วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๗



cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



               สร้อยข้อมือขาด เม็ดลูกปัดใสร่วงกราว เอื้อกานต์ตกใจ รู้ชัดถึงลางร้าย หมากหวั่นใจ นึกถึงทรงกลดที่บุกไปทำลายไวรัสนางพญาคนเดียว ไลลากลับนิ่ง ดวงตาเพ่งมองความว่างเปล่าตรงหน้า รับรู้ความนัยทั้งปวง

            หลังจากเห็นภาพ รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ไลลานึกโมโหตัวเองที่เลินเล่อ ประมาทฝ่ายตรงข้ามขนาดนี้ เธอวางตาข่ายคีตา ปล่อยภูตผีเป็นโขยงคอยเป็นหูเป็นตา ทรงกลดกลับฝ่าทุกด่านเข้ามาทำลายของสำคัญใต้จมูก โดยเธอไม่สำเหนียก รู้ตัวสักนิด

            ไม่อยากโทษคุณหมอสองหนุ่มสาวที่พูดคุย ถ่วงเวลา ดึงสมาธิ ความสนใจจากเธอ จนเผลอลืมเลือนของสำคัญใกล้ตัวอย่างไวรัสนางพญา กระทั่งมันถูกทำลายไปถึงหกตัว เหลือตัวที่เจ็ดทำร้ายผู้บุกรุกสำเร็จจึงค่อยมาเฉลียวใจ

            ไลลาลุกขึ้นยืนโดยไม่บอกกล่าว สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังประตูห้องอย่างเร่งร้อน เพียงเท่านี้ คุณหมอทั้งสองก็รีบลุก ติดตามเจ้าของสถานที่ไปโดยไม่รอคำเรียกร้อง เชิญชวน



               ประตูข้างห้องไลลาเปิดออก แสงไฟสว่าง จับร่างของทรงกลดที่นั่งพิงผนัง คอพับ นัยน์ตาปิดสนิท ไม่รู้ชะตากรรมว่ายังมีชีวิตรอดหรือไม่

            เอื้อกานต์ตะลึงงัน คิดไม่ถึงจะพบชายคนรักอยู่ที่นี่ ในสภาพแบบนี้...เกือบร้องกรี๊ดอย่างขาดสติแล้ววิ่งเข้าไปหา แต่ด้วยความที่เจอเรื่องฉุกเฉินเกินคาดหมายมาหลายครั้ง จึงตั้งสติไว รับมือเร็ว ไม่ปล่อยให้ความตื่นตระหนกครอบงำ สาวเท้าแซงหน้าไลลาเข้าไปหาชายหนุ่ม คุกเข่าลงจับข้อมือ หาชีพจรของเขา

            หมากเดินตามหลังผู้หญิงทั้งสอง เห็นเอื้อกานต์ก้าวยาวๆ จนเกือบเป็นวิ่งเข้าไปหาทรงกลด ขณะที่ไลลายืนนิ่งกลางห้อง กวาดตาดูความเสียหาย คุณหมอหนุ่มจึงหันมาสนใจตามไลลา มองหาร่องรอยของไวรัสนางพญา

            ห้องกว้างประมาณห้องประชุมขนาดกลาง ขณะที่ไม่ถูกมนตราสร้างภาพมายามันจึงเผยสภาพจริงให้เห็นว่าผนังแต่ละด้านตั้งชั้นวางของสูงเกือบจดเพดาน ยาวเกือบตลอดแนวผนัง แต่ละชั้นมีข้าวของวางเรียงราย ชั่วเวลาสั้นๆ นั้นไม่อาจแยกแยะออกว่าบนชั้นนั้นมีสิ่งใดอยู่บ้าง

            ตรงกึ่งกลางห้องปล่อยโล่งเหมือนต้องการเว้นไว้เพื่อใช้ทำพิธีกรรม หมากมองเห็นรอยดำๆ คล้ายรอยไฟไหม้เป็นดวง กระจายอยู่กลางพื้นถึงหกดวง

            คุณหมอหนุ่มแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าทรงกลดน่าจะทำงานสำเร็จ จัดการไวรัสนางพญาเรียบร้อย จนตัวเองบาดเจ็บขนาดนั้น เขาเชื่อว่าอาการทรงกลดคงไม่หนักหนาเกินเยียวยา

            เอื้อกานต์ขบริมฝีปาก กลั้นเสียงสะอื้น ไม่ยอมปล่อยให้มันออกมาพ้นอก น้ำตาพานจะไหลเมื่อสัมผัสข้อมืออันเย็นเฉียบของทรงกลด จังหวะชีพจรเต้นแผ่วเบา ทิ้งช่วงช้านานจนน่าเป็นห่วง

            สัมผัสพิเศษในใจบอกให้รู้ ชายตรงหน้าก้าวขายื่นไปในโลกความตายข้างหนึ่งแล้ว สายใยชีวิตบอบบาง หมิ่นเหม่ ปลิดปลิวขาดวิ่นง่ายดายกว่าเส้นใยแมงมุม

            ...หากต้องสูญเสียเขาอีกครั้ง...ต่อหน้าต่อตา...จะเป็นเช่นไร...

            ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก่อให้เกิดความหวาดกลัวจับใจ มือไม้สั่น ประสาทเสีย ยอมรับไม่ได้ จิตใจไม่อาจตั้งมั่น มีกำลังอย่างเคย เธออยากใช้พลังพิเศษช่วยรักษาเขาเช่นที่เคยรักษาคนอื่น แต่สภาพจิตใจเวลานี้ แค่คุมมือไม่ให้สั่นยังทำไม่ได้ แล้วจะให้ใจนิ่งสงบอย่างไร?

            หมากคุกเข่าลงข้างเอื้อกานต์ มองเห็นแววตาหญิงสาวก็รู้ว่าตนเองคาดเดาอาการทรงกลดผิดพลาดอย่างมหันต์

            ต่อให้ไม่ต้องแตะชีพจรคนเจ็บ ไม่ต้องใช้เครื่องวัดใดๆ มาตรวจสอบ เพียงเห็นสีหน้า แววตาคุณหมอสาวที่แตะชีพจรชายหนุ่มอยู่นั้น ก็บอกได้ว่าอาการบาดเจ็บนั้นเลวร้ายแค่ไหน

            ตั้งแต่เข้ามาในห้อง เอื้อกานต์ไม่สนใจใคร ไม่สนใจสิ่งอื่นรอบตัวนอกจากทรงกลด ในหัวคิดเพียงหาหนทางช่วยชีวิตชายคนรัก จนลืมเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง

            พวกเขาทั้งหมดอยู่ในสายตาไลลา...แม่มดผู้ทรงฤทธิ์ จิตใจลึกล้ำเกินหยั่งคาด ไวรัสนางพญาที่เธอสร้างมาอย่างยากเย็นโดนทำลาย...เธอจะรู้สึก และตอบโต้ผู้กระทำการหยามหน้าเธออย่างไร

            หมากยังไม่ลืมไลลา เขารู้ว่าอาการทรงกลดน่าเป็นห่วง แต่อารมณ์ของไลลาน่ากลัวยิ่งกว่า สถานการณ์พวกเขาทั้งสามตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ตั้งแต่ไลลาเข้าห้องมาจนถึงตอนนี้ยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ มีแต่แววตานิ่งสงบ เยือกเย็น...เย็นยะเยียบ

            “หมอเอื้อ...” หมากอดไม่ได้ ต้องส่งเสียงเรียกหญิงสาวแทนการเตือนสติ

            กลางห้องมีผู้ทรงเวทที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกยืนคุมเชิงอยู่...ไม่ใช่เรื่องน่าวางใจเลย

            ทว่าเอื้อกานต์ไม่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดเขา ฝ่ายที่เอ่ยปากกลับเป็นคนที่เขานึกกลัว

            “ไวรัสนางพญา” เสียงไลลาเรียบเย็น ลึกจับขั้วหัวใจ “ฉันใช้เวลามากกว่าครึ่งชีวิต คิดค้นสร้างมันขึ้นมา...” วาจาที่เอื้อนเอ่ยไม่บ่งบอกอารมณ์ใด

            หมากลุกขึ้นยืน หันไปประจันหน้า ใช้ร่างของตนบังเอื้อกานต์และทรงกลดเอาไว้ มองสบตาแม่มดผู้ทรงฤทธิ์อย่างไม่มีแววของคนขลาด เตรียมพร้อมหากฝ่ายนั้นคิดทำอะไรรุนแรง

            ไลลาสบตาหมาก รอยยิ้มแปลกๆ ผุดขึ้น

            “เธอคงคิดอยากบอกว่า...ดีแล้วที่ไวรัสพวกนั้นถูกทำลาย ฉันจะได้ไม่ต้องสร้างบาปกรรมอีกต่อไป”

            หมากไม่กล้าเอ่ยปาก เกรงคำพูดบางคำของตนจะไปกระทบ จุดชนวนโทสะฝ่ายตรงข้าม จนเกิดเรื่องราวเลวร้ายเกินแก้

            “เธอรู้มั้ย...ไวรัสนางพญาของฉันมีทั้งหมดเจ็ดตัว” ไลลาบอก

            หมากหวั่นใจ เกิดสังหรณ์ร้าย

            “ฉันวางกับดักไว้ในห้องนี้หลายชั้น ต่อให้มีคนผ่านมันได้ ก็ไม่มีทางเอาชนะ ทำลายไวรัสได้เกินห้าตัว หรือต่อให้เก่งจริง สามารถเก็บพวกมันได้หมดถึงห้าตัว คนคนนั้นก็ต้องบาดเจ็บปางตาย ถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลก!”

            หมากสงบใจนิ่ง พร้อมพรัก ในหัวคิดแค่...ไม่ว่าอย่างไร ต้องปกป้องเอื้อกานต์และทรงกลดจนถึงที่สุด

            “ฉันไม่อยากเชื่อ โลกนี้จะมีคนทำลายไวรัสนางพญาได้ถึงหกตัว โดยที่เขายังไม่ตายทันที”

            ไลลาพูดชัด พร้อมกับที่ดวงกลมสีม่วงปรากฏขึ้นข้างกาย จุดดำสนิทกึ่งกลางดวงนั้นเปล่งรังสีรุนแรง บาดคม ต่อให้ไม่มีสัมผัสพิเศษก็รู้ว่ามันเป็นสุดยอดสิ่งอันตรายร้ายกาจชนิดหนึ่งเท่าที่โลกมนุษย์เคยมี

            หมากระบายลมหายใจแผ่ว...รับรู้ ไวรัสนางพญายังเหลืออีกหนึ่ง ความสามารถระดับทรงกลดยังไม่อาจทำลายล้างมันได้จนหมด แล้วคนไม่มีอาคม พลังพิเศษด้านการต่อสู้เช่นเขา จะทำอย่างไรได้

            ทรงกลดเคยบอก ไวรัสนางพญาเป็นพลังงานอันตราย กร้าวแกร่ง ร้ายกาจ วิธีการทำลายมันมีทางเดียว คือต้องใช้พลังที่แข็งแกร่งกว่าบดขยี้ให้สิ้นซาก

            เขามีพลังเช่นนี้ที่ไหน...หากหวังเอาตัวรอด ต้องใช้สติปัญญาอย่างเดียว

            “ไวรัสนางพญาร้ายกาจขนาดนี้...คุณสร้างมันมาถึงเจ็ดตัว ถ้าควบคุมไม่ได้ มันจะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองหรือครับ” หมากเอ่ยปาก ใช้น้ำเสียงกึ่งชื่นชม กึ่งสนใจไถ่ถาม

            ประกายตาไลลาฉายวับ บอกความเท่าทัน

            “เธอคงอยากรู้ ฉันมีวิธีควบคุมมันอย่างไรใช่มั้ย?” ฝ่ายตรงข้ามย้อนคืนอย่างอ่านความคิดเขาออก

            หมากแค่ยิ้มไม่ใส่ใจ แววตาไม่เปลี่ยนแปลง

            “ทรงกลดคงบอกเธอแค่ว่าต้องใช้พลังที่แกร่งกว่าถึงจะทำลายมันได้เท่านั้น...” ไลลาพูดราวกับนั่งอยู่ในที่ประชุมคืนนั้นด้วย “แต่พวกเธอคงลืมไปว่า ฉันเป็นคนสร้างมัน...ผู้สร้างที่ดี ย่อมรู้วิธีควบคุม ใช้งาน และทำลายอาวุธร้ายของตัวเองได้”

            ได้ยินคำพูดที่เผยถึงความมั่นใจ อหังการในตนเช่นนี้ หมากก็รู้ว่าหมดหนทางกระตุ้นไลลาให้หลุดปาก บอกความลับของไวรัสนางพญาได้แล้ว

            “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขอพาเขากลับไป” หมากบอกตรงๆ พร้อมดูปฏิกิริยาไลลา

            คำที่บอกว่า ‘พากลับไป’ ไม่ได้หมายถึงพาทรงกลดไปจากที่นี่จริงๆ สภาพร่างกายทรงกลดไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้าย เขาเพียงแค่ขอโอกาสจากไลลา ให้เขากับเอื้อกานต์ได้รักษาอาการบาดเจ็บของทรงกลดก่อนพาออกไปเท่านั้น

            “พวกเธอทุกคนยังหวังจะได้ไปจากที่นี่อีกหรือ?” ไลลาเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

           หมากเย็นวูบตลอดไขสันหลัง ดวงตาฝ่ายตรงข้ามไม่ฉายแววอำมหิต ไม่มีริ้วรอยโกรธขึ้ง ตลอดเวลาพูดจาไม่มีกระแสโทสะ มุ่งร้ายเลย

            ไลลาดูเหมือนไม่โกรธ แต่หากมองตามความเป็นจริง...พวกเขาร่วมมือกันทำลายสิ่งที่เธอใช้เวลาเพียรสร้างมานานเกินกว่าครึ่งชีวิต...จะมีมนุษย์คนใดไม่โกรธบ้าง

            คนที่โทสะรุนแรงอย่างยิ่ง อาจไม่จำเป็นต้องแสดงสีหน้าแววตาให้ใครรู้เลยก็ได้

            “รู้มั้ย ไวรัสนางพญาหนึ่งตัว สามารถสร้างไวรัสอาคมให้ออกไปสังหารเหล่าคนชั่วได้กี่ล้าน...” ขนาดพูดเช่นนั้น น้ำเสียงยังฟังปกติธรรมดาเหลือเกิน

            “แล้วรู้มั้ย...ถ้าหากมนุษย์สักสองสามคน โดนไวรัสนางพญาเข้าไปเต็มๆ จะมีโอกาสหายใจได้กี่วินาที”

            ยิ่งไลลาพูด หมากยิ่งรู้สึก เวลาพวกตนหดสั้นลงทุกที

            “เท่าที่ผมทราบ ไวรัสอาคมของคุณใช้สังหารเฉพาะเหล่าคนชั่วร้าย จิตใจพอกพูนด้วยกิเลสต่ำช้า คิดหวังเอาเปรียบ ทำลายผู้อื่น” หมากจ้องตา สวนคำไลลาตรงไปตรงมา

            “แล้ว...เท่าที่เธอทราบ...” ไลลาใช้ประโยคพูดของคุณหมอย้อนคืน “ไวรัสอาคมพวกนี้ ฉันเป็นคนสร้าง...จะแปลกอะไรมั้ย ถ้าผู้สร้างจะสั่งให้มันไปทำร้ายใครก็ได้ ไม่จำกัดดีชั่ว”

            ขณะพูด ไวรัสนางพญายิ่งเปล่งประกายสีม่วงเจิดจ้า ลอยเลื่อนมาอยู่ตรงกลางระหว่างไลลากับหมาก จุดดำภายในดูเหมือนสัตว์ร้าย เตรียมทลายกรงออกมาทุกเวลา

            “ถ้าอย่างนั้น...ภารกิจล้างคนชั่วให้หมดโลก คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว!”

            หมากพยายามยื้อเวลาสุดชีวิต หวังว่าอย่างน้อยตอนนี้ เอื้อกานต์อาจต่อชีวิตให้ทรงกลดสำเร็จ เพื่อให้ทั้งคู่มีโอกาสได้หนีรอดออกไป

            ไม่น่าเชื่อ คำพูดเหวี่ยงแหของหมากกลับทำให้ประกายตาไลลาเปลี่ยนแปลง

            “เพราะอะไร?” ไลลาหลุดปากถาม

            “คนที่สังหารผู้บริสุทธิ์ ยังนับเป็นคนดีได้หรือครับ”

            หมากบอกชัด ถ้าไลลาฆ่าพวกเขา ตัวเธอก็ถูกนับรวมเป็นหนึ่งในเหล่าคนชั่วที่ต้องถูกกำจัดเช่นกัน

            หากเธอมีเจตนาล้างคนชั่วให้หมดโลกจริง...การหลงเหลือชีวิตตนเองไว้ ย่อมทำให้ภารกิจไม่มีวันสำเร็จ...

            วาจานี้จี้ลงกลางใจไลลาอย่างจัง มันอาจเป็นคำพูดที่ทำให้ไลลาได้สติ ไว้ชีวิต ปล่อยพวกเขาไป หรืออาจสร้างความอับอาย กระตุ้นโทสะ ความดื้อดึง ถืออัตตาตนเป็นใหญ่ จนสั่งฆ่าพวกเขาในพริบตาก็ได้

            เมื่อหลุดวาจาออกไปแล้ว ย่อมไม่อาจรั้งคืน ได้แต่รอรับผลของมัน

            “ก็จริง...” เสียงไลลากังวานก้อง “ถ้าฆ่าพวกเธอ ภารกิจของบรรพชนแม่มดก็จะไม่มีวันเป็นจริง แต่...ฉันไม่เคยคิดว่าภารกิจนั้นจะเป็นไปได้อยู่แล้ว”

            ขาดคำ แทนประกาศิตสั่งตาย หมากไม่มีเวลาแม้แต่จะขยับตัว ไวรัสนางพญาก็พุ่งตรงมาหา เร็วกว่ากะพริบตา

            “เขาพูดถูกนะไลลา...” เสียงเรียบๆ ดังมาจากชายตรงหน้าประตู

            ไวรัสนางพญาชะงักงัน ห่างจากหมากไม่ถึงคืบ

            โดยไม่จำเป็นต้องหันไปมอง ไลลาก็รู้ว่ายังเหลือแค่คนเดียวที่ฝ่าด่านปิศาจ และสามารถหยุดไวรัสนางพญาได้อย่างรวดเร็วโดยเธอไม่ทันรู้ตัว

            “ฮัน...เตอร์...” ไลลาเรียกเสียงเนิบช้า ชัดเจน

            ชายตรงหน้าประตูมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเรียบ ไร้ความรู้สึก จอนผมหงอกขาว ดวงตาเร้นลึกคล้ายห้วงน้ำยากหยั่งถึง

            ...นี่เป็นครั้งแรกที่หมากได้พบ ฮันเตอร์ คิม อาจารย์ของทรงกลด ตัวเป็นๆ

            “จำได้มั้ย...ว่าเธอเป็นลูกศิษย์ฉัน และคนเป็นลูกศิษย์ ไม่มีสิทธิ์ขัดขวาง คัดค้านการกระทำของอาจารย์”

            ไลลาพูดโดยไม่หน้ากลับไปมอง

            “ฉันไม่ได้ขัดขวางเธอ ไม่เคยคัดค้านการกระทำ การตัดสินใจใดๆ แล้วก็ไม่ได้ช่วยทรงกลดทำลายล้างไวรัสนางพญา ฉันแค่ยืนดูสองฝ่ายอยู่เฉยๆ แต่ครั้งนี้ ฉันเห็นด้วยกับคุณหมอคนนี้ ก็เลยอยากบอกกับเธอเท่านั้น”

            ฮันเตอร์ คิม พูดด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึก เหมือนเป็นการบอกกล่าวอย่างไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย

            “เห็นด้วย...ที่ไม่อยากให้ฉันฆ่าผู้บริสุทธิ์งั้นหรือ” คำถามแกมเยาะหยัน

            “เห็นด้วย...ที่ไม่ต้องการให้ภารกิจบรรพชนแม่มด กลายเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้...ตลอดชีวิตของเธอ”

            คำพูดเรียบลึกของ ฮันเตอร์ คิม ทำให้ทั้งห้องนิ่งงัน

            “ถ้าฉันจะฆ่าพวกเขาเดี๋ยวนี้?” คำถามซ่อนนัยสำคัญ

            “ฉันเป็นลูกศิษย์ ขัดขวางเธอไม่ได้อยู่แล้ว” คำตอบแฝงความขมขื่นในใจ

            ความเงียบงันปกคลุมทั่วห้อง ฮันเตอร์ คิม ไม่พูดอะไรอีก ไลลาก็ไม่เอ่ยปากถามย้ำ ไวรัสนางพญาอยู่ตรงหน้า หมากยิ่งไม่กล้าขยับตัวเคลื่อนไหว

            บรรยากาศกดดันดำเนินชั่วครู่ ก่อนเกิดเหตุพลิกผัน

            โครม!

            เสียงดังเกิดจากร่างของเอื้อกานต์กระเด็นไปกระแทกกับชั้นวางของที่อยู่ใกล้

            หมากหันขวับ เห็นใบหน้าหญิงสาวเผือดซีด ท่าทางจุกเสียด เจ็บปวด ส่วนทรงกลดกระดอนไปอีกทาง ใบหน้าเริ่มเป็นสีดำทะมึนน่ากลัว

            คุณหมอหนุ่มรีบเข้าไปประคองหญิงสาว ไม่สนใจไวรัสนางพญา และไลลาที่อยู่เบื้องหลัง

            “หมอเอื้อ...เป็นยังไงบ้าง” เขาร้องเรียก ปลุกสติเธอ

            เอื้อกานต์หายใจขัด ใบหน้าเผือด ขาวโพลน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดบนหน้าผาก ลืมตายากเย็น ส่งเสียงอย่างลำบาก

            “หมอ...ช่วยพี่กลดด้วย...อย่าให้เขาเป็นอะไรไป”

            หมากเจ็บแปลบในใจ สะอื้นในอก สภาพเอื้อกานต์ตอนนี้น่าเป็นห่วงขนาดไหน เจ้าตัวไม่ห่วงตัวเอง กลับบอกให้เขาไปช่วยทรงกลดแทน

            ขณะหมากละล้าละลัง ทำตัวไม่ถูก ใจหนึ่งอยากช่วยเอื้อกานต์ อีกใจก็รู้ว่าทรงกลดอาการหนักกว่า อาจเสียชีวิตได้ทุกเวลา เสียงไลลาก็ดังจากเบื้องหลัง

            “คิดว่าพิษของไวรัสนางพญาจะถอนง่ายๆ เหมือนเศษอาคมที่ติดอยู่กับไวรัสฆ่าคนชั่วอย่างนั้นหรือ”

            คำพูดแฝงรอยเย้ยหยันชัดเจน

            “ที่เจ้าหนุ่มนั่นอยู่รอดถึงตอนนี้ได้ ก็เพราะอาคมเจ้าตัวยังเหลือประคองลมหายใจไว้ พอคุณหมอคนเก่งตั้งใจใช้พลังของตัวเอง หวังจะถอนพิษของไวรัสนางพญา ผลมันก็เลยกลายเป็นว่า นอกจากถอนพิษไม่สำเร็จ ตัวเองยังติดเชื้อเข้าไปด้วย แถมโดนเกราะอาคมของเจ้าหนุ่มนั่นกระแทกออกมา ทำให้อาคมคุ้มตัวของเขาอ่อนแรงลงไปอีก ...สงสัยจริงว่าแบบนี้เขาจะหายใจได้อีกสักกี่ครั้งเชียว”

            หมากกัดฟันเงยหน้ามองไลลา แววตาเจ็บปวดฉายชัดอย่างไม่คิดจะปิดปัง อีกฝ่ายมีแค่รอยยิ้มสาสมใจ ส่วนไวรัสนางพญาตัวสุดท้าย ลอยกลับไปเคียงข้างผู้เป็นนายแล้ว

            “ก็ดี...ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย แค่ปล่อยให้พวกแกอยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้...จนกว่าการปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สามจะผ่านไปก็แล้วกัน หวังว่าตอนนั้นคงจะยังมีชีวิตอยู่นะ”

            ไลลายิ้มหยัน

            “แต่ถ้าไม่รอด...ก็ถือว่าตายกันเอง ฉันไม่เกี่ยว...ไม่ได้ฆ่าคนบริสุทธิ์”

            พูดจบก็เชิดหน้าขึ้น ออกคำสั่งลอยๆ

            “ฮันเตอร์...ฉันขอสั่งเธอ ห้ามช่วยคนพวกนี้ในทุกกรณี” วาจาเด็ดขาด

            “รับคำสั่ง” คำตอบราบเรียบ...จนกระทั่งถึงคำท้าย “ครับ...อาจารย์”

            ทั้งที่สองคนไม่หันหน้ามองกัน แววตา ฮันเตอร์ คิม กับไลลา ก็ยังฉายแววเจ็บปวดขึ้นมาชั่วขณะ เหมือนหนึ่งร่วมความรู้สึกปวดร้าวไม่ต่างกัน



               ประตูปิดสนิท ม่านอาคมกางกั้น เหล่าภูตผีถูกสั่งให้ห้อมล้อม ควบคุมแน่นหนา เรียกว่าต้องให้ทรงกลดหายดี ฟื้นคืนกำลังมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงจะพาพวกเขาหนีออกไปได้

            การปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สามจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อย่าเพิ่งหวังให้พวกเขาสามารถออกจากที่คุมขังไปขัดขวางได้เลย

            เวลานี้ แม้แต่จะรักษาชีวิตให้ถึงวันนั้นยังแสนยากเย็น ไลลาไม่ได้ฆ่า แต่ใช้วิธีกักขังให้อยู่ในบริเวณจำกัด ไม่อาจขอความช่วยเหลือจากใครได้...เช่นนั้น ต่างอะไรกับการปล่อยให้ตายอยู่ดี







ตอนที่ ๒๓



               ระหว่างหมากเจรจา ต่อรอง หลอกล่อไลลาเพื่อหาทางรอด ซื้อเวลาแก่เอื้อกานต์ ทรงกลด

            คุณหมอสาวก็พยายามตั้งสติ รวบรวมสมาธิ พยายามรักษาชายคนรักเต็มที่

            สภาพทรงกลดเวลานี้แทบไม่ต่างจากคนตาย เหลือลมหายใจบางเบา แผ่วช้า อุณหภูมิลดต่ำ ร่างกายเย็นเฉียบ นัยน์ตาปิดสนิท ใบหน้าเป็นสีขาวเผือดอมเทา เงามรณะทาทาบทีละน้อย

            เอื้อกานต์ไม่สนใจเสียงพูดคุย ไม่สนใจไลลา วางใจเสมือนอยู่ตามลำพังกับทรงกลด ในสถานที่โล่งกว้าง ห่างไกลผู้คน บนเนินหินยอดเขาสูง มีสายลมพัดอ่อนโยน จิตใจบังเกิดความสุข ตั้งมั่นเป็นสมาธิ

            ปลายนิ้วยังไม่ห่างจากข้อมือชายหนุ่ม สัมผัสที่ได้รับนอกจากความเยียบเย็น ยังมีจังหวะกระตุกของชีพจรนานๆ ครั้ง

            หญิงสาวหลับตา ใช้สัมผัสทางใจเข้าไปตรวจดูภายในร่างกายชายตรงหน้า ปลดปล่อยความคุ้นเคยผูกพันออกไป เห็นเขาเป็นเพียงคนป่วยรายหนึ่งซึ่งตนกำลังทำการตรวจรักษา

            จิตเป็นกลาง เห็นร่างนั้นไม่ต่างจากท่อนไม้ ด้านในกลวง กำหนดนิมิตภาพเส้นเลือด เส้นประสาท อวัยวะต่างๆ รับรู้ด้วยใจอย่างชัดเจนว่า เส้นเลือดของเขาตีบตันหลายจุด เส้นประสาทถูกจับเกาะด้วยเชื้อโรคร้ายบางอย่าง อวัยวะภายในถูกทำลายยากจะเยียวยา

            ด้วยความที่จิตยังตั้งมั่น เป็นกลาง จึงไม่หวั่นไหวต่อสภาพที่เห็น ใจเพียงกำหนดนึก หาวิธีช่วยเหลือ รักษาเขาอย่างเหมาะสม ปลอดภัย

            กระแสพลังอันอบอุ่น พุ่งเป็นเส้นสีขาวผ่านปลายนิ้ว แทรกเข้าไปทางข้อมือ แล้วพุ่งตรง ชอนไช ขยายเส้นเลือดที่ตีบตันให้คลี่คลาย ช่วยให้ร่างกายสามารถดำรงสภาพต่อไปได้

            พลังสีขาวแทรกผ่านเส้นเลือด ตรงเข้าสู่หัวใจ รับรู้อาการบาดเจ็บ อ่อนล้า ที่ทำให้มันไม่อาจทำงานเต็มกำลัง จิตถ่ายทอดความเข้มข้น แล้วเข้าชาร์ต กระตุ้นหัวใจให้มันทำงาน สูบฉีดเลือดคล่องตัวขึ้น

            ตุบ...ตุบ...หัวใจเต้นจังหวะถี่กว่าเดิม แต่กระนั้นก็ยังยากจะวางใจ เอื้อกานต์รู้สึกว่าร่างกายเขามีพลังงานบางอย่างแอบแฝง มันเหมือนโครงตาข่ายค้ำยันเอาไว้ ไม่ให้เสียชีวิตทันที

            โครงตาข่ายนั้น หากอธิบายด้วยถ้อยคำง่ายๆ น่าจะเป็นเกราะอาคมอันกล้าแข็ง ดูเหมือนจะมีประโยชน์ ช่วยรักษาชีวิตทรงกลด แต่สัมผัสในใจเอื้อกานต์บอกว่า เกราะอาคมนี้นอกจากค้ำยันชีวิตแล้ว มันยังควบคุมเขาด้วย

            ไม่ใช่ควบคุมแค่ร่างกาย กระทั่งจิตใจก็ยังถูกมันครอบครอง

            เอื้อกานต์เห็นนิมิตแปลกๆ ผ่านวูบเข้ามาในหัว เกิดความเข้าใจขึ้นมาเองว่า หากปล่อยให้เจ้าเกราะอาคมนี้ควบคุมทรงกลดอย่างสมบูรณ์ ต่อให้เธอเยียวยารักษาเขาจนหายบาดเจ็บ ทรงกลดจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาจะกลายเป็นอะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

            ‘อสูร’ คำนี้วูบเข้ามาในใจ

            หญิงสาววิตก บังเกิดความหนักใจ เลือกไม่ถูกว่าควรถอนเกราะอาคมเขาออกมา หรือเร่งรักษาอาการบาดเจ็บ ช่วยชีวิตเขาก่อน

            ถ้าถอนเกราะอาคม ร่างกายเขาจะไม่มีพลังงานกล้าแข็งค้ำยัน อาจเสียชีวิตทันที แต่ถ้าช่วยเยียวอาการบาดเจ็บจนร่างกายทุเลาลง อำนาจอาคมในตัวจะยิ่งผยอง กล้าแข็ง ยึดครองควบคุม ใช้งานร่างเขาเต็มที่ ถึงตอนนั้น เธอก็หมดปัญญาถอนเกราะอาคมแล้ว

            ความลังเลเกิดขึ้นชั่วไม่กี่วินาที ก่อนเหตุผลจะมีน้ำหนักขึ้นในใจ

            เธอต้องถอนเกราะอาคมก่อน แล้วค่อยชาร์ตพลัง รักษาเขาทีหลัง เพราะถ้ายังมีพลังงานดำมืดน่ากลัวนั่นเป็นโครงตาข่าย รอครอบงำเขาอยู่เช่นนี้ แค่ร่างกายเขามีกำลังเพิ่มสักนิด เธอจะไม่มีทางถอนพลังร้ายนั้นได้อีกเลย

            ถึงต้องเสี่ยงกับชีวิตเขาก็ยอม!

            เอื้อกานต์วางมือจากการเยียวยาร่างกาย ส่งพลังของตนเข้าไปยังพลังมืดดำที่ค้ำยันชีวิตทรงกลด ช่วงเวลานี้ กำลังของมันยังอ่อนด้อย เหมาะที่จะเร่งถอนมันออกมา

            กระแสพลังสีขาวสะอาดของเอื้อกานต์แผ่เข้าครอบคลุมพลังมืดที่คุ้มกันเป็นเกราะอาคมให้ทรงกลด พยายามขจัดมันออกด้วยจิตใจตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว

            หญิงสาวไม่รู้เบื้องหลังของอาการทรงกลดเลยว่า พลังมืดดำที่เป็นเกราะอาคมคุ้มร่างเขานั้นเกิดจากอาคมขั้นสูงสุดที่ทำให้กลายเป็นอสูรทรงกลด

            ตอนเอาชนะไวรัสนางพญาทั้งห้าตัว เขาสามารถดึงพลังงานร้ายออกจากตัวได้อย่างรวดเร็ว มันจึงไม่ทันควบคุมจิตใจเขาได้เต็มร้อย พอไวรัสนางพญาตัวที่หกปรากฏ เขาต้องเร่งดึงพลังอาคมสูงสุดกลับมา เพื่อสยบทำลายมันอย่างรวดเร็ว

            ผลการปะทะ ต่อให้เขาเอาชนะ ทำลายมันราบคาบ ร่างกายก็แทบหมดสภาพ จิตใจถูกอาคมควบคุม ถึงเป็นแค่อาคมขั้นสูงสุดแบบอ่อนกำลังเต็มที แต่มันก็สามารถยึดสติ จิตใจเขาเรียบร้อยแล้ว

            พอโดนไวรัสนางพญาตัวที่เจ็ดจู่โจม ทำร้าย อสูรทรงกลดที่หมดกำลังจึงทำได้เพียงต้านรับอย่างพ่ายแพ้ ร่างกายบอบช้ำเกินเยียวยา สติ สมาธิดับวูบ หมดความรู้สึกตัว พลังมืดแห่งอาคมขั้นสูงจึงเข้าทำหน้าที่สร้างเกราะคุ้มกันตัวเองโดยอัตโนมัติ

            หากไม่มีใครพบเห็น ช่วยเหลือ ทรงกลดอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งวัน จากนั้นก็จะเสียชีวิต อาคมสูญสลาย

            ถ้ามีผู้มารักษา เยียวยาร่างกาย อสูรทรงกลดจะคืนชีพ กลายเป็นภัยร้าย

            การทำลายเกราะอาคมก่อนรักษาชีวิต อาจเป็นวิธีที่เกิดประโยชน์มากสุด แต่มันก็เสี่ยงต่อชีวิตทรงกลดและชีวิตของคนที่มารักษาเขามากที่สุดเช่นกัน

            เอื้อกานต์เลือกเส้นทางยากที่สุดโดยไม่รู้รายละเอียดความนัย เธอแค่ใช้ใจ ใช้สัมผัสพิเศษเข้าไตร่ตรอง เห็นว่าเส้นทางใดเหมาะสม เกิดประโยชน์กว่า ก็เลือกเส้นทางนั้น

            ยามนี้ พลังสีขาวของเอื้อกานต์เข้าครอบคลุม เกาะกุมเกราะอาคม พลังสีดำ จนหมด จากนั้นจึงพยายามขจัด ทำลายมันอย่างใจเย็น ระมัดระวัง

            ทว่า...อาคมนั้นเป็นสุดยอดพลังร้ายที่เหนือกว่าไวรัสนางพญา ต่อให้มันอ่อนเปลี้ย ถดถอยแรงแค่ไหน ก็ใช่ว่าใครจะมาขจัด ขับไล่ได้ง่ายๆ

            เกราะอาคมจากพลังมืดขั้นสูงจึงบังเกิดแรงสะท้อน ต่อต้านพลังเอื้อกานต์เต็มกำลัง ผลคือร่างเอื้อกานต์กระเด็นออกไปกระแทกชั้นวางของ พร้อมรับพิษบางส่วนจากไวรัสนางพญา ส่วนทรงกลดกระดอนไปฟุบกองอยู่อีกด้านหนึ่ง

            หมากเข้าไปประคองช่วยเหลือหญิงสาว พยายามระงับจิตใจไม่ให้ตื่นเต้นกระวนกระวาย เอื้อกานต์ยังมีสติหลงเหลือ ทำได้เพียงพยายามพูดจา ขอร้องคุณหมอหนุ่ม ให้สานงานต่อ ช่วยชีวิตทรงกลดอีกแรง

            “หมอ...ช่วยพี่กลดด้วย...อย่าให้เขาเป็นอะไรไป”

            หญิงสาวหมดสติไปชั่ววูบ โดยไม่อาจรู้ว่า สิ่งที่ขอร้อง สร้างความแสลงใจแก่คนฟังแค่ไหน อีกทั้งไม่รู้เลยว่า พวกตนอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย วิกฤติ น่าเป็นห่วงเพียงใด



               ไลลายืนอยู่กลางห้องพัก สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ ฮันเตอร์ คิม ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลัง ห่างเพียงสามก้าว แต่เป็นสามก้าวที่แสนไกล...ยิ่งกว่าสวรรค์กับโลก

            “ขอบคุณ...ที่ยังให้โอกาสพวกเขา” ฮันเตอร์ คิมพูด

            “คิดว่าฉันไม่รู้หรือว่าเธอรักลูกศิษย์ของเธอขนาดไหน” ไลลาพูดแกมเยาะ ไม่หันมามองหน้า “ฉันต้องยอมรับว่าเธอสอนลูกศิษย์ได้ยอดเยี่ยม ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครในโลกทำลายไวรัสนางพญาทั้งหกตัวได้เร็วขนาดนั้น”

            “เขาเป็นความภูมิใจของผม” เป็นคำพูดที่ทรงกลดไม่มีวันได้ยินจากปากคนเป็นอาจารย์

            ไลลานิ่งอั้น ขบริมฝีปากแน่น มีคำพูดมากมายอยากต่อว่าต่อขาน มีวาจาเจ็บแสบนานาอยากพูดออกไปเพื่อทำร้ายอีกฝ่าย แต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วขณะ ก่อนจะหายสูญ บังเกิดความเหนื่อยหน่าย อ่อนล้า อย่างประหลาด

            “พวกเราอายุไม่ใช่น้อยแล้ว” ฮันเตอร์ คิม เริ่มต้น “ความภูมิใจของคนวัยเราก็น่าจะอยู่ที่การสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมาทดแทนพวกเราไม่ใช่หรือ”

            “ต่อให้ฉันอยู่ถึงร้อยปี ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่” ไลลาโต้กลับ “ตราบใดที่ภารกิจบรรพชนแม่มดยังไม่อาจทำให้สำเร็จได้ ฉันก็จะยังอยู่ต่อไป ทำมันต่อไป”

            “เพื่อประโยชน์อะไร?” ฮันเตอร์ คิมถาม “ผ่านมากว่าสามสิบปี...เธอยังเห็นความรักเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตอีกหรือ”

            คำพูดจากชายวัยเลขหก จอนผมหงอกขาว ทำให้อีกฝ่ายนิ่ง ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ

            จริงอยู่...สิบปีแรกแห่งการจากพราก ไม่เห็นหน้า ไม่กล้าพบเจอ เป็นความทุกข์ทรมานอย่างมหันต์ เป็นความคลุ้มคลั่ง บ้าบอ สุดที่คนธรรมดาทั่วไปจะทนได้

            สิบปีต่อมา ความคลุ้มคลั่ง โหยหา ก็เปลี่ยนเป็นความคับแค้น เกลียดชัง อยากทำลายโลก อยากให้คนอื่นรับรู้ความเจ็บปวดอย่างตนเองบ้าง

            จนกระทั่งสิบปีหลังจากนั้น ใจมีเพียงความชืดชา ความรักอันรุนแรงในหัวใจกลายเป็นภาพเก่าที่อยู่ไกลลิบๆ

            มันยังไม่หายไปไหนก็จริง แต่ไม่มีอิทธิพลหรืออำนาจรุนแรงมากพอที่จะทำให้เธอคลุ้มคลั่งเหมือนเมื่อวัยสาวได้อีก

            ถ้าเช่นนั้น...การทำภารกิจบรรพชนแม่มด ก็เป็นแค่ข้ออ้าง ให้เธอรู้สึกว่ายังดำเนินชีวิตอย่างมีจุดหมาย มีความสมหวังในรักและการครองคู่เป็นจุดหมายปลายทาง

            ในวัยที่อายุเกินครึ่งศตวรรษด้วยกันเช่นนี้...ไลลายังคิดว่าการได้ครองคู่กับชายที่ตนรักเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตแน่หรือ?

            ไลลารู้...ฮันเตอร์ คิม เข้าใจ...มันไม่ใช่!

            แล้วอย่างนั้น การปล่อยไวรัสอาคมมีจุดมุ่งหมายแท้จริงอย่างไร?

            “ความรักมันไม่เรื่องสำคัญในตอนนี้ก็จริง แต่คนอย่างฉัน ตั้งใจทำอะไรแล้วจะไม่ยอมทำครึ่งๆ กลางๆ เด็ดขาด” น้ำเสียงไลลาบอกให้รู้ พูดด้วยความดื้อดึง

            “ผมขอบคุณ...ในเจตนาดี” ฮันเตอร์ คิม พูด

            ไลลานิ่ง ไม่คิดซักถาม ขอบคุณเพื่ออะไร? ทั้งไม่คิดเอ่ยปาก คัดค้านคำขอบคุณนั้น เธอรู้ความหมายของมันดี เพียงแต่ไม่ต้องการกล่าววาจาใดๆ เพื่อปกป้อง หลีกเลี่ยงการแสดงเจตนาแท้จริงในใจ

            “คุณรู้เจตนาการปล่อยไวรัสอาคมของฉันหรือ” คำพูดเหมือนพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

            “เพราะรู้...ผมถึงไม่เคยกล้าออกปาก คัดค้านคุณ” ฮันเตอร์ คิม บอก ก่อนนิ่งชั่วขณะ แววตาลึกล้ำ ฉายอารมณ์ที่ยังร้อนแรงภายใน

            “ขอบคุณ...ที่ใช้ไวรัสอาคมเพื่อติดตามค้นหาอาจารย์ตูมินแทนผม!”

            สีหน้าแววตาไลลาไม่เปลี่ยน เธอไม่เคยบอกเจตนาแท้จริงของตนกับใคร แต่ก็ไม่แปลกใจหากชายคนนี้จะล่วงรู้ เข้าใจความรู้สึกของเธอ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP