วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒๒


cover rabamvej


นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๙



            พอวางสาย เอื้อกานต์ก็ระบายลมหายใจยาว โล่งอก การนัดหมายกับไลลาเป็นไปด้วยดี ถึงไม่รู้จะพูดจาโน้มน้าว เพื่อหยุดยั้งการปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สามอย่างไร อย่างน้อย สิ่งที่ควรได้รับจากการพบปะพูดคุยครั้งนี้ คือรู้เหตุผลของไลลาในการปล่อยไวรัสอาคมให้ได้

            เมื่อรู้สาเหตุต้นตอ ย่อมหาวิธีแก้ไขได้ง่ายกว่าไปรักษาที่ปลายเหตุ

            คุณหมอสาวถอนใจหนักเมื่อนึกถึงการเผชิญหน้ากับไลลาวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างอาจไม่เป็นตามคาดหมาย ข้อมูลที่ได้เกี่ยวกับไลลาชวนให้เกิดความหนักใจ

            ผู้หญิงคนนี้มีอาคมกล้าแข็ง จิตใจแปรเปลี่ยนง่ายดายเกินคาดเดา ฝีมือของเธออยู่ในระดับอาจารย์ใหญ่ของ ‘คิม’ มือสังหารอาคมกล้าสุดร้ายกาจที่เธอกับทีเกื้อเคยเจอ

            ...เอื้อกานต์รู้ข้อมูลนี้ได้อย่างไร?

            เช้ามืด ก่อนเอื้อกานต์มาทำงานวันนี้

            หญิงสาวตื่นนอนเร็วกว่าปกติด้วยรู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่ในคอนโดฯ เพียงคนเดียวเหมือนทุกวัน ความเงียบสงัดก่อนอรุณรุ่งถูกรบกวนด้วยเสียงแกรกกราก

            เอื้อกานต์ขยับตัวดูนาฬิกาข้างเตียง ...เพิ่งตีห้าเศษ เสียงนั้นแว่วๆ ก่อนเงียบหาย สติตื่นตัวเสียแล้ว พยายามเงี่ยหูฟัง หาทิศทางของเสียง

            ช่วงเวลานี้ ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสนิท ไร้การเคลื่อนไหว จิตตั้งมั่นจดจ่อต่อสิ่งแปลกปลอมนั้น จนกระทั่งมีเสียงแว่วมาอีกครั้ง

            หูสัมผัสเสียง จิตเข้าไปกระทบตัวต้นเหตุกำเนิดเสียง ความคุ้นเคย อบอุ่นปรากฏแก่ใจ เอื้อกานต์ระบายยิ้ม ลุกขึ้นนั่ง ตวัดขาลงจากเตียง รีบเปิดประตูออกจากห้อง

            เดินไม่กี่ก้าวก็เห็นประตูห้องนอนทีเกื้อเปิดกว้าง เห็นร่างสูงของเจ้าของห้องที่เดินสะพายกระเป๋า ใบหน้าสดชื่นออกมา

            “ขอโทษทีที่ทำให้ตื่น” ทีเกื้อขอโทษแทนการทักทาย

            “มาตั้งแต่เมื่อไหร่” เอื้อกานต์ถามขณะเข้าใกล้

            “เมื่อคืน” ชายหนุ่มตอบ

            หญิงสาวเงยหน้ามองนายตำรวจหนุ่ม แววตามีคำถามโดยไม่ต้องเอ่ยปากพูด

            “มาทำธุระที่กรุงเทพฯ นิดหน่อย แล้วแวะมาอาบน้ำที่บ้าน เดี๋ยวต้องไปเช็คอิน ขึ้นเครื่องไฟลท์เช้านี้แล้ว” น้องชายตอบคำถามในแววตานั้น

            “ถ้าเอื้อตื่นช้ากว่านี้อีกนิด คงไม่รู้ว่าเกื้อกลับมาใช่มั้ย” คำถามมีแววคาดคั้นแกมประชด

            ทีเกื้ออมยิ้ม รู้ว่าเจตนาแท้จริงของคำพูดอยู่ตรงไหน...เอื้อกานต์อยากรู้ว่าเขามาทำ ‘ธุระ’ อะไร เพียงแต่ไว้ฟอร์มไม่เอ่ยปากถาม

            “เมื่อก่อน เกื้อก็แวะมาอาบน้ำที่บ้าน แล้วรีบออกไปทำงานบ่อยๆ ไม่เห็นเอื้อว่าอะไรนี่” เขาแกล้งพูดไปเรื่องอื่น

            “อ้อ...” เอื้อกานต์ยิ้มเย็นเยียบ นัยน์ตาวาววับ

            “มา...ขอกอดหน่อย ไม่เจอกันตั้งนาน...คิดถึงจัง” ชายหนุ่มเดินมากอดพี่สาวด้วยท่าทางประจบ ให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี

            เอื้อกานต์ยอมให้น้องชายกอดหลวมๆ สักครู่หนึ่ง ก่อนจะง้างหมัด ฮุคขวาเข้าท้องน้อยเขาเต็มแรง

            ...ตุบ...

            ทีเกื้องอตัวรับหมัดโดยไม่หลบ คลายอ้อมกอด ถอยหลังยืนเบ้หน้า อมยิ้มน้อยๆ

            “หมัดหนักชะมัด” บ่นอย่างนั้น หากสีหน้าไม่มีร่องรอยเจ็บปวดสักนิด

            “รู้ใช่มั้ยว่าโดนซัดเพราะอะไร” คนเป็นพี่สาวพูดแกมดุ

            “เกื้อขอโทษ...” พูดอย่างคนรู้ความผิดตัวเอง

            “ขอโทษเรื่องอะไร” อีกฝ่ายได้ทีไล่จี้

            “ขอโทษที่ปิดบัง...ไม่บอกว่ามาทำธุระอะไร” เจ้าตัวยังแกล้งเฉไฉ

            “แล้วมีเรื่องอะไรอีก” เอื้อกานต์ไม่ยอมปล่อย

            ทีเกื้อถอนใจ ระบายยิ้มอ่อนโยน

            “แล้วก็...ขอโทษ...ที่ปิดบังเรื่องของพี่กลด”

            แววตาเอื้อกานต์อ่อนลง มองน้องชายอย่างคนที่มีข้อสงสัย ปัญหาในหัวมากมาย

            นายตำรวจหนุ่มเข้าใจจึงเอ่ยปากง่ายๆ

            “เรื่องมันยาว ลงไปนั่งคุยกันข้างล่างก็ได้ หรืออยากจะซัดเกื้ออีกหมัด...เอาให้หายโมโหเลยมั้ย”

            “มันน่าโดนอีกหลายหมัดมากกว่า ถึงจะหายโมโหน่ะ”

            เอื้อกานต์บ่น แต่ก็เป็นฝ่ายเดินนำลงไปห้องนั่งเล่นข้างล่างเอง

            บนโซฟายาว เบาะนุ่ม สองพี่น้องมองหน้ากัน รออีกฝ่ายเป็นคนเอ่ยปากก่อน ทีเกื้อรอพี่สาวตั้งคำถาม เอื้อกานต์ต้องการให้น้องชายเป็นฝ่ายอธิบายเรื่องทั้งหมด

            ในที่สุด ชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายพูดก่อน

            “เอื้ออยากรู้เรื่องอะไร” ทีเกื้อใช้วิธีตั้งคำถาม

            “พี่กลดรอดจากเครื่องบินตกได้ยังไง” คำถามนี้อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก แต่มันควรเป็นปัญหาเริ่มต้น ก่อนไปสู่ประเด็นอื่นๆ

            “อาจารย์ของพี่กลดเป็นคนช่วยเขาไว้” ทีเกื้อบอกเท่าที่รู้

            “อาจารย์...” เอื้อกานต์ทวนคำ

            “คนที่เปลี่ยนพี่กลดให้กลายเป็น ‘คิม’ ภายในเวลาห้าปี”

            ทีเกื้อใช้คำตอบนี้เป็นข้อสรุป ไม่จำเป็นต้องถามว่า อาจารย์ของทรงกลดเป็นใคร มาจากไหน ช่วยทรงกลดจากเครื่องบินตกได้อย่างไร

            เอื้อกานต์รู้จักความเก่งกาจ กล้าแข็งในอาคมของ ‘คิม’ พอๆ กับเขา ฉะนั้นการบอกแค่ว่า ‘อาจารย์’ คือคนที่เปลี่ยนทรงกลดให้กลายเป็นคิมในเวลาห้าปี ย่อมเป็นการแสดงออกชัดเจนว่า คนผู้นี้มีความสามารถขนาดไหน เก่งกาจเพียงไร และมีความสำคัญต่อทรงกลดอย่างยากจะอธิบายได้

            หญิงสาวฟังคำตอบแล้วเกิดความเข้าใจตลอดสาย จะเหลือก็แค่ปมปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องถามก็ได้ กระนั้นในใจยังมีเรื่องค้างคาบางอย่าง

            “ที่...เกื้อเคยบอกว่า...นับจากวันนี้ ไม่มีคิมอีกต่อไปแล้ว...หมายความว่ายังไง”

            “พี่กลดยอมละทิ้งความแค้น เปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ สลัดหน้ากากของคิมทิ้งไป แต่ด้วยความรู้สึกผิด ต้องการลงโทษตัวเอง พี่กลดจึงไม่อาจกลับมาเป็น ‘ทรงกลด’ ได้อีก ทำได้แค่อาศัยในเงามืด ใช้ความสามารถพิเศษที่ตัวเองมีคอยช่วยเหลือผู้คนมาเป็นปีๆ โดยไม่มีใครรู้”

            คำตอบของทีเกื้อกระจ่างชัดเจนจนเอื้อกานต์สะเทือนใจ พูดไม่ออก ในอกมีก้อนแข็งๆ จุกตัน มันเป็นความเศร้า อาวรณ์ ใจหาย ที่อธิบายไม่ถูก

            “เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย เกื้อถึงปิดเรื่องนี้ไว้...ไม่ยอมบอกเอื้อ” คำพูดกึ่งตัดพ้อ

            “เกื้อขอโทษ” ชายหนุ่มยังย้ำคำเดิม

            หญิงสาวตั้งสติ ถอนใจยาว

            “ในเมื่อพี่กลดเปลี่ยนเส้นทาง เป็นคนดีแล้ว ทำไมถึงป่วยหนักด้วยไวรัสอาคมได้”

            “เพราะพี่กลดเข้าไปขัดขวางการปล่อยไวรัสอาคม ด้วยการเอาตัวเองเข้าแลก ดูดซับ รับไวรัสอาคมส่วนใหญ่ทั้งหมดไว้เอง ทำให้ผู้คนจำนวนมากรอดตาย ไม่งั้นเอื้อต้องเจอคนเจ็บมากกว่านี้แน่”

            “เอาตัวเข้าไปรับไวรัสอาคมทั้งหมดเอง!” เอื้อกานต์ทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อ

            “ใช่” ทีเกื้อยืนยัน “ยังดีที่พี่เขามีอาคมกล้าแข็ง ถอนอาคมที่ควบคุมไวรัสได้เกือบหมดแล้ว เอื้อถึงช่วยถอนอาคมต่อได้ง่ายๆ ไง...แต่ถึงอย่างนั้น อาการป่วยจากเชื้อโรคทั่วไป พี่กลดเขารักษาตัวเองไม่ได้ เลยต้องมาโรงพยาบาล”

            พอทีเกื้ออธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด ยืดยาว เอื้อกานต์จึงย้อนถามง่ายๆ

            “แสดงว่าลงมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ ‘ธุระ’ ของเกื้อ ก็คือมาหาพี่กลดใช่มั้ย”

            “อือ...” ทีเกื้อยอมรับ สบตาพี่สาวตรงๆ “เอื้อเองก็แน่ใจแล้วใช่มั้ยว่า ชามาร์ คิม พี่กลด เป็นคนคนเดียวกัน”

            “ใช่” เอื้อกานต์ตอบรับ

            “เกื้อเลยอยากมาคุยกับพี่กลดให้รู้เรื่องไง...แล้วก็เลยได้เรื่องมากกว่าที่อยากรู้เยอะเลย”

            “มีเรื่องอะไรที่เอื้อควรรู้บ้าง” หญิงสาวถาม

            “คนที่ปล่อยไวรัสอาคม...เป็นอาจารย์ของอาจารย์พี่กลดเอง” ทีเกื้อบอกอย่างไม่อ้อมค้อม

            “ไลลานี่นะ!” เอื้อกานต์ตกใจ คาดไม่ถึง

            ใครจะเชื่อ ผู้หญิงที่ดูสวยสง่า อ่อนกว่าวัยขนาดนี้ จะมีอาคมกล้าถึงขนาดเป็น ‘อาจารย์ใหญ่’ ของคิม ผู้ที่ทำให้ทั้งตำรวจและหมอทั้งหลายต้องจนปัญญา ยอมแพ้ได้

            เอื้อกานต์ไม่รู้จะจัดการกับน้องชายตัวดีอย่างไร โทษฐานที่ปิดบังเรื่องสำคัญมาจนถึงตอนนี้ จะต่อยเขาอีกสักหมัดสองหมัดก็เจ็บมือเปล่า กระดูก กล้ามเนื้อทีเกื้อแข็งซะขนาดนี้

            “อยากรู้เรื่องอะไรอีกมั้ย” ทีเกื้อยกนาฬิกาขึ้นดู

            เอื้อกานต์รู้ว่าน้องชายต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินแต่เช้า ปัญหาแคลงใจส่วนใหญ่หมดไปแล้ว แต่ข้างในใจก็ต้องการคนปรึกษาหารืออยู่ดี

            “แล้วจากนี้เอื้อควรทำยังไง” หญิงสาวถามน้องชายเพื่อระบายความในใจ

            “เอื้อจะถามเรื่องไหนล่ะ...ถ้าเรื่องเกี่ยวกับพี่กลด...เอื้อก็มีคำตอบอยู่แล้ว จะมาถามเกื้อทำไม ตอนนี้เกื้อบอกได้คำเดียวว่า เรื่องพี่กลดไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก...ปัญหาสำคัญตอนนี้คือไลลา คนปล่อยไวรัสอาคม ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวมาก มีความซับซ้อนทางอารมณ์สูง เดาใจยาก แถมวิชาอาคมของเธออาจจะเหนือกว่าพี่กลดอีก”

            “เอื้อตั้งใจโทร. นัดเจอเขา”

            “ไม่คิดว่ามันจะเป็นกับดักเหรอ” น้องชายเป็นห่วง

            “ต่อให้เป็นกับดัก ก็ต้องเสี่ยงเข้าไป” หญิงสาวตอบหนักแน่น

            ทีเกื้อรู้ว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกฝ่าย

            “รู้เบอร์ติดต่อเขาแล้วเหรอ” ชายหนุ่มถาม

            “หนูดีเคยสัมภาษณ์เขา...น่าจะถามหนูดีได้” เอื้อกานต์พูดถึงแฟนน้องชายแล้วนึกได้ “อ้อ...มาคราวนี้ได้เจอหน้าแฟนตัวเองหรือยัง”

            “เจอ...ไปหาเขาที่สถานีฯ แล้วเพิ่งพาไปส่งกลับบ้านเสร็จ ถึงได้มาอาบน้ำ เตรียมขึ้นเครื่องที่นี่ไง”

            “ได้นอนบ้างหรือเปล่านี่” หญิงสาวนึกเป็นห่วง

            “เดี๋ยวค่อยไปนอนบนเครื่องก็ได้” เขาพูดง่าย ซ่อนความหนักใจลึกๆ

            “งานทางนั้นหนักมากมั้ย” หญิงสาวรับความรู้สึกนั้นได้

            “อือ...แต่อย่าห่วงเลย จัดการเรื่องตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเถอะ ถ้าจะไปพบไลลาก็ต้องระวังตัวให้มาก ประมาทไม่ได้เด็ดขาด”

            “รู้แล้วน่า” เอื้อกานต์ตอบรับ

            สองพี่น้องแยกกันทั้งที่มีเวลาคุยไม่ถึงยี่สิบนาที เอื้อกานต์ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไลลา ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนักใจต่อการเผชิญหน้ากับทรงกลด

            ในเมื่อทีเกื้อกับทรงกลดพูดคุยกันแล้ว เขาคงรู้ว่าเธอรู้ความจริงแล้ว...ต่อจากนี้จะวางหน้า พูดจากันอย่างไร เสแสร้งเป็นคนอื่นต่อกันแบบไหน...

            นี่คือเหตุผลที่เอื้อกานต์ยังไม่ยอมเข้าไปดูคนป่วยของตนตั้งแต่ช่วงเช้า...จนกระทั่งมีเวลาว่าง โทร. นัดหมายไลลาสำเร็จ ก็นั่งนิ่ง คิดว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ...จะพบเขาด้วยสีหน้าแบบใด พูดจาสนิทสนมแค่ไหน...จิตใจอึดอัด กลัดกลุ้มจนบอกไม่ถูก...



            ในห้องพักผู้ป่วย เด็กหญิงผักกาดกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ในมือมีหนังสือการ์ตูนสีสวย เปิดอ่าน ดูรูปอย่างเพลิดเพลิน ข้างเตียงมีชายหนุ่มเคราเขียว หน้าขาว ริมฝีปากแดง นั่งอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเล่มหนาโดยไม่สนใจใคร

            ดูแล้วสองน้าหลานน่าจะมีโลกส่วนตัว อยู่ในจินตนาการของใครของมัน ห้ามก้าวก่ายรบกวนซึ่งกันและกัน

            เอื้อกานต์เปิดประตูมาพบภาพคนตัวโตกับคนตัวเล็กก้มหน้าก้มตาอ่านการ์ตูนของตัวเองแล้วอดอมยิ้มแกมเอ็นดูไม่ได้ มันเป็นภาพที่น่ารัก อบอุ่น ที่เธอไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก

            “คุณหมอเจ้าหญิง” ผักกาดเงยหน้าเกือบจะพร้อมกับน้าชาย แต่ชิงร้องทักก่อน

            “เป็นยังไงจ๊ะผักกาด หายเจ็บหัวหรือยัง” เอื้อกานต์ทักทายเจ้าตัวเล็ก

            “ยังไม่หายเลย น้าหมากต้องแกล้งลืมอะไรไว้ในหัวผักกาดแน่ๆ” เจ้าตัวน้อยฟ้อง

            “จริงสิ...ตะกี้พี่พยาบาลบอกว่า กรรไกรกับมีดผ่าตัดหายไปสามอัน สงสัยน้าจะลืมไว้ในหัวผักกาดล่ะ” หมากแกล้งทำสีหน้าจริงจัง “ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าผ่าหัวอีกที แล้วเอาออกมาให้”

            “ไม่อ๊าว...” คนขี้ฟ้องร้องลั่น

            “ไม่ได้นะ ถ้าไม่ผ่าออก เดี๋ยวผักกาดไม่หายเจ็บหัว” หมากแหย่ต่อ

            “เค้าหายเจ็บหัวแล้ว” ผักกาดรีบหายเจ็บทันที

            “จริงน่ะ” หมากหรี่ตา ยื่นหน้าเข้าใกล้หลานสาว

            “จริ๊ง...” เจ้าตัวเล็กยืนยันเสียงสูง คนเป็นน้าชายหอมแก้มยุ้ยดังฟอดใหญ่

            “คุณหมอช่วยผักกาดด้วย” ผักกาดร้องเรียกหาคนช่วยเหลือ

            เอื้อกานต์หัวเราะเบาๆ ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงใกล้หมาก นัยน์ตามองเจ้าตัวซนจนลืมสังเกตแววตาที่เปลี่ยนไปชั่ววูบของคนเป็นน้าชาย

            “ถ้าผักกาดไม่ดื้อ ไม่ขอต่อรองกับพี่พยาบาลเขาบ่อยๆ ก็คงไม่โดนคุณน้าผ่าหัวอีกหรอก...จริงมั้ยคะ”

            คุณหมอคุยกับหลานสาว แล้วหันไปขอเสียงสนับสนุนจากน้าชาย

            “อืม...ก็ว่าอย่างงั้นนะ” หมากรับสมอ้าง

            “อ้อ...เอื้อมีเรื่องขอปรึกษาหมอสักหน่อย จะรบกวนเวลาอ่านการ์ตูนมั้ยคะ” หญิงสาวเอ่ยปากแกมหยอก

            หมากยิ้ม นัยน์ตามีรอยอารมณ์ดีเฉกเช่นชายหนุ่มคนเดิม

            “อ๋อ...ไม่หรอกครับ เล่มนี้ผมอ่านมาเป็นสิบรอบแล้ว นี่เอามาอ่านเป็นเพื่อนเจ้าผักกาดเท่านั้นเอง”

            “อ่านตั้งสิบรอบแล้ว ทำไมเล่าให้ผักกาดฟังไม่ได้ว่าเรื่องนี้สนุกยังไง” เด็กหญิงแทรกขึ้น

            “น้าอยากให้เราอ่านเองไง” หมากพูดจบก็วางหนังสือบนตักหลานสาว

            “ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะหมอเอื้อ เดี๋ยวเจ้าผักกาดกวน” ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉย

            “เค้าไม่กวนซักหน่อย” ผักกาดงอน ทำปากยื่น

            เอื้อกานต์ยิ้มน้อยๆ ให้เด็กแสนงอน

            “หมอขอยืมตัวน้าหมากสักแป๊บได้มั้ยคะ...เดี๋ยวเอามาคืน”

            “เอาไปเลยค่ะ ผักกาดจะได้อ่านการ์ตูนคนเดียว ไม่มีใครกวน” เจ้าตัวแสบย้อนน้าชาย

            สองคุณหมอยิ้มขำขัน ก่อนพากันออกจากห้องคนป่วย



            ริมระเบียง ไม่ห่างจากห้องคนป่วยมากนัก...

            เอื้อกานต์เริ่มต้นก่อน

            “หมอหายไปไหนมาคะ เอื้อตามหาไม่เจอ โทร. ไปก็ไม่ติด” พออยู่กันสองคน หญิงสาวก็ถามปัญหาคาใจแบบตรงไปตรงมา

            “ผมมีเรื่องยุ่งนิดหน่อย หมอเอื้อมีธุระอะไรกับผมเหรอ” หมากตอบง่ายๆ

            วูบแรกที่ได้ยินคำตอบนี้ หญิงสาวอดน้อยใจไม่ได้ นึกอยากสะบัดหน้าหนี ไม่ต้องคุยกันอีก แต่พอได้สติ จึงข่มความน้อยใจ นึกถึงปัญหาใหญ่กว่าที่กำลังเผชิญ

            “เอื้อรู้แล้วว่าใครเป็นคนปล่อยไวรัสอาคม” เอื้อกานต์ยิงเข้าเป้า คิดว่าคงเห็นสีหน้าแตกตื่นตกใจ ไม่ก็ได้ยินคำถามสวนมาทันทีจากฝ่ายตรงข้าม

            หมากแค่มองหล่อนด้วยแววตาสนใจมากกว่าเดิม

            “ครับ” เขาพูดเท่านั้นแล้วยืนรอฟังต่อ

            เอื้อกานต์ขมวดคิ้ว นึกสงสัยท่าทีที่แปลกไปของฝ่ายตรงข้าม

            “หมอไม่ถามหรือคะว่า...คนคนนั้นเป็นใคร?”

            “หมอเอื้อกำลังจะบอกผมอยู่แล้วนี่” เขาพูดง่าย ตรง

            หญิงสาวถอนใจ สลัดความสงสัยแปลกใจออกไป

            “เอื้อรู้แค่เขาชื่อไลลา เป็นคนที่มีวิชาอาคมมาก คนทั่วไปรู้จักเขาในภาพของนักร้องชื่อดังในอดีต”

            หมากไม่ถามแทรก ไม่ซักไซ้ ใช้แววตาสนใจ ตั้งใจฟัง แทนอาการรับรู้ ทำให้หญิงสาวเล่าเรื่องต่อมาอย่างไม่ติดขัด

            “เอื้อเคยคุยกับเขาครั้งนึง ตั้งใจถามว่าทำไมถึงปล่อยไวรัสอาคมมาฆ่าคนแบบนี้ เขาเลยให้ภารกิจมาอย่างนึง คือตีความหมายเพลง ‘Scarborough fair’ ถ้าทำได้ ไลลาจะให้โอกาสเข้าพบอีกครั้ง”

            “หมอเอื้อตีความหมายเพลงได้แล้ว” คำถามนี้กึ่งคำพูดบอกเล่า

            “ค่ะ”

            “ถ้าหมอเอื้อไปเจอเขาอีกครั้ง จะทำยังไง”

            “ถามเหตุผลของการปล่อยไวรัสอาคม แล้วขอร้องให้เขาหยุดฆ่าคนแบบนี้”

            หมากถอนใจยาว

            “หมอเอื้อคิดว่าเขาจะยอมง่ายๆ แค่เราไปขอร้องงั้นหรือ?”

            “มันก็ต้องลองดูก่อน” เอื้อกานต์หนักใจเหมือนกัน ยิ่งพิจารณาจากข้อมูลที่ได้จากทีเกื้อเมื่อเช้า ยิ่งชวนให้รู้สึกเหมือนเจอกำแพงหนา ไม่สามารถฝ่าออกไปได้

            หมากมองหญิงสาวนิ่งตรง แววตามีความหมายที่เอื้อกานต์อ่านไม่ออก

            “หมอเอื้ออยากให้ผมช่วยเรื่องอะไร” เขาเอ่ยปากถาม

            “เอื้อนัดเขาแล้ว...พรุ่งนี้ หกโมงเย็นที่โรงแรม...หมอไปกับเอื้อได้มั้ย?” หญิงสาวถามอย่างมีความหวัง

            “ได้” หมากตอบรับแบบไม่ลังเล

            หัวอกเอื้อกานต์ผ่อนคลาย โล่งใจ ตั้งแต่หมากหายหน้าหายตาจนกระทั่งเจอตัวกันวันนี้ เธอสัมผัสได้ถึงความแปลกเปลี่ยน ไม่เหมือนเดิม อธิบายไม่ถูกว่ามีอะไรเปลี่ยนไป

            ขณะออกปากขอความช่วยเหลือ ใจยังนึกหวั่น หมากอาจขอเวลาคิด ไม่ก็ซักถามคำถามอีกมากมาย ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะตอบรับโดยไม่คิดซ้ำ เหมือนกำลังรอให้เธอเอ่ยปากขอร้องอยู่แล้ว

            เอื้อกานต์กำลังจะอธิบายแผนการเพิ่มเติม พยาบาลสาวก็เดินเข้ามาหาพร้อมใบแสดงผลการตรวจร่างกาย

            “หมอเอื้อคะ ผลตรวจร่างกายคุณชามาร์ออกมาแล้วค่ะ”

            “ขอบใจจ้ะ” เอื้อกานต์รับผลตรวจมาเปิดดูรายละเอียด

            หมากเหลือบตาดูเพียงแวบเดียวก็พูดลอย ๆ

            “เขาหายดีแล้วใช่มั้ย”

            “ค่ะ” เอื้อกานต์ตอบโดยไม่เงยหน้า พยายามดูผลการตรวจอย่างละเอียดเผื่อเจอข้อบกพร่องที่อาจหลงหูหลงตา สุดท้ายก็ยอมรับ ร่างกายคนป่วยหายดีแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย

            “หมอเอื้อจะว่ายังไงต่อ” หมากถาม

            “คงต้องอนุญาตให้เขาออกจากโรงพยาบาลได้...” ขณะพูด ใจหล่นหายวูบ

            ถ้าเขาออกจากโรงพยาบาลคราวนี้ จะมีโอกาสได้เจออีกเมื่อไร จะเป็นอย่างไร ถ้านี่คือการพบกันครั้งสุดท้าย...ทรงกลดกลับเข้าสู่เงามืด ไม่ยอมเผยโฉมให้เธอเห็นอีกเลย

            “หมอเอื้อจะไปบอกเจ้าตัวเขาเลยมั้ย” หมากถาม

            “เอ่อ...เอื้อมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย อีกสักพักค่อยไปบอกก็ได้...ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร” หญิงสาวพูดเชิงออกตัว

            “อ๋อ...” หมากส่งเสียงรับรู้

            “งั้นเอื้อขอตัวไปทำธุระก่อน เรื่องนัดวันพรุ่งนี้ ค่อยคุยกันอีกทีนะคะ”

            หมากพยักหน้ารับ เอื้อกานต์เลี่ยงจากไป ชายหนุ่มมองตามหลังหญิงสาวด้วยแววตาแปร่งแปลก กึ่งเห็นใจ กึ่งปวดใจ มีคำพูดมากมายอยากบอก อยากช่วยปลอบประโลมใจ แต่เมื่อเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด จึงทำได้แค่สะกดกลั้น ยืนมองเธออยู่ห่างๆ เท่านั้น



            ประเทศมูเจน

            สิบปีหลังการยึดอำนาจ เปลี่ยนระบอบการปกครอง

            เฌอคิมซากลับมาแล้ว...กลับมาในรูปลักษณ์ชายหนุ่มร่างสูง ไว้หนวดเคราอย่างพวกแขกอาหรับ นัยน์ตาโตมีประกายกล้า ผิวขาวตัดกับหนวดเคราครึ้มที่ทำให้ยากคาดเดาอายุ แยกไม่ออกว่าต่างจากแขกอาหรับทั่วไปอย่างไร

            มูเจนวันนี้ผิดกับประเทศมูเจนเมื่อสิบกว่าปีก่อนอย่างลิบลับ บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ดูทันสมัยจนน่าตกใจ โดยเฉพาะเมืองหลวงมีตึกรามสูงผุดขึ้นมากมายจนแทบแออัด ศูนย์การค้าใหญ่โต รถราขวักไขว่ การเงินสะพัด เศรษฐกิจขยายตัวเร็วจนน่าหวั่นใจ

            อดีตเจ้าชายน้อยมองประเทศบ้านเกิดเมืองนอนด้วยแววตาของคนแปลกหน้า ที่นี่แทบไม่เหลือเค้าของประเทศที่สงบ งดงามด้วยวัฒนธรรม ประชาชนมีชีวิตเรียบง่าย ร่มเย็นเลย

            เศรษฐกิจรุ่งเรืองจากการที่นักลงทุนชาวต่างชาติได้รับสัมปทานเหมืองเพชร เหมืองทองคำเต็มที่ ทรัพยากรสำคัญไหลออกนอกประเทศ เป็นสินค้าราคาแพง สร้างเม็ดเงินมหาศาล แต่เงินเหล่านั้นกลับเข้าสู่ประเทศชาติไม่ถึงหนึ่งในสิบ

            บ้านเมืองเจริญเพราะเปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน ทำมาหากิน คนที่ได้ประโยชน์คือเหล่าผู้นำประเทศและเครือญาติ ครอบครัว ซึ่งมีหุ้นส่วนในธุรกิจสำคัญใหญ่ๆ ทุกประเภทในประเทศนี้

            เวลานับสิบปีที่หลบลี้ เปลี่ยนชื่อ ย้ายที่อยู่บ่อยๆ เฌอคิมซาได้เรียนรู้วิชาที่ต้องนำมาใช้ในการปกครองประเทศแทบทุกอย่าง ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง การทหาร การเงิน การคลัง ฯลฯ ด้วยมันสมองระดับอัจฉริยะ ถึงเขาจะไม่มีปริญญาสักใบ แต่ความรู้อันกว้างขวางครอบคลุมของเขาก็ทำให้ดอกเตอร์เฉพาะทางในแต่ละศาสตร์นั้นๆ ต้องยอมยกย่อง นับถือ

            นอกจากซุ่ม เก็บตัวเรียนรู้วิชาแขนงต่างๆ แล้ว เฌอคิมซายังคอยติดตาม สืบข่าวความคืบหน้า ความเป็นไปของประเทศมูเจนอย่างไม่ยอมให้ตกหล่น

            ไม่ว่าจะมีการเปิดเหมืองเพชร เหมืองทองแห่งใหม่ ตระกูลไหนลงทุนกับบริษัทข้ามชาติใด ความเจริญ ความล่มสลายทุกอย่างในมูเจนในรอบสิบปี ทั้งหมดอยู่ในคลังความทรงจำของเขา

            จนกระทั่งถึงวันที่เขาพร้อม ทั้งศักยภาพ ความรู้ความสามารถ พร้อมที่จะกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดอีกครั้ง เพื่อเสาะหาหนทางทวงบัลลังก์ เอาทุกสิ่งที่ถูกปล้นจากผู้นำประเทศคนปัจจุบันคืนมา

            เฌอคิมซาเข้าพักในโรงแรมด้วยชื่อใหม่ ตัวตนใหม่ ไม่มีใครในประเทศมูเจนรู้จัก จดจำได้ ทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ตระเวนดูโน่นดูนี่ ถ่ายรูป ดื่มกินตามปกติ ระหว่างนั้นก็พยายามหาช่องทางติดต่อกับคนเก่าคนแก่ที่ยังจงรักภักดีต่อองค์เจ้า เพื่อเป็นกำลังหนุนภายในประเทศให้แก่ตนเอง

            แผนการยังไม่ทันเริ่มต้น เหตุการณ์คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อเขากลับมาโรงแรมตอนเย็นวันหนึ่ง...



            เพียงแค่ก้าวเข้าห้องก็รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม มีของแข็งฟาดมาทางด้านหลัง เขาย่อตัว กลิ้งหลบตามสัญชาตญาณ

            พอตั้งตัวได้ ก็พบชายฉกรรจ์คลุมหน้านับสิบโผล่ออกมาจากที่ซ่อน ลงมือกับเขาทันที การทำงานเป็นทีมอย่างรู้จังหวะกัน บอกให้รู้ว่าคนเหล่านี้ผ่านการฝึกฝนอย่างเชี่ยวชาญ ไม่ใช่โจรกระจอกทั่วไป

            ด้วยความที่ผ่านการฝึกในค่ายทหารเป็นปีๆ เขาจึงสามารถต่อสู้ เอาตัวรอดแบบไม่เสียทีง่ายดายนัก ทว่าคนกลุ่มนั้นไม่ธรรมดา รู้จังหวะการต่อสู้ ป้องกันการหลบหนี แถมยังมีกำลังมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้

            สุดท้ายเขาก็ถูกฟาดจนสลบเหมือดในที่สุด...

            อดีตเจ้าชายน้อยรู้สึกตัวในค่ายกักกัน ท่ามกลางคนแปลกหน้า ความเป็นอยู่ไม่ต่างจากคุกหรือนรกบนดิน นอกจากกินอยู่อย่างแร้นแค้นแล้ว ยังต้องทำงานหนักในเหมืองเพชร!

            แรกๆ เขาพยายามโวยวายเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ แสดงตัวว่าเป็นคนต่างชาติ ถูกจับกุมมาแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่ไม่มีใครสนใจ คนงานที่อยู่มาก่อนมองเขาเหมือนคนบ้า ผู้คุมที่นี่เห็นเขาเป็นตัวปัญหา ใช้วิธีลงโทษ ลงทัณฑ์อย่างหนัก เพื่อให้เขาสงบเงียบ ยอมทำงานเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในค่ายกักกันเหมืองเพชรนี้

            เฌอคิมซาไม่เข้าใจชะตากรรมของตน เพียงแค่เหยียบแผ่นดินแม่ไม่กี่วัน ก็กลายเป็นเชลย เป็นทาสที่ทำงานหนัก โดนลงโทษรุนแรงไม่ต่างจากอาชญากรทำความผิดฉกรรจ์ ในเหมืองเพชรที่ห่างไกลจากตัวเมืองศิวิไลซ์

            เขาไม่รู้ ทำไมถึงถูกจับ เหตุใดถึงโดนลงโทษ ทำงานเป็นทาสโดยไม่แจ้งความผิด ไม่มีใครยอมคุยกับเขา ไม่มีใครให้คำตอบ และที่สำคัญ...ยังหาหนทางหลบหนีไม่ได้

            เฌอคิมซาถูกทรมานทำงานในเหมืองนรกแห่งนี้สามเดือนเต็ม

            คืนหนึ่งเขาถูกพาตัวไปยังห้องแคบๆ ซึ่งมีบุคคลที่คาดไม่ถึงรอคอยอยู่

            “ไม่เจอกันนานเป็นสิบปีเลยนะ เจ้าชายเฌอคิมซา...จำแทบไม่ได้” ผู้ทักทายคือตาล็อก หัวหน้ากลุ่มชิงบัลลังก์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ

            เห็นและได้ยินเช่นนี้ เขาจึงรู้ว่าความลับของตนถูกเปิดโปงแล้ว แต่ยังฝืนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมรับจนถึงที่สุด พวกมันอาจได้ข่าวการมาของเขา แต่ไม่น่าจะปักใจเชื่อมั่นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ในเมื่อไม่มีหลักฐานใดยืนยันตัวตนแท้จริงของเขาได้

            คนเคยเป็นเจ้าชายจึงร้องยืนกรานปฏิเสธ โดนพวกผู้คุมเตะถีบก็คลานเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาศัตรูร้าย อ้อนวอน คร่ำครวญ เพื่อให้ฝ่ายนั้นตายใจ

            ตาล็อกเริ่มลังเล ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าชายสูงศักดิ์จะเป็นคนคนเดียวกับชายหนวดเฟิ้มที่มีสภาพไม่ผิดกับหมาข้างถนนคนนี้ ถึงอย่างนั้น...อะไรบางอย่าง...ก็ยังยืนยันความมั่นใจ

            เขาเชื่อว่าชายตรงหน้าคือเฌอคิมซา

            “ไม่อยากเชื่อว่าเวลาสิบปี จะทำให้เจ้าชายผู้เย่อหยิ่ง กลายเป็นเศษขยะแบบนี้ได้” พูดพลางถ่มน้ำลายใส่

            อดีตชายสูงศักดิ์ไม่หลบ พยายามสะกดจิตตัวเองให้เชื่อว่าเขาเป็นแค่แขกอาหรับสกปรกคนหนึ่ง ซึ่งทุกข์ทรมานจากนรกในเหมืองเพชรถึงสามเดือน ยอมทำอะไรก็ได้เพื่อออกไปจากที่นี่

            “ถ้าอยากออกไปจากที่นี่ ก็บอกฉันสิว่า สมบัติคู่บัลลังก์มูเจนสามอย่างนั้นอยู่ที่ไหน” ตาล็อกเปิดเผยเจตนาของตน

            มูเจนมีสมบัติคู่บัลลังก์อยู่สามสิ่ง...หนึ่งคือมหามงกุฎราชา ประดับยอดด้วยเพชรเม็ดใหญ่น้ำงาม สีสวย มีเพียงเม็ดเดียวในโลก ตัวมงกุฎสลักเสลาโดยช่างทองคำฝีมือเยี่ยม ประดับด้วยเพชรค่าควรเมืองอีกนับร้อยเม็ด

            สอง...เป็นคฑาคู่บัลลังก์ หัวคฑาประดับด้วยยอดมรกตก้อนใหญ่ หาค่ามิได้ ด้ามคฑาหล่อจากทองคำทั้งแท่ง แกะสลัก ประดับประดาด้วยเพชรเม็ดงาม สีสันแปลกตา หาไม่ได้จากที่ไหน

            สุดท้ายเป็นตราลัญจกรแห่งมูเจน ตกทอดมาสามสี่ร้อยปี ทั้งความเก่าแก่ ความงามของฝีมือช่างทอง ช่างโลหะยุคก่อน รวมถึงอัญมณีที่ประดับ ล้วนเป็นสุดยอดของหายากทั้งสิ้น

            สามสิ่งนี้คือเครื่องยืนยันตัวตนแท้จริงของเจ้าชายเฌอคิมซา หน่อเนื้อมูจนะองค์เดียวที่เหลืออยู่

            ของสำคัญเช่นนี้ องครักษ์ผู้ภักดีให้เขาห่ออย่างประณีต มิดชิด เก็บใส่เป้หลัง สะพายไว้ไม่ยอมให้ห่างจากตัว ทั้งสามสิ่งตระเวนเดินทางกับเขาไปทั่ว จนสามารถหาที่ปลอดภัย เก็บซ่อนไว้ได้ในที่สุด

            ไม่น่าแปลกที่ตาล็อกผู้ชั่วร้ายจะต้องการสามสิ่งนี้

            ในเมื่อมันครอบครองประเทศสำเร็จแล้ว สิ่งเดียวที่จะยืนยันชัยชนะเบ็ดเสร็จเหนือองค์เจ้า เหนือคนทั้งแผ่นดิน และเสริมความยิ่งใหญ่แก่มันคือสมบัติคู่บัลลังก์สามสิ่งนี้เอง

            เฌอคิมซาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดตนยังรอดชีวิต ทั้งที่อีกฝ่ายมั่นใจเหลือเกินว่าเขาคือเจ้าชายพลัดถิ่น

            พอความเข้าใจเกิดขึ้น เขาจึงยืนยันคำเดิมว่าตนไม่ใช่เจ้าชายเฌอคิมซา จนตาล็อกหมดความอดทน

            “ก็ดี...งั้นแกก็อยู่ในนรกแห่งนี้ต่อไปเถอะ ดูซิว่าความลำบากชนิดนรกยังกลัวของที่นี่ จะทำให้เจ้าชายหายความจำเสื่อมได้หรือไม่”

            ผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งมูเจนกลับไป พร้อมคำสั่งกร้าว ให้ทรมานบีบคั้นเชลยคนนี้ให้หนักกว่าเดิม แต่...ห้ามมันตายเด็ดขาด!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP