จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
Let it be ปล่อยมันไป
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
เมื่อไม่นานมานี้ ผมติดปัญหางานโครงการสำคัญที่ทำงานอยู่งานหนึ่ง
ซึ่งเป็นงานโครงการที่ยากมาก และมีอุปสรรคปัญหาหลายประการ
แถมในการทำงานยังได้รับคำตำหนิจากฝ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
โดยระหว่างอยู่ที่ทำงานนั้น ผมก็พยายามคิดหาทางออก หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
น้องคนหนึ่งเห็นว่าผมกังวลและครุ่นคิดเรื่องงานดังกล่าว
จึงได้ให้คำแนะนำเรื่องหนึ่งว่า ไม่ควรไปเคร่งเครียดกับงานและคำตำหนิเหล่านั้น
แต่ควร “Let it be” คือปล่อยมันไป
โดยเราก็อาจนึกเพลงภาษาอังกฤษชื่อ “Let it be” ก็ได้นะครับ
ซึ่งหากแปลเป็นไทยก็อาจแปลได้ว่า ปล่อยมันไป หรือปล่อยให้มันเป็นไป
ในชีวิตคนเราก็ย่อมจะประสบปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเป็นธรรมดา
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว ปัญหาครอบครัว หรือปัญหาหน้าที่การงาน ฯลฯ ก็ตาม
ซึ่งแต่ละท่านก็ย่อมจะเลือกแนวทางหรือวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะกับตนเอง
บางท่านอาจจะเลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการ Let it be ปล่อยมันไป
คือไม่ให้ความสำคัญกับปัญหา ไม่สนใจปัญหา และไม่ไปคิดถึงปัญหานั้น
ซึ่งในอดีตนั้น ผมก็เคยใช้วิธีการนี้กับปัญหาบางเรื่องเหมือนกัน
แต่ในปัจจุบันนี้ก็เห็นว่าวิธีการนี้ยังไม่ใช่วิธีการที่ดีพอในการแก้ไขปัญหาชีวิต
ในเวลาที่เราประสบปัญหาชีวิตในเรื่องใด ๆ ก็ตาม
เราควรจะแยกวิธีการรับมือปัญหานั้นออกเป็น ๒ ส่วน กล่าวคือ
ส่วนของการแก้ไขปัญหาชีวิตนั้น และส่วนของจิตใจเรา
ในส่วนแรกที่เป็นส่วนของการแก้ไขปัญหาชีวิตนั้น
เราก็พึงพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามหน้าที่ตามกำลังและสติปัญญา
หากเราปล่อยปละละเลย หรือไม่ได้พยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่แล้ว
ก็ย่อมจะถือได้ว่าเราไม่รับผิดชอบหน้าที่ของเราสำหรับเรื่องนั้น ๆ ให้ดี
ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีปัญหาเรื่องงานที่ยังทำได้ไม่ดี และได้รับคำตำหนิมา
เราก็พึงพยายามแก้ไขปัญหา และพิจารณาว่าจะปรับปรุงตรงไหนให้ดีขึ้นได้อีก
โดยเราก็ต้องให้ความสนใจ และทุ่มเทตั้งใจทำงานในหน้าที่ให้เต็มที่
แต่หากเราบอกว่า Let it be ปล่อยมันไป เราอย่าไปให้ความสำคัญกับมันเลย
ย่อมเท่ากับว่าเราหนีปัญหา เราไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่ของเราให้ดี
ปัญหาในงานของเรามีอยู่ อุปสรรคในงานของเรามีอยู่ หน้าที่ของเราก็มี
เราไม่ได้มุ่งพยายามที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเหล่านั้นตามหน้าที่
แต่เรากลับเลือกที่จะ Let it be ปล่อยปัญหาให้ดำเนินไปเรื่อยอย่างนั้น
คำสอนในพุทธศาสนาเน้นเรื่องเหตุปัจจัยและผลนะครับ
ในเมื่อเราสร้างเหตุปัจจัยที่จะปล่อยให้ปัญหาคงอยู่อย่างนั้น
ผลที่เราจะได้รับก็คือปัญหาชีวิตในเรื่องนั้น ๆ ไม่ได้รับการแก้ไข
แล้วเราก็จะอยู่ในวังวนแห่งปัญหาชีวิตเรื่องนั้น ๆ เรื่อยไป
หากเรานำวิธีการ Let it be ปล่อยมันไปนี้ ไปใช้กับปัญหาชีวิตทุกเรื่อง
ปัญหาชีวิตทุกเรื่องก็จะวนเวียนอยู่ไปเรื่อย เพราะเหตุปัจจัยเป็นเช่นนั้น
ในทางกลับกัน หากเราพยายามรับผิดชอบหน้าที่ของเราให้ดี
เราพยายามแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้วยสติปัญญา และความพยายาม
ปัญหาบางอย่างเราอาจจะแก้ไขมันไม่ได้
แต่ก็มีปัญหาหลายอย่างที่เราสามารถแก้ไขได้ หรือบรรเทาปัญหาลง
ซึ่งในเมื่อเราสร้างเหตุปัจจัยที่จะช่วยให้ปัญหาเบาบางลงหรือยุติไปแล้ว
ผลที่เราจะได้รับก็คือปัญหาชีวิตในเรื่องนั้น ๆ บรรเทาเบาบางลง หรือยุติไป
และเราไม่ได้วนเวียนอยู่ในปัญหาชีวิตเรื่องนั้น ๆ เพราะเหตุปัจจัยเป็นเช่นนั้น
ในส่วนที่สองซึ่งเป็นส่วนของจิตใจเรา
หากมีเรื่องปัญหาใด ๆ ที่มากระทบใจเรา แล้วเราก็ Let it be ปล่อยมันไป
การที่ “ปล่อยมันไป” ในที่นี้ เป็นการปัดเรื่องทิ้งจากใจ หรือทำใจให้ไม่ไปคิดถึงปัญหา
เพราะเหตุที่ว่าปัญหาเรื่องนั้นเป็นเรื่องไม่น่าพอใจ
แต่หากว่าเรื่องใด ๆ ที่มากระทบใจนั้นเป็นเรื่องที่น่าพอใจแล้ว
ใจเรากลับจะไม่ปล่อยมันไป แต่กลับพึงพอใจที่จะยึดถือเรื่องนั้นไว้ในใจ
นั่นก็หมายถึงว่าใจเราเลือกที่จะหนีความทุกข์ และยึดความสุขเอาไว้
การปัดเรื่องที่ไม่น่าพอใจทิ้งในลักษณะนี้ก็อาจจะกระทำโดย
พาใจไปฟุ้งซ่านกับเรื่องอื่นที่น่าพอใจ เพื่อให้ลืมเรื่องไม่น่าพอใจนั้น
อันเป็นเรื่องของการฟุ้งซ่านหรือหลงไปในเรื่องอื่น ซึ่งก็เป็นวิธีการหนึ่ง
หรืออาจจะพาใจไปสนใจเพ่งในสิ่งอื่น หรือพาใจไปเพ่งอยู่กับความว่าง
อันเป็นเรื่องของการทำสมถะก็ได้ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นนักภาวนาเจริญสติแล้ว เมื่อมีเรื่องที่ไม่น่าพอใจมากระทบใจแล้ว
เราจะไม่หนีความทุกข์ด้วยการปัดเรื่องที่ไม่น่าพอใจดังกล่าวทิ้งไปจากใจ
อันจะเป็นการแทรกแซงจิตใจเราเอง
แต่เราจะเผชิญและเรียนรู้ความจริงของรูปนาม
ด้วยการมีสติรู้สภาวะที่เกิดขึ้นในใจไปตามจริง
ซึ่งเราก็จะได้เห็นความเป็นจริงของสังขาร และเวทนาที่เกิดขึ้นในใจว่า
ทั้งสังขาร (ความปรุงแต่ง) และเวทนา (ความสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์)
ที่เกิดขึ้นในจิตใจเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นไตรลักษณ์
คืออนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (ทนอยู่ไม่ได้) และอนัตตา (เป็นไปตามเหตุปัจจัย)
แม้กระทั่งวิญญาณหรือจิตที่รับรู้สังขาร และเวทนาดังกล่าวก็เป็นไตรลักษณ์
ซึ่งเมื่อจิตใจเห็นและยอมรับความจริงของขันธ์เหล่านี้แล้ว
จิตใจก็จะย่อมเกิดปัญญาในทางธรรม เห็นความไร้สาระของสิ่งเหล่านี้
ซึ่งก็ย่อมจะเป็นหนทางที่จะนำพาเราไปสู่ความพ้นทุกข์สิ้นเชิงในที่สุด
แต่หากเรามัวแต่หนีความทุกข์ด้วยการปัดเรื่องที่ไม่น่าพอใจทิ้งไปจากใจแล้ว
ย่อมไม่ใช่หนทางที่จะช่วยให้จิตใจได้เรียนรู้ความจริงของรูปนาม
และย่อมไม่ได้ช่วยให้จิตใจเราเกิดปัญญาใด ๆ
นอกจากนี้ ถามว่าปัดเรื่องที่ไม่น่าพอใจทิ้งไปเรื่อย ๆ แล้ว เราพ้นทุกข์จริงหรือเปล่า
ตอบว่า เราก็ไม่ได้พ้นทุกข์จริง
เพราะว่าใจเราหนีความทุกข์เรื่องนี้ เดี๋ยวใจเราก็ต้องไปเจอความทุกข์เรื่องอื่น
เพราะว่าใจเราเป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามที่เราสั่ง
ถ้าเหตุปัจจัยที่จะนำพาให้ใจไปประสบเรื่องไม่น่าพอใจยังมีอยู่
ผลก็คือใจก็ย่อมจะไปประสบเรื่องที่ไม่น่าพอใจอย่างนั้นตามเหตุปัจจัย
ถ้าหากเราเชื่อว่า ใจเราเป็นไปตามที่เราสั่งได้จริง
เราก็สั่งใจเราเสียเลยสิว่า ให้ใจคิดแต่เรื่องมีความสุขตลอดชีวิต
อย่าให้ใจคิดเรื่องไม่น่าพอใจ หรือเรื่องทุกข์ใจใด ๆ เลย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราสั่งใจเราไม่ได้ ใจถึงได้ไหลไปคิดเรื่องไม่น่าพอใจ
ฉะนั้นแล้ว การที่หนีความทุกข์ด้วยการปัดเรื่องที่ไม่น่าพอใจทิ้งไปจากใจนี้
ยังไม่ใช่วิธีการที่ดีพอในการรับมือกับเรื่องปัญหาชีวิตที่มากระทบจิตใจเรา
ในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งได้สอนว่า สำหรับคนที่ภาวนาไม่เป็นแล้ว
ผัสสะที่รุนแรงนั้น นำความทุกข์ และนำความบีบคั้นที่รุนแรงมาให้
(ซึ่งเป็นเหตุว่า ทำไมบางคนจึงต้องหนีผัสสะรุนแรงนั้นด้วยการปัดทิ้ง)
แต่สำหรับคนที่ภาวนาเป็นแล้ว ผัสสะที่รุนแรงนั้นแหละ คือครูสอนธรรมะที่ดีที่สุด
โดยสรุปแล้ว ในเวลาที่เราประสบปัญหาชีวิตในเรื่องใด ๆ ก็ตาม
ในส่วนของการแก้ไขปัญหาชีวิตนั้น เราควรพยายามแก้ไขปัญหาตามหน้าที่ของเรา
ในส่วนของจิตใจเรา เราพึงมีสติเรียนรู้สังขาร และเวทนาที่เกิดขึ้นในใจไปตามจริง
ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่าการหนีปัญหาหรือหนีความทุกข์
ด้วยการ Let it be ปล่อยมันไป หรือพยายามปัดสิ่งเหล่านั้นออกไปนะครับ
ทั้งนี้ สังขาร และเวทนาที่เกิดขึ้นในใจเรานั้น แม้ว่าเราจะไม่ปัดมันออกไปก็ตาม
มันก็เกิดขึ้น และก็ดับไปตามเหตุปัจจัย โดยสภาพของตัวมันเองอยู่แล้ว
< Prev | Next > |
---|