วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓๑



cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



               เวลาผ่านเนิ่นนานเพียงใดยากกำหนด คาดหมาย ทรงกลดจมดิ่งอยู่กับสมาธิจิตอันแน่วนิ่ง กำลังจิตที่เลือนหายค่อยก่อร่างสร้างใหม่ ไม่เร่งร้อน เติมในส่วนที่ขาด รักษาในส่วนที่พร่อง จิตใจดื่มด่ำท่ามกลางระบำเวทมนตร์ที่โอบล้อมอยู่รอบกาย

            กระทั่งรู้สึกถึงพลังบางอย่างพุ่งปลาบอยู่ไม่ไกล ใช้จิตสัมผัสควานหา ก็พบว่าเป็นสายใยระหว่างทีเกื้อกับเอื้อกานต์ ความโล่งอก ยินดี ปรากฏในใจ หนำซ้ำ พลังจิตของทีเกื้อที่เข้าไปขยายสัญญาณลูกปัดใส ยังส่งผลสะท้อนมาถึงทรงกลด ผู้ผนึกอาคมเดิม ให้มีกำลังแกร่งกล้ากว่าเดิม

            ถึงเห็นอย่างนั้น ทรงกลดยังไม่อาจขยับตัว ถอนออกจากสมาธิ เพราะยามที่จิตดื่มด่ำ จมดิ่งอยู่ในห้วงสุขแห่งความสงบ เขาไม่อาจหักฝืน ถอนขึ้นมาได้ ต้องให้จิตมันอิ่มพอ แล้วถอนออกมาเอง ไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตราย วิชาอาคมถดถอย เริ่มนับหนึ่งใหม่

            จากการที่เคยจิตเสื่อม อาคมถดถอย รวมถึงรับรู้จุดบอด ข้อที่ไม่อาจควบคุมบังคับจิตตนเอง ทรงกลดจึงนึกสงสัย...ที่เคยคิดว่าตนเองเป็นผู้ทรงเวท ใช้อำนาจจิตกระทำการได้เกินกว่าคนธรรมดานั้น เขาสามารถบังคับควบคุมจิตใจ ควบคุมอาคมมนตราได้จริงหรือ?

            หรือว่า...ทั้งจิตและอาคมเป็นตัวของมันเอง ทำงานตามเหตุ ปัจจัย อันเหมาะสม

            ความต้องการหรือไม่ต้องการของเขา ไม่อาจสั่งการ ควบคุมมันให้เป็นไปตามใจได้เลย

            จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ วิชาอาคมกำลังไหลเลื่อน ร่ายรำ แล้วกลับเข้ามาสู่ฐานใจอย่างเคยเป็น ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าจิตจะยอมถอนตัวออกมา

            อาคมระดับพื้นฐานค่อยตั้งมั่น ใช้งานได้

            ชั่วเวลานั้น ทรงกลดเห็น รปภ. ที่ถูกสมุนไลลาควบคุม เดินออกมาจากลิฟต์ และเผชิญหน้ากับทีเกื้อ เอื้อกานต์แล้ว...



               คอนเสิร์ตใกล้จะเริ่ม

            ท้องฟ้ามืด แสงไฟสาดส่องจนเวทีสว่างจ้า คนดูนั่งเต็มอัฒจันทร์ กล้องทุกตัวพร้อม รถถ่ายทอดสดเตรียมทำงานออกอากาศ

            ฮันเตอร์ คิม นั่งบนอัฒจันทร์ชั้นบนสุด ทำตัวกลมกลืนกับเหล่าคนดูอื่นๆ ชนิดใครกวาดตามองสองสามรอบยังหาไม่เจอ

            จิตถูกแผ่กระจาย เปิดกว้างคล้ายเรดาร์ มองเห็นนิมิตกว้างไกลตามจุดที่ต้องการ

            ที่พักศิลปิน เขาเห็นไลลาสงบนิ่ง พักผ่อน ส่งจิตกวาดดูรอบๆ หาข้อมูลไม่ต่างจากเขา

            ขณะนี้ทั้ง ฮันเตอร์ คิม ไลลา กำลังให้ความสนใจที่โรงแรม ห้องพักซึ่งใช้กักขังเอื้อกานต์ ทรงกลด และหมาก

            ตอนที่เอื้อกานต์ ทีเกื้อ สามารถทลายกำแพงอาคมออกจากห้อง แรงสะเทือนของมันกระทบถึงไลลา สองผู้ทรงเวทจึงให้ความสนใจ เปิดดูผ่านนิมิต

            ฮันเตอร์ คิม เห็นไลลาสั่งสมุนปิศาจทางคลื่นจิต ไม่นานก็มี รปภ. ถูกภูตผีควบคุม ขึ้นมาสกัดกั้น ขัดขวาง นักโทษแหกคุก

            ฮันเตอร์ คิม ไม่ห่วงสองพี่น้องฝาแฝด ทีเกื้อมีฝีมือระดับไหน เขารู้ดี ไม่เช่นนั้นคงไม่เปิดโอกาส ‘พูดคุย’ ให้เสียเวลา

            คนที่น่าสนใจคือทรงกลดที่กำลังฟื้นฟูวิชาชนิดเร่งด่วน แต่ผู้ฝึกอาคมย่อมรู้ สิ่งพวกนี้จะเร่งรัดตามใจตัวเองไม่ได้ เมื่อไรที่เหตุ ปัจจัย เหมาะสม วิชาอาคมย่อมก้าวหน้าเอง

            คนที่สร้างความพิศวงแก่ผู้ทรงอาคมสูงวัยทั้งสองอย่างแท้จริงคือหมอหมาก!

            ทรงกลดสามารถทำลายไวรัสนางพญาหกตัวภายในเวลาอันสั้น นับว่าหาใครทาบฝีมือได้ยากแล้ว หมอหมากกลับรักษาทรงกลดที่โดนไวรัสนางพญาขั้นร้ายแรง พร้อมกับเอื้อกานต์ที่โดนพิษไวรัสจนอาการเพียบหนักได้พร้อมกันอย่างเหลือเชื่อ

            มันเป็นปาฏิหาริย์ในปาฏิหาริย์ มือของคุณหมอหนุ่มคนนี้มีพลังการเยียวยาที่อาจหาไม่ได้อีกแล้วในโลก

            ถึงอย่างนั้น ไวรัสนางพญาไม่ใช่สิ่งที่จะดูแคลนกันได้ ต่อให้หมากรักษา ถอนพิษไวรัสนางพญาในระดับวิกฤติออกมาได้ ร่างกายเขาก็รับพิษเช่นกัน และการที่เขาฝืนถอนอาคมร้ายกาจในตัวทรงกลดออกมาอีก ทำให้ตนเองโดนทั้งพลังมืดแห่งอสูรทรงกลด พร้อมกับพิษไวรัสนางพญา อย่างนี้ย่อมไม่มีทางรอด

            ทว่าหมอหมากกลับรอด...รอดชีวิตด้วยการเยียวยาตนเองอย่างช้าๆ ในสภาพจำศีล

            อย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาพิศวงได้อย่างไร



               เวลานี้ทรงกลดใกล้ฟื้นอาคมขั้นต้นสำเร็จ ร่างกายหมากเยียวยาตนเองเกินครึ่ง ทีเกื้อ เอื้อกานต์ น่าจะรับมือสมุนไลลาได้...ฮันเตอร์ คิม ย่อมหมดห่วง

            สิ่งที่เป็นห่วง กังวลอย่างแท้จริง คือทำอย่างไรถึงจะหยุดยั้งการปล่อยไวรัสอาคมของไลลา โดยไม่เสียสัจจะ

            เขาไม่เห็นด้วยกับไลลาตั้งแต่แรก หากคัดค้านไม่ได้ ขัดขวางไม่ได้ ทำได้เพียงแอบช่วยโดยไม่ให้เสียสัจจะอยู่ห่างๆ

            ครั้งนี้ไลลาตั้งใจแพร่ไวรัสอาคมทั่วประเทศ คนจำนวนมหาศาลต้องบาดเจ็บ ล้มตาย

            ถึงจะแนะนำทีเกื้อให้ใช้วิธีกระตุ้นจิตกุศลแก่คนดูคอนเสิร์ต แต่ไวรัสอาคมไม่ได้แพร่ผ่านทางโทรทัศน์ ไม่ได้โจมตีเฉพาะคนดูทีวี มันอาศัยคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ที่อยู่รอบตัวมนุษย์เป็นสื่อ กระจายตัวอย่างกว้างไกลด้วยระบบดาวเทียม จู่โจมทุกผู้คนที่กำลังเกิดจิตอำมหิต มีกิเลสรุนแรง เตรียมกระทำเรื่องชั่วช้า หรือไม่ก็คนเลวทรามโดยสันดานที่ไม่อาจแยกขาวแยกดำ ไม่รู้จักถูกผิด ดีชอบ

            การที่เขาแนะนำทีเกื้อ เป็นแค่วิธีช่วยเหลือคนแค่กลุ่มเดียว ซึ่งมันเป็นวิธีเดียวที่เขาสามารถช่วยผู้คนได้โดยไม่เสียสัจจะ

            นอกจากนี้ ยังมีวิธีใดอีกบ้าง...ฮันเตอร์ คิม สงบใจคิด

            จิตสงบมองหาหนทางช่วยเหลือผู้คน แต่จู่ๆ ตาข่ายใจที่แผ่กว้างก็รับสัญญาณหนึ่งได้...เป็นสัญญาณที่ทำให้ดวงตาเขาเบิกโพลง หัวใจเต้นเร็วอย่างไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว

            ...นี่คือสัญญาณของอาจารย์ตูมิน...ศัตรูคู่แค้นที่ตามหากันมานานหลายสิบปี...

            ฮันเตอร์ คิม เจาะจงพุ่งกระแสจิตกวาดหาจุดที่ตูมินอยู่ พบว่ามันใกล้นิดเดียว ไม่เกินบริเวณสวนสาธารณะที่กำลังจัดคอนเสิร์ตด้วยซ้ำ

            อดีตเจ้าชายเฌอคิมซาลุกจากที่นั่ง เดินลงอัฒจันทร์ด้วยความรวดเร็วผิดกับวัย

            หัวใจเต้นระทึก ทั้งยินดี ตื่นเต้น กราดเกรี้ยว คั่งแค้น ภาพวันเก่าๆ ย้อนทวนขึ้นมาในหัวมากมาย

            สัญญาณจากตูมินไม่ใช่ถูกกระทบโดยบังเอิญ มันเป็นเพราะอีกฝ่ายจงใจส่งออกมาให้เขารู้...เป็นการประกาศตัว ประกาศสงคราม

            ฮันเตอร์ คิม ไม่สนใจเจตนา จุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้าม การติดตามไล่ล่าศัตรูร้ายรายนี้ควรสิ้นสุดเสียที เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตูมินพ้นมืออีกเด็ดขาด!



               เอื้อกานต์ถอยหลังจนติดผนัง กวาดตามองรอบตัว ไม่เห็นศัตรูมาจากด้านอื่นอีก นอกจาก รปภ. ทั้งสี่คนที่ยืนเบื้องหน้าทีเกื้อ

            ทั้งหมดจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ว่องไว นายตำรวจหนุ่มรับมือไม่ชักช้า มือไม้ แข้งขา กระบวนการต่อสู้ เป็นไปอย่างรุนแรง ไม่มียั้ง

            หญิงสาวเคยเห็นน้องชายต่อยตีกับคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งยังเคยเข้าไปช่วย จึงมองการต่อสู้เป็นเรื่องคุ้นตา ยิ่งกว่านั้นมันยังกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งร่างให้ทำงาน ตื่นตัว ระแวดระวัง ไม่พลั้งเผลอ

            ทีเกื้อรับมือหนึ่งต่อสี่ นับเป็นเรื่องลำบาก กินแรง เขาลงมือเต็มที่ ตั้งใจจู่โจมจุดสำคัญบางจุดบนร่างกายคู่ต่อสู้ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามหมดสภาพ หยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว อำนาจภายนอกไม่อาจควบคุมบังคับได้

            เอื้อกานต์ตั้งสติ นึกถึงตอนเผชิญหน้ากับพวกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่โดนปิศาจควบคุมเช่นกัน ตอนนั้นอาศัยสร้อยข้อมือของเธอขับไล่พลังงานแปลกปลอมที่เข้าควบคุมออกไปได้

            คราวนี้เหลือแค่ลูกปัดเม็ดเดียว ไม่รู้จะได้ผลหรือไม่?

            ...ยังไงก็ต้องลองดู

            หญิงสาวบอกตนเองก่อนหยิบลูกปัดมาวางไว้บนมือ กระแสคลื่นอบอุ่น อ่อนโยน ยังติดอยู่จางๆ

            ตอนที่คุยกับทรงกลดในห้องขัง ทำให้รู้ว่าสร้อยลูกปัดนั้นเป็นฝีมือปลุกเสก ผนึกอาคมจากเขา แล้วแอบสะกดจิตผกาแก้ว คนไข้ของเธอ ช่วยนำมามอบให้เพื่อใช้ป้องกันสมุนของไลลา

            จึงไม่น่าแปลกที่เธอสัมผัสกระแสความคุ้นเคย เป็นห่วง จากสร้อยนี้หลายครั้ง และตอนที่ทรงกลดได้รับอันตรายจากไวรัสนางพญา มันจึงขาดออก เป็นการแจ้งเหตุว่าชีวิตผู้ผนึกอาคมตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง

            เอื้อกานต์หลับตา ใช้จิตเกาะอยู่ที่เม็ดลูกปัด เพ่งลึกจนถึงอาคมที่ผนึกซ่อนเร้นภายใน กำหนดให้มันขยายกำลังออกกว้าง เห็นเป็นแสงเรืองในนิมิต

            ทีเกื้อเพิ่งล้มคู่ต่อสู้ได้สองราย ยังเหลืออีกสองรายที่รับมือได้ยาก หนำซ้ำเขายังโดนสองคนแรกเล่นงานจนเจ็บตัวกว่าจะจัดการได้ แขนขายามนี้จึงไม่คล่องแคล่วว่องไวเท่าตอนแรก

            พักใหญ่ นายตำรวจหนุ่มก็กัดฟันเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อีกราย ทำให้มันหมอบฟุบ ร่างกายหมดสภาพ หยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว แต่ตนเองก็พลาดพลั้งล้มลง รปภ. คนที่สี่เงื้อไม้กระบองเตรียมฟาดลงมาเต็มแรง

            ...แว้บ...

            ปรากฏแสงสีส้มเหลืองสว่างวาบขึ้นชั่วขณะ รปภ. รายนั้นสะดุ้งเฮือก ล้มครืนเหมือนหุ่นยนต์ลานขาด หมดกระแสไฟ

            ทีเกื้อหันไปมองทางพี่สาว เห็นเธอยื่นมือมาข้างหน้า เม็ดลูกปัดใสวางเด่นบนมือข้างนั้น

            “ขอบใจนะ” ทีเกื้อเอ่ยปาก ขยับตัวลุกอย่างยากลำบาก

            เอื้อกานต์เก็บลูกปัดใส่กระเป๋า ใช้มืออีกข้างช่วยฉุดดึงน้องชายขึ้นมา

            “รีบไปตามหาพี่กลดกันเถอะ” คุณหมอนึกเป็นห่วง จิตใจหวั่น สังหรณ์ร้ายกระตุ้นเตือน...ไลลาคงไม่ส่งสมุนมาแค่นี้แน่นอน

            สังหรณ์ของเธอไม่ผิดพลาด เพราะเมื่อหันกลับหลังก็พบร่างดำทะมึน ยืนแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอย่างประสงค์ร้ายเรียงเป็นแผง แน่นขนัด พอหันมาอีกด้านก็พบปิศาจลักษณะเดียวกันยืนขวางเป็นกำแพงหนาทึบ ปิดเส้นทางหนีทั้งด้านหน้าด้านหลัง

            “ไอ้ผีพวกนี้ โดนต่อยแล้วมันจะล้มมั้ย” ทีเกื้อถามพี่สาวอย่างมีอารมณ์ขัน

           “เราต่อยมันไม่ล้ม มันก็บีบคอเราไม่ได้เหมือนกัน” หญิงสาวพูดอย่างคนตั้งสติเร็ว เข้าใจ

            ปิศาจพวกนี้ไม่เหมือน รปภ. พวกนั้น มันไม่สามารถบีบคอ คว้าปืนมายิงคนได้อย่างพวก รปภ. ที่โดนควบคุม แต่พวกมันสามารถกระตุ้นความหวาดกลัว โยกคลอนจิตใจ และเข้าควบคุม ครอบงำได้ หากจิตของผู้โดนทำร้ายไม่เข้มแข็ง ตั้งมั่นพอ

            “งั้นเอายังไง” ทีเกื้อถาม ทั้งสองมีความเข้าใจตรงกัน

            “อยู่เฉยๆ วัดใจกัน ดูซิว่าสมุนไลลาจะมีพิษสงขนาดไหน”

            “คิดได้แค่เนี้ยนะ” ทีเกื้ออดบ่นพี่สาวไม่ได้

            สองพี่น้องหัวเราะให้กันเบาๆ ไม่นึกหวั่นเกรงต่อฝูงปิศาจที่ดาหน้าเข้ามาหวังโยกคลอนจิตใจ และครอบงำ ควบคุมให้พวกเขากลับเป็นนักโทษอีกครั้ง

            เอื้อกานต์รู้ว่าอาคมในลูกปัดไม่อาจต้านทานพลังงานปิศาจมากมายขนาดนี้ได้ ทีเกื้อเองก็ไม่มีวิชาอาคมมาขับไล่ภูตผี ทางเดียวคือตั้งมั่น รับมือตามสถานการณ์ เชื่อว่าเมื่อพวกเธอสองคนอยู่ร่วมกัน ผสานจิตใจเป็นหนึ่ง อำนาจมืด พลังงานร้ายใดๆ ก็ยากกล้ำกราย ครอบงำได้

            ขบวนปิศาจเบียดเสียดแห่กันเข้ามาห่างจากสองพี่น้องไม่ถึงคืบ สีหน้าถมึงทึง ดุร้าย กระแสความดำมืด แผ่กระจายครอบคลุม กลิ่นเหม็นเอียนลอยคละคลุ้งทำลายประสาท

            ทีเกื้อ เอื้อกานต์ ยิ้มให้กัน มือจับมือมั่นคง ลมหายใจผสานเข้าออกเป็นจังหวะเดียว จิตใจ ความรู้สึก รวมเป็นหนึ่งขึ้นมาชั่วคราว ขณะนั้นกองทัพปิศาจทึบทะมึนทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็แห่เข้ามาปิดบังร่างทั้งสองจนมิด มองกันไม่เห็น

            รอบกายมืดมิด กลิ่นอับฉุนยากทนทาน พลังร้ายวนเวียนหายใจรดต้นคอ ภาพความน่ากลัว สยดสยองแวบผ่านเข้ามาในหัว เสียงอื้ออึงกรีดร้องดังสั่นประสาท กระแสคลื่นแห่งหวาดกลัว หวั่นไหว พยายามซึมแทรกเข้ามาในใจ

            สองพี่น้องหลับตา สัมผัสมือต่อมือมั่นคง จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เห็นทุกสรรพสิ่งอันร้ายกาจผ่านมาแล้วเวียนผ่านไป เป็นแค่ภาพปรากฏ แค่เสียงให้ได้ยิน แค่กลิ่นให้ได้รู้ เป็นแค่สัมผัสให้รู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ทนทาน ไม่อาจอยู่ถาวร

            ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งนั้น

            พลันนั้นเอง แสงสีส้มเหลืองสว่างจ้าก็พุ่งมาจากประตูห้องที่เปิดผางแบบไม่มีวี่แวว เสียงสวดสาธยายมนตร์ดังกังวาน เหล่ากองทัพปิศาจส่งเสียงกรีดร้อง หนีหาย

            สภาพปกติกลับคืน ทีเกื้อ เอื้อกานต์ ลืมตา ระบายลมหายใจที่คั่งค้างออกมา มองเห็นประตูห้องพักใกล้ๆเปิดอ้า ทรงกลดยืนเด่นตระหง่าน

            “พระเอกต้องออกมาเฉพาะตอนสำคัญใช่มั้ยพี่กลด” ทีเกื้อแซวชนิดไม่เกรงใจพี่สาว

            “ขอโทษที่ออกมาช้า” ทรงกลดก้าวเข้ามาหา สายตาที่มองเอื้อกานต์มีแววโล่งอก ยินดี

            “หมอหมากอยู่กับพี่กลดหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามประโยคแรกด้วยความเป็นห่วง ร้อนใจ

            ทรงกลดพยักหน้ารับ ชี้มือไปทางห้องที่ตนเองเพิ่งทลายกำแพงอาคมออกมาสำเร็จ

            เอื้อกานต์ขยับตัว จะเข้าไปดูอาการคุณหมอหนุ่ม ต่อให้รู้ว่ามันคงไม่น่าเป็นห่วง แต่ใจกังวล อยากเห็นใบหน้าเขาให้ชัดกับตา

            เพียงแค่เดินมาถึงหน้าประตูก็สะดุดกึก คล้ายชนอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น เป็นกำแพงใสๆ แข็งแรง ไร้รูปร่าง ทำได้เพียงมองผ่านมันเข้าไปในห้อง

            ทรงกลดรู้ถึงความผิดปกติ หันกลับมามองตาม สัมผัสรู้ชัดถึงกำแพงอาคมอีกชนิด เป็นม่านใสกั้นขวาง ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันสร้างจากเวทมนตร์อันร้ายกาจทั้งที่เจ้าตัวคนสร้างไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ

            ไลลารู้...ถ้ายังขังหมอหมากไว้ได้ พวกเขาคงไม่กล้าออกไปไหน

            ที่น่ากลัวกว่านั้น ไลลาไม่ใช่แค่กักขังหมากไว้เฉยๆ ในห้องขณะนี้เต็มไปด้วยฝูงปิศาจร้าย ปรากฏร่างเป็นเงาดำทึบทะมึน ยืนล้อมเตียง เตรียมส่งพลังงานชั่วร้ายเข้าครอบงำร่างไร้สติของคุณหมอหนุ่ม

            “อย่านะ!” เอื้อกานต์เงื้อมือทุบกำแพงสุดกำลัง เผชิญแรงสะท้อนกลับ ร่างกระเด็นออกมา ทีเกื้อซึ่งยืนด้านหลัง คว้าร่างพี่สาวทันท่วงที

            ทรงกลดรวบรวมสมาธิเท่าที่มี เพ่งกำแพงใสตรงหน้า เปล่งวาจา อาคมอันกร้าวแกร่ง ที่เพิ่งใช้ทลายกำแพงอาคมอันเดิม พาตัวเองออกมาได้

            ...เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ...

            เสียงดังลั่นเป็นทอดๆ ทว่ากำแพงตรงหน้าไม่โยกคลอน สั่นสะเทือน เวทมนตร์ที่ไลลาส่งมาคราวนี้ร้ายกาจกว่าเดิม และอาคมของทรงกลดก็ไม่แรงกล้าเท่าที่เคยมี จึงไม่อาจทำลายมันได้

            “หมอหมาก!” เอื้อกานต์ตะโกนดังลั่น หวังให้เจ้าชายนิทราฟื้นคืน ฝูงปิศาจไม่อาจควบคุม

            ชั่วเวลาที่เหล่าปิศาจกระโจนลงมาจู่โจม หวังทำร้ายร่างที่ไม่มีทางสู้...ฉับพลัน บังเกิดแสงสีขาวสว่างจ้าฉายวูบขึ้นมาขับไล่ม่านมืด จนฝูงปิศาจร้ายกระจายหาย

            กำแพงมนตราอันแข็งแกร่งสลายตัวง่ายดาย

            ขณะคนตรงหน้าประตูกำลังตื่นตะลึงกับแสงประหลาดไม่ทราบที่มา หมากก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง และหันมายิ้มให้คนทั้งสามที่ยืนมองด้วยความเป็นห่วง ใบหน้ากระจ่างใส...สว่าง...จนดูราวกับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป







บทที่ ๒๖



               คอนเสิร์ตเริ่มแล้ว

            ไลลาอยู่ในห้องพักศิลปิน รอเวลาขึ้นเวทีเป็นไฮไลต์ของงาน ภาพนิมิตภายนอกถูกสลัด ปิดกั้นออกหมด หยุดการรับรู้สิ่งนอกตัวเพื่อน้อมจิตสู่สมาธิดิ่งลึก เพิ่มพลังงานใจให้แน่นหนา กร้าวแกร่ง

            ภาพนิมิตสุดท้ายคือเหตุการณ์ในโรงแรม เหล่าสมุนของตนกำลังแห่เข้าไปรุมเอื้อกานต์ ทีเกื้อ

            หลังจากนั้นไลลาสั่งสมุนให้วางกับดักอีกสามสี่ชั้น ก่อนจะปิดช่องทางการสื่อสาร ไม่สนใจว่าหนุ่มสาวทั้งสี่จะฝ่าด่านของตนออกมาได้หรือไม่

            การส่งไวรัสอาคมครั้งสำคัญกำลังเริ่ม ไลลาไม่อาจแบ่งแยกสมาธิไปสนใจ ควบคุมเรื่องอื่น ต่อให้เอื้อกานต์และพวกหนุ่มๆ จะรอดพ้น ผ่านกับดักมาถึงงานคอนเสิร์ตทันเวลา ก็ไม่สามารถขัดขวางการปล่อยไวรัสอาคมได้อีกแล้ว

            ไลลาอยู่ในชุดราตรีสีขาวสะอาด ปักเลื่อมเป็นประกายระยับ เส้นผมสีน้ำตาลอมทองปล่อยยาวเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าเนียนเรียบด้วยเครื่องสำอาง การตกแต่งชั้นเลิศ นัยน์ตาโตกลมสวยบาดตาเปล่งประกายซ่อนเร้นพลังงานอันเต็มเปี่ยม จิตใจนิ่งเรียบ กำลังแห่งเวทมนตร์ร่ายระบำกลางทรวงอก พร้อมถูกปลดปล่อยออกมาทุกเมื่อที่ต้องการ

            เบื้องนอก เสียงเพลงจากนักร้องอื่นแว่วมาเป็นระยะ คอนเสิร์ตถูกปรับรายละเอียดเล็กน้อย โดยเพิ่มการฉายวีทีอาร์บอกเล่าที่มาของการจัดงาน ชี้ให้คนดูเห็นประโยชน์ของเม็ดเงินที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้ายรวมทั้งครอบครัวที่กำลังจะขาดเสาหลักสำคัญ

            สัตตบงกช พิธีกร พยายามพูดชี้นำให้เห็นถึงความลำบากของชีวิตผู้ป่วยโรคเอดส์ระยะสุดท้าย ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูง และครอบครัวที่ต้องร่วมรับชะตากรรม รายได้จากงานคอนเสิร์ต นอกจากสามารถช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย ค่ารักษา ต่อชีวิตให้แก่ผู้ป่วยแล้ว ยังเป็นการช่วยฟื้นฟู เยียวยาจิตใจแก่ผู้ป่วยและครอบครัวที่กำลังทดท้อ ให้มีกำลังใจต่อสู้ต่อไปอีกด้วย

            ไลลาไม่สนใจสิ่งที่เพิ่มมานอกเหนือจากสคริปต์เดิม เธอรู้ว่า ฮันเตอร์ คิม ‘พูดคุย’ กับทีเกื้ออย่างไร และนายตำรวจหนุ่มได้แนะนำ ชักชวนคนรัก ให้ช่วยพูดตอกย้ำจุดประสงค์ ประโยชน์จากรายได้นี้ขนาดไหน

            ...อยากทำอะไรก็ทำไป... ไลลาไม่ใส่ใจ เธอไม่ขัดขวางหากคนดูคอนเสิร์ตจะเกิดจิตเป็นกุศล คิดดี ทำดี เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เธออยากให้เกิดให้มีในโลกอยู่แล้ว

            ไวรัสของเธอไม่ต้องการฆ่าคนชนิดล้างโลก แค่อยากคัดคนชั่วออกไป เหลือโลกที่ปลอดภัยน่าอยู่สำหรับคนดีๆ ไว้เท่านั้น

            ไลลามั่นใจ การสร้างโลกที่ปราศจากผู้ร้ายเป็นสิ่งควรทำ เชื่อว่าคนอีกค่อนโลกก็เห็นด้วย เพียงแต่ไม่มีใครสามารถทำได้เช่นเธอ

            นอกจากนั้น ส่วนลึกของหัวใจที่จำเป็นต้องปล่อยไวรัสครั้งนี้ให้ได้ ก็เพื่อควานหาผู้ร้ายตัวจริง จะได้ช่วยปลดพันธนาการความแค้นออกจากหัวใจคนรักเธอเสียที

            ชีวิตที่ต้องจมอยู่ในความอาฆาต และบาดแผลถูกทำร้ายอยู่ซ้ำๆ เป็นเรื่องทรมานแค่ไหน...คนที่ฝันซ้ำซากถึงบรรพบุรุษแม่มดขณะถูกกระทำทารุณเนิ่นนานนับสิบๆ ปีเช่นเธอ...เข้าใจดีกว่าใคร

            ทุกสิ่งที่ไลลาตั้งใจกระทำ อยู่บนพื้นฐานเจตนาดี เธอจึงไม่หวั่นไหวต่อคำคัดค้าน ไม่สะเทือนต่อเหตุผล การทัดทานของใครๆ ไม่ว่ากระทำเรื่องใด ย่อมมีการแลกเปลี่ยน สูญเสีย

            ขอให้เจตนารมณ์สำเร็จ...ต่อให้ทั้งโลกมองเธอเป็นนางมารร้าย...ก็ยอม



               คิวการแสดงของไลลาใกล้มาถึง ผู้ควบคุมเวทีเข้ามาบอก...เหลือเวลาอีกห้านาที

            ไลลาเดินออกจากห้องพัก เตรียมสแตนด์บายหลังเวที ท่วงท่าเยื้องย่างก้าวเดินสง่างาม แผ่อำนาจกว้างขวาง ไม่ต่างจากนางพญาผู้ยิ่งใหญ่

            จิตใจไลลาสงบเงียบคล้ายบ่อน้ำไร้ระลอกคลื่น บทเพลงแห่งมนตราพร้อมขับขาน ไวรัสร้ายเตรียมแพร่กระจาย เหล่าปิศาจที่จะมาเป็นพาหะชักนำรายล้อมอยู่รอบเวทีโดยไม่มีสายตามนุษย์ผู้ใดเห็น

            พร้อม...รอเวลา

            เพลงเพิ่งจบ นักร้องคนก่อนหน้าเดินกลับเข้าด้านหลังเวที พิธีกรสาวกล่าวแนะนำ เปิดตัวให้แก่ไลลา จากนั้นคนคุมเวทีก็ให้สัญญาณ...

            ไลลาก้าวขึ้นสู่เวทีอย่างงดงาม ไฟทุกดวงสาดส่อง ฉายให้เห็นราศีอำนาจบาดตา แทบหยุดลมหายใจทุกคน

            เสียงดนตรีเริ่มบรรเลง...บทเพลงขยับ...ขับขาน

            ...ครืน...เปรี้ยง!

            เสียงฟ้าคำรามดังสะเทือนเลื่อนลั่น ตามด้วยเสียงฟ้าผ่าไกลๆ ก่อนหยาดฝนเม็ดแรกจะแตะพื้นเวที ตามด้วยสายฝนพร่างพรูลงมา...

            เมื่อตอนเย็น ท้องฟ้าโปร่ง สว่างใส พยากรณ์อากาศยืนยันชัดเจน กรุงเทพฯ ไม่มีพายุฝน ไม่มีกระทั่งเมฆฝนปรากฏให้เห็น แล้วเหตุใดจึงมีฝนตกฟ้าร้องที่คอนเสิร์ตกลางแจ้งเช่นนี้ได้

            จิตใจสงบราบเรียบของไลลาแปรเปลี่ยน กลายเป็นโทสะรุนแรงเกินระงับ โกรธยิ่งกว่าเคยโกรธ

            ต่อให้ยามนี้ เธอยังปิดสัมผัสภายนอก ไม่รับรู้การกระทำ กระแสคลื่นของผู้ใด ด้วยต้องการให้จิตมั่นในมนตรา เธอก็มั่นใจ คนที่ใช้อาคม สามารถเรียกฟ้าเรียกฝนให้ตกอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้...เป็นใครไปไม่ได้...นอกจาก...

            ฮันเตอร์ คิม!



               ครืน...

            เสียงฟ้าร้องลั่นคำรามยาวดังสะท้านสะเทือนไปทั่วสวนสาธารณะ อาจารย์ตูมินนั่งอยู่กลางอัฒจันทร์ท่ามกลางผู้ชมคอนเสิร์ตแน่นขนัด นึกขำขันในใจ...ป่านนี้เจ้าชายไร้บัลลังก์มัวตามหาศัตรูร้ายอยู่ถึงไหน ช่างถูกหลอกง่ายดายเหลือเกิน

            ตูมินจงใจส่งสัญญาณแสดงความเป็นตัวตนอยู่กลางสวนสาธารณะ แล้วใช้วิชาซ่อนเร้น ซุกงำพลัง วกกลับมางานคอนเสิร์ต นั่งอยู่ท่ามกลางคนดูนับร้อยนับพัน อดีตเจ้าชายเฌอคิมซากลับไม่รู้

            ...โง่อย่างนี้ถึงโดนจูงจมูก หลอกล่อ ชักใย มาได้เกือบครึ่งศตวรรษ! จะว่าไป หน่อเนื้อมูจนะเชื้อสายเปอร์เซียยุคหลัง มันก็โง่จนถูกหลอกง่ายๆ ด้วยกันทั้งนั้น

            มันเป็นเวรกรรมที่ต้นตระกูลพวกมันตระบัดสัตย์ ทำลายสัตยาบัน ฉีกพันธะสัญญาระหว่างหน่อเนื้อมูจนะสองเชื้อสาย ที่ให้ผลัดกันครองแผ่นดินมาเกือบสองร้อยปีลงไป

            และคงเป็นเวรกรรมของพวกมันอีกเช่นกัน ที่ช่วยให้เขาสามารถทำลายมูเจน ประเทศอันมั่งคั่ง อย่างไม่ยากเย็น เหนื่อยแรง

            เริ่มต้นจากลอบวางยาองค์รานีให้ประชวรด้วยโรคประหลาด ไม่มีหมอคนใดในโลกรักษาได้ รอจนคนทั้งมูเจนหมดหวัง สิ้นกำลังใจ เขาจึงค่อยเสนอตัว แสดงความสามารถอันโดดเด่น จนพวกมันเชื่อถือ ยอมให้รักษา

            หลังจากเขาถอนพิษ รักษาองค์รานีจนหายประชวร ชื่อของ ‘อาจารย์ตูมิน’ ก็เป็นที่เลื่องลือในวงสังคมชั้นสูงของมูเจน

            จากนั้นแผนการถอนรากถอนโคนหน่อเนื้อมูจนะสายเปอร์เซียก็ดำเนินต่ออย่างสะดวก เขาใช้วิธียุแยง เสี้ยมสอน หลอกล่อด้วยอาคมให้คนชั้นสูงหลงผิด ทำตัวมัวเมา หลงระเริงใช้อำนาจบารมีในทางที่ผิด เบียดเบียนสังคม ผู้คน จนกระทั่งประชาชนรังเกียจ เอือมระอา ทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านขึ้นมา

            เมื่อถึงจุดที่ประชาชนเบื่อหน่ายความฟอนเฟะของคนชั้นสูง สถานการณ์สุกงอม ผู้นำกลุ่มต่อต้านและหวังยึดครองอำนาจแทนอย่างตาล็อคก็เข้ามาหาเขา ขอร้องให้ร่วมมือ ช่วยกันโค่นบัลลังก์ คืนอำนาจกลับมาสู่ประชาชน

            ตูมินรู้แก่ใจ คำว่า ‘คืนอำนาจกลับมาสู่ประชาชน’ ของตาล็อค แท้จริงก็แค่เปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ ตาล็อคหวังให้ตูมินช่วยเหลือ เพราะเขาเป็นที่นับถือศรัทธาของเหล่าหน่อเนื้อชั้นสูง โดยหารู้ไม่ ตนเองกลับเป็นเครื่องมือให้ตูมินเสียเอง

            การยึดอำนาจสำเร็จ ตาล็อคขึ้นเป็นผู้นำประเทศคนใหม่ ตูมินได้รับเกียรติสูงสุด

            วันนั้นตูมินรู้ว่าเจ้าชายเฌอคิมซาวัยสิบสามชันษาหลุดรอดไปได้ แต่ยังไม่คิดตามเข่นฆ่าให้สิ้นซาก เพราะต้องการสร้างความลำบาก คับแค้น แก่ทายาทคนสุดท้ายของหน่อเนื้อมูจนะเชื้อสายเปอร์เซียจนถึงที่สุด

            สิบปีผ่านไป ตูมินยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของเจ้าชายเฌอคิมซาเป็นระยะ จนกระทั่งเจ้าชายวางแผนกลับมาทวงบัลลังก์ด้วยชันษายี่สิบต้นๆ

            เขาบอกแผนการของเจ้าชายต่อตาล็อค ทำให้เจ้าชายหนุ่มถูกจับเป็นเชลยอยู่ในนรกเหมืองเพชรถึงหกเดือน

            เจ้าชายหนีออกมาได้ ตูมินออกมาดักรอ เพราะแน่ใจหากปล่อยเจ้าชายกลับไปลักษณะนี้ เจตนาชิงบัลลังก์ย่อมแรงกล้ากว่าเดิม เขาจึงหาวิธีเบี่ยงเบนเป้าหมายของเจ้าชาย ด้วยการเปิดเผยความจริงว่า ตนอยู่เบื้องหลังการทำลายองค์เจ้ามูจนะแห่งมูเจน และแสดงฤทธานุภาพอาคมให้ประจักษ์ บอกเป็นนัยว่า หากเอาชนะจอมเวทเช่นเขาไม่ได้ อย่าหวังทวงบัลลังก์คืน

            เจ้าชายเฌอคิมซาจึงยอมหมกมุ่น ร่ำเรียนอาคม ไสยเวท ศาสตร์เร้นลับต่างๆ อีกนับสิบปี เพื่อกลับมาจัดการศัตรูร้ายด้วยมือของตนเอง

            ทว่า...ช่วงเวลาสิบปีระหว่างเฌอคิมซาเก็บตัวฝึกอาคม ประเทศมูเจนเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตาล็อคกลายเป็นผู้นำบ้าอำนาจ หลงในบารมี กระเหี้ยนกระหือรือที่จะตามล่า หาสมบัติคู่บัลลังก์ทั้งสามสิ่งให้ได้

            คนเช่นตาล็อคไม่เคยหยุดไม่เคยพอ เมื่อมันได้เป็นใหญ่ในประเทศแล้ว ก็ต้องการจะมีวาสนาบารมีเทียบเท่าองค์เจ้ามูจนะ ต้องการเป็นเจ้าของสมบัติคู่บัลลังก์อายุนับร้อยๆ ปีที่หาค่ามิได้

            ตูมินรู้ที่ซ่อนสมบัติคู่บัลลังก์ แต่ไม่คิดอยากบอกใคร อีกทั้งไม่ต้องการครอบครอง ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์แรกของเขาคือการล้มล้างหน่อเนื้อมูจนะเชื้อสายเปอร์เซีย

            เมื่อทำสำเร็จ เขาก็ไม่นึกอยากเห็น อยากได้ สิ่งที่เป็นตัวแทนการคงอยู่มูเจนดั้งเดิมนี้เอาไว้

            การทำลายมันให้สิ้นซากยังดูง่ายเกินไป ไม่สาแก่ใจ ตูมินอยากเห็นของล้ำค่าทั้งสามสิ่งถูกเก็บซ่อนชนิดไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวันชั่วกัปชั่วกัลป์ กลายเป็นสมบัติไร้ค่าที่ไม่อาจเปิดเผยต่อชาวโลก...

            การที่สมบัติล้ำค่ามีอยู่ แต่ไม่อาจแสดงอวดอ้างต่อใคร ไม่อาจให้ผู้คนได้เห็น เคารพ ชื่นชม มันจะต่างอะไรกับก้อนกรวดก้อนหินที่ถูกเหยียบย่ำ มองข้าม ไม่มีใครเห็นความสำคัญ

            เมื่อตาล็อคเปิดเผยความชั่วร้ายเลวทราม ชักนำบ้านเมืองให้เสื่อมโทรม โกงกินบ้านเมืองหนักข้อชนิดไม่อายใครมากขึ้น จึงมีกลุ่มต่อต้าน ไม่พอใจ ก่อตัวเป็นกำลังเข้มแข็ง โดยมีชาวต่างชาติคอยสนับสนุนเงินทุนอยู่ลับๆ

            ตูมินมองเห็นหนทางที่จะทำให้จุดประสงค์ที่สองของตนสัมฤทธิผล...นั่นคือ...ทำให้มูเจนถูกลบจากแผนที่โลก

            งานนี้เขาเพียงอยู่เฉยๆ คอยสุมไฟแค้นแก่ฝ่ายตรงข้ามตาล็อคอยู่ห่างๆ เมื่อสองฝ่ายมีกำลังทัดเทียมกัน วัฏจักรแห่งการยึดอำนาจ เปลี่ยนผู้เป็นใหญ่ ก็กลับคืนมา

            ตาล็อคโดนสังหาร ตูมินก็ถูกตามล่าในฐานะผู้นำความเชื่อเก่า

            เวลานั้นตูมินจะแสดงอำนาจ ทำให้กลุ่มผู้นำใหม่เกรงกลัว ยกย่องให้เขาอยู่ในฐานะผู้นำความเชื่ออย่างเดิมก็ได้ แต่เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะอาศัยคราบ ‘อาจารย์ผู้ทรงเวท’ อีกแล้ว จึงหาเหยื่อมาเป็นศพตายแทน จากนั้นเร้นกายซุ่มดูความเป็นไปของมูเจนอย่างเงียบงัน

            ยามที่เฌอคิมซาสำเร็จอาคมในวัยสามสิบต้นๆ กลับมาพบบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงเกินรั้งกลับคืน องค์เจ้ามูจนะถูกลืมเลือนจากใจชาวมูเจนหมดสิ้น ไม่มีใครถามถึง รากเหง้าความเป็นมูเจนสูญหาย กลายเป็นประเทศอะไรสักอย่างที่ตามก้นชาวตะวันตก ถูกชาติมหาอำนาจสูบทรัพยากรเอาไปโดยไม่รู้ตัว

            ตูมินลอบดูอดีตเจ้าชายอยู่ห่างๆ นึกยิ้มเยาะสะใจ ในที่สุด ยี่สิบปีแห่งความเพียรพยายาม ไล่ตามเงาอดีต หวังฟื้นฟูความรุ่งเรืองล้วนสูญเปล่า...ไม่มีกระทั่ง ‘บ้าน’ ที่จะให้กลับมาพิงพัก

            เฌอคิมซาหมดหวังในแผ่นดิน ศัตรูร้ายรายแรกก็ตายสิ้น ศัตรูสำคัญก็ไร้ร่องรอย หนำซ้ำความรักยังต้องคำสาป ไม่อาจอยู่ร่วม มีความสุขเช่นคนธรรมดาทั่วไป

            สุดท้ายต้องใช้ชีวิตอย่างไร้ตัวตน เดินบนเส้นทางนักล่า ขนานนามตัวเองเป็น ‘ฮันเตอร์’

            ตูมินประสบความสำเร็จในปณิธานตนเอง มองเห็นผู้นำคนใหม่ของประเทศมูเจนไม่แตกต่างจากขั้วอำนาจเก่า เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ หนำซ้ำยังโดนชาวต่างชาติที่คอยช่วยเหลือตอนแรก บีบคั้นให้ยอมเปิดสัมปทานเหมืองเพชร สมบัติแผ่นดินที่เหลือทั้งหมด ให้แก่พวกมัน

            เมื่อใดที่เหมืองเพชร เหมืองทอง สมบัติแผ่นดินถูกขุดมาขายจนหมดสิ้น ชาวต่างชาติหนีหายกลับประเทศ มูเจนก็จะกลายเป็นประเทศไร้ค่า ไม่มีใครเหลียวแล ต่อให้มีชื่อบนแผนที่โลก ก็เสมือนไม่มีอีกต่อไป

            ตูมินมองเห็นอนาคตมูเจนชัดเจน เขาสมหวังในเจตนารมณ์ จุดมุ่งหมายที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่จำความได้ ล้วนกระทำสำเร็จเสร็จสิ้น

            จากนี้...เป้าหมายต่อไปคืออะไร?

            มองไปรอบกาย ไม่เห็นใครฉลาดกว่า ความสามารถสูงล้ำกว่า ฤทธานุภาพแกร่งกล้าร้ายกาจเท่า...เขาอยากทำอะไรก็ได้ในโลกนี้...แล้วโลก...มีเรื่องน่าสนุกอะไรบ้างให้เขาทำ?

            ประเทศเล็กๆ ที่มากด้วยทรัพยากรล้ำค่า ถูกจอมเวทเช่นเขาลบออกจากแผนที่โลกได้แล้ว

            ลองเล่นงานประเทศใหญ่ๆ ระดับมหาอำนาจให้มันปั่นป่วนดูบ้าง เห็นจะน่าสนุกดี!

            การละเล่นชิ้นต่อไปของตูมิน คือแทรกซึมเข้าไปใช้อาคม เวทมนตร์ เล่ห์เหลี่ยม กลลวง ความเฉลียวฉลาดของตน ชักใย โน้มนำ หลอกล่อผู้นำประเทศใหญ่ๆ ดำเนินนโยบายตามความต้องการของตน ให้โลกเกิดความปั่นป่วน หันซ้ายหันขวาอย่างที่เขาอยากให้เป็น

            พอทำสำเร็จในที่แรกก็นึกสนุก หันไปเล่นกับประเทศอื่นๆ บ้าง เหมือนพวกนั้นเป็นหมากรุกบนกระดานส่วนตัว

            ผลงานชิ้นสำคัญที่เขาภูมิใจอยู่มิวาย คือสามารถทำให้ผู้นำมหาอำนาจชาติหนึ่งประกาศสงครามกับประเทศเล็กๆ ที่มีทรัพยากรน้ำมันล้นเหลือ โดยอ้างเหตุผลดีงามต่างๆ หากแท้จริงคิดหวังฮุบบ่อน้ำมัน ทรัพยากรสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

            ผลงานชิ้นนั้นทำให้ผู้คนตายเป็นเบือ ประเทศมหาอำนาจหมดเปลืองกับงบทำสงครามเป็นจำนวนเงินมหาศาล เสียเครดิตจากประชาคมโลกจนเกินรักษาหน้าไว้ได้

            งานนี้เองที่ตูมินได้เจอเฌอคิมซาอีกครั้ง เจ้านักล่า ฮันเตอร์ คิม เกือบทำแผนการเขาเสียหาย ดีที่สามารถหลอกล่อ ใช้ความอาฆาตแค้นของมันให้ติดตามเขาแทนสังหารผู้นำมหาอำนาจได้

            ตูมินยอมเผชิญหน้า แกล้งต่อสู้พิสูจน์ฝีมือ...ฝีมือของนักล่าอดีตเจ้าชายพัฒนาขึ้น ร้ายกาจกว่าเมื่อครั้งสำเร็จวิชาในวัยสามสิบหลายช่วงตัว แสดงให้เห็นว่า เมื่อใช้เวทมนตราของแม่มดมาหลอมรวมอาคมและไสยเวทอันหลากหลายเข้าด้วยกันแล้ว จะเกิดเป็นวิชาใหม่ สามารถพัฒนาแทบไร้ขีดจำกัด

            ถึงขนาดนั้น ฝีมือก็ยังห่างจากตูมินหลายชั้น

            ผลการต่อสู้ทำให้ ฮันเตอร์ คิม บาดเจ็บสาหัส ตูมินไม่รู้สึกระคายผิว แต่แกล้งทำเป็นหลบหนี ให้เห็นว่าฝีมือพอสูสี ในใจกลับพบเจอของเล่นที่ตนเองลืมเลือนชั่วคราว...หน่อเนื้อมูจนะเชื้อสายเปอร์เซียคนสุดท้าย!

            ตูมินเสแสร้งจงใจหลบเลี่ยงผู้ล่า สลับกับทิ้งร่องรอยเป็นระยะเพื่อให้อีกฝ่ายยังมุ่งมั่นติดตามหาตัวเขาอย่างไม่ลดละ ล่อหลอกให้อีกฝ่ายคิดว่าใกล้จะจับได้ แท้จริงกลับเห็นเพียงเงาหลังไวๆ

            เวลาผ่านไปหลายสิบปี จากเจ้าชายน้อยเฌอคิมซาพระชันษาสิบสามสิบสี่ กลายเป็นนักล่าชรา ฮันเตอร์ คิม วัยหกสิบเศษ...ช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษนี้ ตูมินทำให้ทายาทคนสุดท้ายของมูเจนเชื้อสายเปอร์เซียต้องใช้ชีวิตอยู่ในเงามืด ไม่อาจพบแสงสว่าง จ่อมจมอยู่กับความแค้น ตามไล่ล่าศัตรูที่เหมือนอยู่ใกล้ แต่คว้าไม่ถึงเสียที เป็นชีวิตที่ตูมินเห็นแล้วสาสมใจอย่างยิ่ง

            ตอนนี้...เขาหาเรื่องน่าสนุกใหม่มาเล่นกับนักล่าชราได้แล้ว

            ตูมินสูงวัยก็จริง แต่เขายังไม่รู้สึกว่าตนเองแก่ชรา สมุนไพรและวิชาอาคมช่วยให้ร่างกายเขาแข็งแรง คล่องแคล่ว รูปร่างหน้าตาภายนอกดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า ปรับโครงสร้างร่างกายบางส่วน ทำให้ผิดแผก ไม่เหลือเค้าจอมเวทแห่งมูเจน

            ต่อให้ ฮันเตอร์ คิม หรือเจ้าชายเฌอคิมซาเดินผ่าน เพียงเขาจงใจซุกงำพลัง ไม่แสดงคลื่นความเป็นตัวตน เก็บกระแสอาคม ทำตัวเช่นคนปกติธรรมดา อีกฝ่ายไม่มีทางรู้ทัน จับได้เด็ดขาด

            เรื่องน่าสนุกที่เขาจะนำมาเล่นกับ ฮันเตอร์ คิม คราวนี้ คือการเผชิญหน้า ต่อสู้กันอีกครั้ง

            คราวก่อนอดีตเจ้าชายคิดว่าตนเองฝีมือไม่ห่างจากศัตรูเท่าไร จึงเร่งฝึกฝนพัฒนา พยายามแกะรอย ออกตามล่าเพื่อสะสางความแค้น หากครั้งนี้การเผชิญหน้าเกิดขึ้น แล้วเฌอคิมซาพ่ายแพ้ย่อยยับชนิดไม่เห็นหนทางทวงศักดิ์ศรีคืน อะไรจะเกิดขึ้น?

            พ่ายแพ้ในวัยหนุ่ม ยังพอมีเวลา เรี่ยวแรงฝึกฝน แก้มือ แต่พ่ายแพ้ในวัยชรา ชนิดที่เห็นว่าฝีมือไกลกันสุดกู่ ฝึกฝนอย่างไรก็ไม่มีวันไล่ทันแม้ปลายเงา

            ...คงไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากคับแค้นจนกระอัก เก็บความขมขื่น แค้นเคือง ติดตัวไปยังปรโลก!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP