้นด้วยใจ โอบรับเข้ามาด้วยใจ แล้วค่อยๆ ซึมซับให้มันแทรกลงไปในอณูร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ กระทั่งจิตใจของเธอก็น้อมรับ ยินดีต่อพลังอันสว่างเรืองรองอบอุ่นนั้น อย่างที่ไม่เคยเคารพ ศรัทธาในพลังอำนาจใดมากมายเท่านี้มาก่อนเลย

               
               
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

               



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP