ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ไม่มั่นใจในตัวเองเพราะปมทางใจในวัยเด็ก จะแก้ไขได้อย่างไร



ถาม – ดิฉันโตมาด้วยความเชื่อว่าไม่มีใครรัก เนื่องจากเมื่อยังเป็นเด็กมักถูกพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่รุมตำหนิเสมอ และมักคอยกำกับตลอดว่าต้องทำอะไรอย่างไร พอโตขึ้นมาเลยไม่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก เวลาจะทำอะไรต้องหาคนบอกทุกขั้นตอน ว่าต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็กลัวว่าจะทำผิดพลาด สมัยที่ยังเด็กดิฉันพยายามตั้งใจเรียน จนสอบได้ที่หนึ่งบ่อยๆ เพื่อให้ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ และจะได้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ได้เป็นที่หนึ่ง หรือไม่ได้ความสนใจเพียงพอ ดิฉันจะเสียความมั่นใจในตัวเองมาก


เวลาปรึกษาใครก็ได้รับคำแนะนำว่าอย่าคิดมาก คล้ายๆ ว่าคนให้คำแนะนำเขาตำหนิเราและรำคาญที่เราเป็นคนแบบนี้ เลยยิ่งแย่เข้าไปอีก แบบนี้พอจะมีทางแก้ไขไหมคะ


ถ้าเข้าใจปมในวัยเด็กของตัวเองเนี่ยมันง่าย
คือคนเรา ถ้าไม่ลืมนะว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องแย่ๆ
หรือว่าสิ่งที่มันเป็นอุปสรรคติดขัดทั้งหลายในชีวิตนี่มาจากไหน ไหลมาจากไหน
ดีมากเลย เพราะว่ามันง่าย มันแก้ถูกจุด มันจะได้เรียกว่าเราไปเล่นกันตรงประเด็น
คนที่ลืมว่าต้นสายปลายเหตุของปัญหามาจากไหน
บางทีมันงง บางทีมันเบลอ ไม่รู้จะจับต้นชนปลายให้ติดอย่างไร ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

อันนี้เราก็เริ่มต้นกันง่ายๆ เลยนะ
ขึ้นต้นมานี่เรารู้ว่าชีวิตของเราถูกทำให้เสียความเชื่อมั่นไป
ด้วยการโดนชี้นั่นชี้นี่นะ จะต้องทำอย่างนั้น จะต้องทำอย่างนี้ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ทีนี้เราโตขึ้นมาแล้ว แล้วเราก็มีความสามารถที่จะตั้งโจทย์ให้กับชีวิต
นี่เป็นโจทย์ข้อสำคัญของคุณนะ เป็นโจทย์ที่สำคัญมากของชีวิตของเราทีเดียว
ว่าทำอย่างไรจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ อันนี้เอาข้อนี้ก่อน
ลักษณะของจิตที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองนะ
มันจะมีอาการที่ว่าถ้าจำเป็นจะต้องตัดสินใจ
หรือจำเป็นที่จะต้องยืนด้วยขาของตัวเองเต็มๆ สองขานะ
มันจะสั่น มันจะมีอาการสั่นไหว มันจะมีอาการเหมือนกับเซนซิทิฟ (sensitive)
กับการกระทบกระแทก ถ้าหากว่ามีอะไรมาซัดนิดหนึ่ง มันเป๋เลย
นี่ลักษณะของจิตก็เหมือนกับคนที่มีขายืนด้วยตัวเองไม่ได้เต็มสองขา ไม่ได้มั่นคงนะ
เรามองอย่างนี้ก่อน


ถ้าหากว่าเรามองอาการของใจตัวเองออกนะ
คือรู้ต้นสายปลายเหตุด้วย แล้วก็รู้ผลลัพธ์ที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ด้วยว่า
หน้าตาของจิตใจ หน้าตาของผลลัพธ์ที่ไหลมาจากวัยเด็ก
ซึ่งถูกบังคับกะเกณฑ์ ชี้นั่นชี้นี่ มันเป็นอย่างนี้
มันไม่สามารถยืนได้เต็มกำลังของตัวเอง
พอเห็นว่าสภาพจิตสภาพใจของเราเป็นอย่างนี้นะ
เห็นบ่อยๆ นะ เห็นให้ได้บ่อยๆ
เวลาที่มีอะไรเข้ามากระทบให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหว
ให้เห็นไปเรื่อยๆ แล้วก็รู้จักสภาพจิตใจของตัวเองว่าหน้าตาเป็นอย่างนี้
ยอมรับสภาพจิตใจแบบนั้นให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก



พอยอมรับได้นะ สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นทันที
อันนี้ผมยังไม่ได้พูดถึงวิธีแก้ปัญหานะ
พูดถึงเรื่องของการรับมือกับจิตใจที่หวั่นไหวง่ายก่อน
วิธีการรับมือ ง่ายที่สุดก็คือให้ยอมรับตามจริงว่า
เรากำลังมีอาการเป๋ เรามีอาการที่ยืนไม่ได้เต็มสองขานะ
ลักษณะจิตแบบนี้พอถูกรู้บ่อยๆ เกิดอะไรขึ้น

มันจะมีอาการเห็นว่า เออ สภาพจิตที่มันเป๋ มันหวั่นไหวง่าย
มันก็เป็นสภาพจิตแบบหนึ่ง
แต่เดิมเราจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นสภาพจิต เราจะรู้สึกว่ามันเป็นตัวเรา
เราจะรู้สึกว่าอาการแบบนี้พอเกิดขึ้นทีไร รู้สึกแย่กับตัวเองซ้ำเข้าไปอีก
เข้าใจไหม อาการหวั่นไหวนี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่นะ
ต่อเมื่ออาการหวั่นไหว สภาพจิตใจที่หวั่นไหว
เป็นที่รู้สึกของตัวว่า นี่มันคืออาการของเรา
ตัวนี้แหละมันถึงเกิดความรู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นมา

เมื่อเกิดสติรู้ ว่าอาการหวั่นไหว อาการไม่เชื่อมั่นในตัวเองเกิดขึ้นก่อน
แล้วตัวตนนะ คือมันไปจับยึดน่ะ มันมีอาการไปยึดมั่นถือมั่นว่า
อาการหวั่นไหวนั้นเป็นตัวเรา ความรู้สึกแย่มันค่อยตามมา
มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ดูเหมือนกับพร้อมๆ กัน
แต่จริงๆ แล้ว ถ้าหากว่าคุณลองสังเกตตามที่ผมว่าอย่างนี้
มันจะเริ่มเห็นนะ มันจะเริ่มเข้าใจกลไกของการปรุงแต่งทางจิต


เมื่อเห็นบ่อยเข้า บ่อยครั้ง
คือครั้งแรกๆ พอเห็น มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก
มันก็ยังรู้สึกแย่เหมือนเดิมแหละ
แต่เมื่อเห็นบ่อยครั้งเข้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันที
โดยยังไม่ต้องไปแก้ต้นเหตุของปัญหานะ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีเลยก็คือ เราจะรู้สึกว่าอาการหวั่นไหวของใจ
มันไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเราก็ได้

ที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งชีวิต เหมือนกับหวั่นไหวปุ๊บ มันรู้สึกทันที
มันจับยึดทันทีว่านี่เป็นเรา และไม่สามารถถอนความรู้สึกแบบนั้นได้
ตราบจนกระทั่งวันหนึ่ง อย่างวันนี้เรามาคุยกันนี่นะว่า
จะเจริญสติอย่างไรเพื่อรับมือความขลาดกลัว ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
ความรู้สึกหวั่นไหว ความรู้สึกแย่กับตัวเอง
พอมีวันนี้ที่ผมพูดให้คุณตั้งสติดูอาการหวั่นไหวของใจ
แล้วเราลองไปฝึกดูหลายๆ ครั้ง นับดูไปสองสามครั้ง มันเห็นผลทันทีนะ



เราจะรู้สึกว่าพอเกิดอาการหวั่นไหวทางใจ
มันมีแค่อาการหวั่นไหว มันไม่มีอาการจับยึดว่านี่เป็นตัวเรา
มันจะเห็นเป็นภาวะเพียวๆ เลย ภาวะของใจล้วนๆ เลยว่า
นี่ มันมีแต่อาการกระเพื่อม เหมือนกับน้ำกระเพื่อมน่ะ
หรือมีอาการเหมือนกับหมอกควันถูกลมเป่าซัดไปเซมา
เห็นแค่นั้น ไม่เกิดการปรุงแต่งต่อเป็นความรู้สึกว่า
ตัวเราเป็นผู้หวั่นไหว ตัวเราเป็นผู้ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเอาเสียเลย
ตัวเรามันช่างไม่เอาไหนเอาเสียเลย
ความรู้สึกแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น มันมีแต่อาการไหวเป็นระลอกๆ นะ

มีอาการกระเพื่อมไม่สามารถที่จะตั้งตรงได้
เหมือนกับเราเห็นขาของตัวเองนะ
เดิมทีถ้าสมมติว่าเราเป็นคนขาเป๋ เราเป็นคนขาลีบ ไม่แข็งแรง
พอเกิดอาการโยกเยกนะ ไม่สามารถยืนได้เต็มสองขา
เราจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ฉันมีชีวิตที่แย่กว่าคนอื่น ฉันมีขาที่ไม่สมประกอบ



แต่พอมาเริ่มฝึกรู้ฝึกดูนะ ตามหลักของสติปัฏฐาน ๔
เห็นสักแต่เป็นอิริยาบถยืน ยืนแล้วมันยืนเป๋ ไอ้ส่วนที่เป๋ก็คือขา
มันสักแต่มีท่อนกระดูกอยู่ข้างใน แล้วก็ฉาบด้วยเลือดเนื้อ
มันไม่แข็งแรง มีเส้นเอ็นที่อ่อนแอ มีกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมได้ตามต้องการ
ตอนแรกมันจะรู้สึกแย่ทันที แต่พอดูๆ ไปว่า เออ มันสักแต่เป็นขาจริงๆ
เห็น เห็นนะ เห็นไม่ใช่เฉพาะขา เห็นทั่วตลอดเลยตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีอะไรที่มันเป็นตัวตน
มีแต่ธาตุสี่ ดินน้ำไฟลมประกอบกัน ก็คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ดินน้ำไฟลมก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
มันก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าไอ้ที่เป๋เนี่ย เป็นเรื่องของดินน้ำไฟลมมันเป๋
มันไม่ใช่ตัวเราเป๋ เนี่ยทำนองเดียวกัน อันนี้เปรียบเทียบให้ฟัง



หลังจากนั้นนะ อันนี้พูดเรื่องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
คราวนี้มาพูดเรื่องว่าทำอย่างไรจะเรียกความเชื่อมั่นในตัวเองกลับมาได้จริงๆ
มาสร้างเหตุใหม่กันอย่างไร ที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเราไม่ต้องถูกบงการด้วยอดีตอันลึกลับนะ
ไม่ใช่เหมือนกับเราจะไปไหนมาไหน เราจะทำอะไร มันมีสิ่งกดดันอยู่ตลอด
ทำอย่างไรให้ความกดดันมันหายไป
ก็ต้องเข้าใจว่าการที่เราถูกรุมดุรุมด่าบ่อยๆ
ตามหลักของกฎแห่งกรรมวิบากก็คือว่า
เราเคยไปดุด่าให้คนอื่นเขาเสียความเชื่อมั่นในตัวเองมาก่อน
คงจะทำมาอย่างหนักทีเดียวแหละ ถึงได้เกิดมาแล้วก็จะต้องมาประสบ
อันนี้เรียกว่าเป็นเคราะห์ก็แล้วกันนะ ถือว่าเป็นเคราะห์ เคราะห์ของชีวิต
ที่จะต้องถูกรุมดุด่าให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
สูญเสียความมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่ยังเล็ก
ทั้งๆ ที่คุณก็เป็นคนเก่ง สามารถที่จะสอบที่หนึ่งได้
มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว มันก็บอกโดยตัวเองว่าเราต้องมีดีพอสมควร
แต่เนื่องจากถูกกดดันมาตั้งแต่อยู่ในบ้าน
แล้วก็ทำให้ความเชื่อมั่นที่น่าจะมี มันสูญเสียไปเลย
ความเก่งที่มีจะมีแค่ไหน ถ้าหากว่าถูกรุมด่า ถูกรุมตำหนิ
หรือว่าถูกสังคมรอบข้างตั้งความหวังไว้มากเกินไป
มันทำให้เป๋ มันทำให้เกิดความรู้สึกว่า
ถ้าฉันทำอะไรพลาดไปนิดเดียว เดี๋ยวจะต้องโดนรุมประณาม
เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดกับคุณแค่คนเดียว
มันเกิดกับคนหลายคนในโลกที่ทำกรรมมาแบบเดียวกัน
คือไปคาดคั้นคนอื่นไว้มากเกินไป แล้วเราลืมไปแล้วนะเคยไปคาดคั้นไว้อย่างไร
รู้แต่ว่ามารับผลแบบนี้ตั้งแต่เกิดเลย



เอาละ เรื่องกรรมเก่าเนี่ยถ้าระลึกไม่ได้ไม่เป็นไร
แต่ขอให้จำกรรมใหม่ได้ก็แล้วกัน
คือเราตั้งใจไว้เลยนะว่าชีวิตที่เรามีอยู่ชีวิตนี้
จะมีเพื่อที่จะให้กำลังใจ เป็นกำลังใจให้กับคนอื่น
ไม่ว่าใครเป๋มานะ เราจะช่วยปรี่เข้าไปประคอง
ให้ตัวเขาตั้งตรง ให้เขาเกิดความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง
ให้เขาเกิดความรู้สึกว่าสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ด้วยความมั่นใจ
ถ้าเราตั้งเข็มทิศไว้อย่างนี้ เดี๋ยวจะมีบทพิสูจน์ใจมาว่าเราเอาจริงหรือเปล่า
จริงๆ นะ คนเรานะ ตั้งใจจะทำอะไรจริงๆ มันจะมีบทพิสูจน์เข้ามา
ความตั้งใจจริงๆ นั้น มันจะกำหนดเส้นทางกรรมใหม่
แล้วธรรมชาติก็จะส่งอะไรที่เหมาะสมมาให้เราเอง
มาเป็นแบบฝึกหัด มาเป็นแบบทดสอบ
ถ้าหากว่ายังไม่ส่งแบบฝึกหัดมาให้เร็วทันใจ เราออกไปหาเองเลย


รู้ไหมว่าเด็กที่เสียความมั่นใจในตัวเองมากที่สุด คือพวกไหน
คือเด็กอนาถา เด็กกำพร้า เด็กที่พ่อแม่เสียชีวิต หรือไม่ก็เด็กที่พ่อแม่ไม่เอา
ความรู้สึกว่าชีวิตของเราไม่มีค่า ไม่มีใครเอานี่นะ
มันเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่แย่ที่สุด
คือต่อให้จะฉลาดแค่ไหน จะมีความสามารถปานใดนะ
แต่ถ้าหากว่ามันรู้สึกมาตั้งแต่แรกเกิด
ว่าไม่มีใครเขาเอา ชีวิตเราไม่มีค่านะ จบเลย
ความรู้สึกว่ามีปมด้อยหรือว่าความเศร้า หรือว่าความรู้สึกหดหู่เศร้าหมองนะ
มันจะเกาะกินจิตใจไปตลอดชีวิต
เราลองตั้งใจ ตั้งเข็มไปที่คนพวกนี้แหละ เด็กพวกนี้นะ
ลองตั้งใจจะไปให้ความเชื่อมั่นกับเขา

ลองไปสมัครเป็นครูอาสาดู ไปสอนนี่ก็ไปสอนตามที่เขาต้องการนั่นแหละ
อาจจะสอนอังกฤษ สอนเลข สอนภาษาไทย
หรือว่าสอนอะไรก็แล้วแต่ตามที่เขาอยากจะให้เราสอน
แต่เราไปด้วยความตั้งใจที่มากกว่านั้น
เราตั้งใจว่าจะไปให้ความอบอุ่น จะไปให้ความร่าเริง
จะไปให้ชีวิตจิตใจกับเด็กที่เขาขาดชีวิตจิตใจ ขาดความชุ่มชื่นมาตั้งแต่แรกเกิด


ถ้าคุณทำแบบนี้นะ ผลที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ
เราจะเรียกความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้ ไม่ต้องกินเวลามากเลยครับ
รับรองว่าภายในเดือนสองเดือนนะจะรู้สึกขึ้นมาทันที
ไปแค่อาทิตย์ละครั้ง ส่วนใหญ่เขาจะขอให้ไปอาทิตย์ละครั้งนะ
หรือถ้าใครไปได้บ่อยกว่านั้น ก็โอเคไม่มีปัญหา ก็ยิ่งดีเลย
ภายในเดือนสองเดือน คุณจะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า
แล้วก็สามารถที่จะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง สามารถจะมีจุดยืนเป็นตัวของตัวเองได้
เพราะการออกไปช่วยคนโดยที่เขาไม่ได้ขอนี่นะ
มันเป็นการริเริ่มสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นการทำอะไรได้ด้วยตัวเอง
โดยที่ไม่ต้องมีใครมาชักชวนหรือมีใครมาบีบคั้น
การที่เราทำบุญใหญ่ได้โดยไม่มีใครต้องมาขอ
บุญตัวนี้แหละที่มันจะสร้างความแข็งแกร่งให้เรา


ถ้าคุณพยายาม ดูจากที่ว่าเคยได้ที่หนึ่ง อะไรก็แล้วแต่
มันส่ออยู่แล้ว มันสะท้อนอยู่แล้วว่า
ถ้าคุณไปสอนคนอื่น คุณก็ต้องทำให้เขาได้รับอะไรดีๆ จากคุณได้อย่างแน่นอนนะครับ
แล้วพอคุณเกิดความรู้สึกว่าตัวเองสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาได้
ถึงเวลานั้นนะ ความเก่งหรือว่าความสามารถอะไรที่มีอยู่
มันจะทวีตัวขึ้นไป มันจะทวีค่าขึ้นไป ดีกรีของมันจะยกระดับตัวเอง
จะเห็นได้ชัดเลยว่าเราสามารถคิดอ่านอะไรได้แปลกมากขึ้น
แล้วเราก็จะเห็นว่าความฉลาดที่เอาไปใช้ประโยชน์
เอาไปทำให้โลกนี้ดีขึ้น หน้าตามันเป็นอย่างไร



การมีแรงกดดันอยู่ข้างในนี่นะ ดีนะ มันเป็นแรงผลักดัน
ถ้าหากว่าคุณแปรความรู้สึกกดดัน
ให้กลายเป็นแรงผลักดัน ให้ทำประโยชน์กับโลก

คุณจะพบว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่มีความกล้าจะดี
คนส่วนใหญ่นะกล้าจะชั่ว แต่น้อยคนในโลกที่กล้าจะดี

และคนที่เป็นประโยชน์กับโลกมากๆ
ส่วนใหญ่เริ่มต้นขึ้นมาจากพื้นฐานแบบนี้แหละ
มีความกดดันอะไรบางอย่างอยู่ มีความไม่มั่นใจในตัวเองอยู่
นักพูดที่พูดเก่งๆ ในทางตะวันตก ที่เป็นระดับโลกเลยนะ
ปมในวัยเด็กมักจะทำให้คนประหลาดใจกันนะ
นึกว่า โอ๊ย มันจะต้องพูดเก่งมาตั้งแต่เด็กๆ อะไรต่างๆ
ไม่ใช่เลยนะ บางคนนี่ระดับที่สามารถจะปลุกระดมได้
หรือว่าไปให้แรงบันดาลใจระดับโลกได้ ตอนเด็กๆ ขี้อาย ไม่กล้าพูด
แล้วไอ้ความไม่กล้าพูดหรือว่าปมด้อยอะไรบางอย่าง
ที่ทำให้อยากเก่ง อยากจะพูดได้ขึ้นมา ทำให้มีความพยายามมากกว่าคนอื่น
แล้วความพยายามด้านดี ความพยายามที่จะเอาดีของตัวเอง
ไปมอบให้กับคนอื่นในโลก ตัวนี้แหละที่มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
แล้วก็สามารถที่จะเชื่อมั่นในตัวเองได้มากกว่าใครๆ



ทีนี้ก็พูดดักไว้ล่วงหน้าเลย เผื่อคุณจะฟังซ้ำ
ผมขอเตือนไว้ล่วงหน้าด้วยว่าคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ
คือที่พลิกเปลี่ยนมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง
แล้วเปลี่ยนมาเป็นเชื่อมั่นมากๆ
มันจะสวิง มันจะสวิงแบบสุดขั้ว
จากที่มีปมด้อยนะมันกลายเป็นปมเขื่องไปได้เลย
แล้วถึงตรงนั้น อัตตามันจะสูง
แล้วก็อาจจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินขีด
ก็ระวังตรงนั้นไว้ด้วย คือพยายามฝึกเจริญสติไปด้วยนะ

ไม่ใช่พัฒนาความเชื่อมั่นอย่างเดียว
แต่ขอให้เจริญสติเพื่อให้เห็นว่าอัตตาเรามันพองเกินไปขึ้นมาเมื่อไร
แล้วก็มีสติยับยั้งที่จะอยู่กับธรรมะที่มีความอ่อนโยน ที่มีความเยือกเย็นนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP