ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

ปริพาชกสูตร ว่าด้วยธรรมคุณ


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๔๙๔] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ปริพาชกคนหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าเฝ้าแล้ว ได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว
พราหมณ์ปริพาชกนั้นนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว
ได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระองค์ย่อมตรัสว่า ธรรมอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ธรรมอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ดังนี้
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
ธรรมจึงเป็นธรรม อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า พราหมณ์ บุคคลมีราคะ ถูกราคะครอบงำ
มีจิตถูกราคะยึดครองแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง
ย่อมได้รับทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละราคะได้แล้ว
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้ง ๒ ฝ่าย
ย่อมไม่ได้รับทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต
พราหมณ์ บุคคลมีราคะ ถูกราคะครอบงำ มีจิตถูกราคะยึดครองแล้ว
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ
เมื่อละราคะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ
ราหมณ์ บุคคลมีราคะ ถูกราคะครอบงำ มีจิตถูกราคะยึดครองแล้ว
ม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
เมื่อละราคะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
พราหมณ์ แม้อย่างนี้แล ธรรมย่อมเป็นธรรม อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.


พราหมณ์ บุคคลมีโทสะ ถูกโทสะครอบงำ
มีจิตถูกโทสะยึดครองแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง
ย่อมได้รับทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละโทสะได้แล้ว
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้ง ๒ ฝ่าย
ย่อมไม่ได้รับทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต
พราหมณ์ บุคคลมีโทสะ ถูกโทสะครอบงำ มีจิตถูกโทสะยึดครองแล้ว
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ
เมื่อละโทสะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ
พราหมณ์ บุคคลมีโทสะ ถูกโทสะครอบงำ มีจิตถูกโทสะยึดครองแล้ว
แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
เมื่อละโทสะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
พราหมณ์ แม้อย่างนี้แล ธรรมย่อมเป็นธรรม อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.


พราหมณ์ บุคคลมีโมหะ ถูกโมหะครอบงำ
มีจิตถูกโมหะยึดครองแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้ง ๒ ฝ่ายบ้าง
ย่อมได้รับทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง เมื่อละโมหะได้แล้ว
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้ง ๒ ฝ่าย
ย่อมไม่ได้รับทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต
พราหมณ์ บุคคลมีโมหะ ถูกโมหะครอบงำ มีจิตถูกโมหะยึดครองแล้ว
ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ย่อมประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมประพฤติทุจริตด้วยใจ
เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยกาย
ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ย่อมไม่ประพฤติทุจริตด้วยใจ
พราหมณ์ บุคคลมีโมหะ ถูกโมหะครอบงำ มีจิตถูกโมหะยึดครองแล้ว
แม้ประโยชน์ของตนก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง
เมื่อละโมหะได้เด็ดขาดแล้ว แม้ประโยชน์ของตนก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ของคนอื่นก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายก็รู้ชัดตามความเป็นจริง
พราหมณ์ แม้อย่างนี้แล ธรรมย่อมเป็นธรรม อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.


พราหมณ์ปริพาชกนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง
หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้
ขอพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.


ปริพาชกสูตร จบ



(ปริพาชกสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๔)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP