วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๘


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ระหว่างเอื้อกานต์คุยโทรศัพท์กับทีเกื้อที่ริมระเบียง หมากก็คุยกับพลูอยู่ในห้องนอน หลังพิงพนักเตียง ปล่อยขาเหยียดยาว จิตผ่อนคลาย กำหนดความสว่างเป็นอารมณ์จนเกิดสมาธิ จิตตั้งมั่น มีกำลังพอ พลูก็ปรากฏให้เห็นกลางแสงสว่างอย่างเคย

             “เป็นไง ดินเนอร์กับหมอเอื้อ โลกเป็นสีชมพูหวานแหววเชียว ระวังเบาหวานกินนะมึง” พลูแซวพี่ชาย

             “ไอ้พลู...อย่าทำเป็นรู้ดี” หมากด่าไม่จริงจังนัก

             “ดีไม่ดี ตอนนี้กูก็รู้มากกว่ามึงแหละวะ”

             “เออ...รู้มากกว่ากู แล้วชอบมาสั่งให้กูทำโน่นทำนี่...วันนี้ให้กูไปทักใครก็ไม่รู้ ถ้าเขาคิดว่ากูเป็นเกย์ เข้าไปจีบละก็ ซวยตายเลยมึง”

             “กลัวว่าเขาจะเอามึงหรือไง” พลูแกล้งหยอก ยอกย้อนถึงคำพูดที่พี่ชายเคยตอบเอื้อกานต์เมื่อไม่กี่นาทีก่อน

             “อย่ามาแกล้งนอกเรื่องไอ้พลู บอกกูมา ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ทำไมให้กูไปทักเขา ทำไมให้กูไปพูดไปเตือนอะไรแปลกๆ กับเขาแบบนั้น”

             “กูอยากให้มึงทำ”

             คำตอบคล้ายหยอกล้อ หากหมากรู้สึกได้ว่าพลูไม่ได้เฉไฉ มันเป็นความต้องการของเขาจริงๆ

             “เหตุผลล่ะ”

             “มึงถามกูเรื่องอื่นดีกว่า” พลูบอกปัด หมากไม่เซ้าซี้

             “ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่ตายด้วยไวรัสแฝงอาคมอย่างนั้น...มึงบอกกูได้มั้ย”

             “ถามมาก่อนสิ...ถ้ามึงเลือกคำถามถูก ก็จะได้คำตอบที่เกิดประโยชน์” พลูบอก

             หมากเข้าใจ บางเรื่องพลูอาจคุยหยอกล้อ เล่นสนุกได้ แต่กับบางเรื่องที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อคนอื่น เขาจะระมัดระวังคำพูดเป็นพิเศษ

             “ใครเป็นคนปล่อยไวรัสอาคม และเขามีจุดประสงค์อะไร” หมากตั้งคำถาม

             “กูไม่ควรตอบคำถามนี้” พลูปฏิเสธ

            หมากไม่ถามซ้ำ ถึงจะพูดคุยเล่นกันได้ แต่ถ้าพลูบอกว่า “ไม่” ต่อให้อ้อนวอน ขอร้อง ก็ไม่มีประโยชน์

             “กูจะรักษาคนไข้ได้ยังไง”

             “ทำอย่างหมอเอื้อ...ใช้พลังพิเศษถอนอาคมออก ที่เหลือเป็นเชื้อโรคธรรมดา หมอทั่วไปก็รักษาได้”

             “มึงพูดง่ายนี่ กูมีพลังแบบนั้นที่ไหน...คราวก่อนตอนหมอเอื้อช่วยผู้หญิงคนนั้น กูยังขอให้มึงส่งพลังมาช่วยเลย”

             นี่เป็นเรื่องที่หมากไม่เคยเอ่ยปากบอกเอื้อกานต์ เขาเล่าเรื่องของพลูตั้งแต่เริ่มมีพลังพิเศษ จนกระทั่งตาย แต่ไม่เคยเล่าต่อ...ว่าหลังจากพลูเสียชีวิตแล้ว ประมาณเดือนกว่า ก็ติดต่อกลับมา...

             ช่วงเวลานั้นหมากจมอยู่กับความทุกข์ เศร้า ไม่สนใจใคร รู้สึกชีวิตขาดหายไปครึ่งหนึ่ง ทั้งวันนั่งกอดเข่าซึมอยู่คนเดียวในห้อง

             จนวันหนึ่ง...ได้ยินเสียงเรียกจากพลู...

             “หมาก...ไอ้หมาก”

             เสียงนี้ดังก้องในใจ หมากสะดุ้งเฮือก เหลียวหาที่มาของเสียง

             “ไม่ต้องมองหาหรอก มึงต้องเข้ามาดูในใจนี่ ถึงจะเจอกู...”

             พลูบอก...หลังจากนั้นพลูก็สอนวิธีทำสมาธิ ให้จิตเกิดความตั้งมั่น ไม่จมอยู่ในความทุกข์โศก พอจิตใจมีกำลัง ก็อาศัยนิมิตแสงสว่างเป็นเครื่องมือติดต่อ เห็นหน้าพูดคุยกันได้

             เรื่องนี้เป็นความลับเฉพาะตัว หมากไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แม้กระทั่งเอื้อกานต์

             ตอนที่เอื้อกานต์ใช้พลังพิเศษรักษาผกาแก้ว หมากยืนอยู่ข้างๆ เห็นพลังสีขาวของเธอไม่มีกำลังพอ จึงส่งเสียงเรียกพลูในใจ

             ‘พลู...ช่วยหมอเอื้อหน่อย’

             ‘เออ!’

            สิ้นเสียงตอบ กลางอกหมากบังเกิดแสงสว่างฉายออกไปยังเอื้อกานต์วูบหนึ่ง มันช่วยเสริมกำลังในวินาทีสำคัญ จนหญิงสาวสามารถถอนอาคมได้ในที่สุด

             เรื่องนี้หมากไม่บอกเอื้อกานต์ เขาเห็นว่ามันไม่จำเป็น...

             คำบ่นแกมต่อขานของหมาก ทำให้พลูหัวเราะเบาๆ กังวานพลิ้วชวนจิตใจผ่อนคลาย

             “มึงถามมา กูก็ตอบตรง ๆ กูไม่ได้มีหน้าที่ช่วยแก้ปัญหาให้มึงนี่”

             “เออ นอกจากใช้พลังพิเศษของหมอเอื้อมาถอนอาคมแล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกมั้ย”

             “มี...” พลูให้ความหวัง

             “ยังไงวะ”

             “ก็ให้คนที่สามารถผูกอาคม มาถอนอาคมไง”

             “ไอ้เวร! ถ้ามันยอมช่วย แล้วจะปล่อยอาคมออกมาหาหอกทำไมวะ” หมากด่าน้องชาย

             “บอกแล้วไง มึงถาม กูก็ตอบ พอกูตอบแล้วยังเสือกมาด่ากูอีก” พลูงอน

             “เออ...ไอ้พลู...ไอ้รูปหล่อ... กูขอโทษ...กูผิดไปแล้ว...มีอะไรอยากบอกกูอีกมั้ย” หมากง้อ

             “กูบอกแล้วไง มึงต้องถาม ถ้าเลือกคำถามถูก จะเกิดประโยชน์เอง”

             พลูย้ำคำพูดนี้ถึงสองครั้ง หมากนึกฉุกใจ มั่นใจว่าน้องชายมีเรื่องสำคัญ ควรบอกต่อเขาจริงๆ เพียงแค่รอให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม...คำถามที่เหมาะสม

             อะไรคือคำถามที่เหมาะสม?

             อะไรคือสิ่งที่เขาควรรู้ในเวลานี้?

             หมากทบทวนเรื่องราวทั้งหมดในใจ ไล่เรียงลำดับความสำคัญ ก่อนจะเกิดความอยากรู้เรื่องเรื่องหนึ่งขึ้น

             “พลู...คนที่ปล่อยไวรัสอาคม มันจะทำเรื่องนี้อีกมั้ย” หมากถาม

             “ทำ” พลูตอบ

             “เมื่อไหร่?”

             “อีกสองวันข้างหน้า”

             คำตอบของพลูไม่ต่างจากระเบิดเวลาลูกใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้า...สิ่งนี้เองที่พลูอยากบอกเขา สิ่งนี้เองที่น้องชายรอให้ถาม

             คำตอบที่ได้ แม้จะก่อให้เกิดความหวาดกลัว แต่ก็นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

             ...อีกสองวัน เขากับเอื้อกานต์พอมีเวลาเตรียมตัวรับมือกับมัน!







บทที่ ๗



             ไวรัสอาคมถูกสร้างอย่างไร?

             ใช้วิธีไหนถึงสามารถปล่อยอาคมแบบหว่านแห แต่เข้าสู่เป้าหมาย “คนชั่วร้าย” โดยไม่พลาด

             และ...สถานที่ปล่อยอาคมนี้...อยู่แห่งไหนบ้าง?

             ทรงกลดตั้งโจทย์หลักขึ้น ทบทวนวิชาอาคมทั้งหมดที่เรียน พยายามหาคำตอบเพื่อใช้เป็นแนวทางติดตาม ยับยั้งการปล่อยอาคมครั้งที่สองของอาจารย์ใหญ่

             วิชาที่เขาเรียนเป็นแนวทางเดียวกับ ฮันเตอร์ คิม นั่นหมายถึงสามารถเชื่อมโยงกับอาจารย์ใหญ่ได้

             เมื่ออาจารย์ใหญ่สร้างไวรัสอาคมขึ้นมาได้ เขาย่อมสืบเสาะตามรอยทางวิชานั้นเช่นกัน ต่อให้ยังไม่อาจสร้างและปล่อยไวรัสได้จริง จะมากน้อยก็ต้องรู้ จับหลัก วิธีการของมันได้บ้าง

             ชายหนุ่มใช้เวลาตั้งแต่อรุณรุ่งถึงยามสายนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องบนคอนโดฯ ปล่อยให้วิชาต่างๆ ไหลผ่านเข้ามาในความทรงจำ กลั่นกรอง เลือกเฟ้น เสาะหาวิชาที่เข้าข่าย ใกล้เคียงกับอาคมชุดนั้น

             จนใกล้เที่ยง เขาค่อยขยับตัวจากท่านั่งสมาธิ เหยียดขายาว ปล่อยให้เลือดลมเดินสักครู่จึงค่อยลุกขึ้น เดินไปที่ระเบียง ทอดสายตาไกล ไม่จับจุดโฟกัสใดเป็นพิเศษ จิตแผ่กว้างครอบคลุมสุดลูกหูลูกตา สักพักค่อยดึงกลับสู่ตัว เงยหน้ามองท้องฟ้า

             เวลานี้เขาคลำทางการสร้างไวรัสอาคมได้บ้างแล้ว มันเป็นวิชาที่ต้องผสมผสานศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ รวมกับเวทมนตร์ อาคมของพวกพ่อมดแม่มดในยุโรป รวมถึงศาสตร์มืดในการควบคุมใช้งานเหล่าภูตผีปิศาจ ด้วยมันสมองและความสามารถของเขาเวลานี้ ยังไม่สามารถฝึกฝน ผสมผสานศาสตร์ต่างๆ เพื่อสร้างไวรัสอาคมแบบนี้ในระยะเวลาอันสั้น

             นี่แสดงว่า อาจารย์ใหญ่คงใช้เวลาทั้งชีวิต ศึกษา เล่าเรียนอาคมหลากรูปแบบ แล้วหลอมรวมมันเพื่อสร้างอาคมร้ายกาจชุดนี้ขึ้นมา นอกจากมันจะมีพลังเผ็ดร้อน ถอนยาก ยังสามารถเจาะจง เลือกสรรประเภทของเหยื่ออย่างไม่ผิดพลาด ทั้งที่ปล่อยอาคมแบบหว่านแหในอากาศแท้ๆ

             สุดท้าย...ต้องใช้สถานที่แบบใดซึ่งเหมาะจะปล่อยอาคมชุดนี้ออกไป?

             การที่ทรงกลดมายืนริมระเบียง แผ่กระแสจิตออกกว้าง ก็เพื่อควานหาสถานที่เหมาะสมเหล่านั้น

             เวลานี้เขาพบมันถึงสามสี่แห่งในกรุงเทพฯ อยู่ห่างกันคนละมุมเมือง จำเป็นต้องลงพื้นที่ สำรวจด้วยตัวเอง ไม่แน่ เขาอาจพบร่องรอยอาจารย์ใหญ่ หรือไม่ก็ลูกสมุนปิศาจ

             ทรงกลดไม่มั่นใจ หากพบอาจารย์ใหญ่แล้วตนจะสามารถขัดขวาง ยับยั้งการปล่อยไวรัสอาคมได้หรือไม่

             อย่างน้อย...เขาก็ได้ชื่อว่ากระทำ การกระทำเช่นนี้อาจพอชดเชยบาปกรรม ความผิดพลาดที่ผ่านมาของตนเองบ้าง



             หลังจากคุยโทรศัพท์กับทีเกื้อ ฟังคำแนะนำเรื่องบันทึกของคุณตา เอื้อกานต์ก็เข้าไปหยิบบันทึกเล่มนั้นมาอ่านทันทีที่วางสาย ใช้เวลาอ่านสองสามชั่วโมง จับใจความคร่าวๆ ได้เกือบหมดเล่ม ระหว่างที่อ่าน มองเห็นภาพคุณตาชัดเจน

             คุณตาเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่โผงผาง จริงจัง ไม่กลัวใคร ก่อนทำงานตำรวจ เคยเป็นนักเลงที่มี “วิชา อาคม” พอตัว ตลอดชีวิตตำรวจ เจอคดีแปลกๆ หลายคดี ซึ่งคดีเหล่านั้นไม่สามารถพิสูจน์หาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาคลี่คลายได้

             เอื้อกานต์เปิดอ่านโดยไม่เก็บรายละเอียดมากนัก มองหาคดีที่คล้ายกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จนมาสะดุดกับประโยคหนึ่งในนั้น

             “คนตาย...ถึงจะพูดไม่ได้ แต่สามารถบอกร่องรอย ชี้หลักฐานให้สาวไปถึงตัวการได้ มันอยู่ที่ว่า จะมีใครอ่าน ‘สาส์น’ จากคนตายได้หรือไม่”

             หญิงสาวนึกทบทวน “หลักฐานที่ถูกทิ้งไว้บนร่างเหยื่อ” หวนระลึกถึงเหยื่ออาคมที่ตนเองเคยสัมผัสเมื่อครั้งได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีของคิม ครั้งนั้นเธอช่วยทีเกื้อตามรอยฆาตกรจากอาคมที่แฝงอยู่ในร่างเหยื่อเหมือนกัน

             ครั้งนี้...หลังจากถอนอาคมให้ผกาแก้ว ร่างคนไข้ก็ไม่เหลือร่องรอยให้สืบสาว แต่ยังมีเหยื่ออีกสองราย เป็นศพอยู่ในโรงพยาบาลไม่ไกลนัก

             เอื้อกานต์ปิดสมุดบันทึก ตั้งใจหาเวลากลับมาอ่านอีกครั้ง ตอนนี้รู้แล้ว ควรเริ่มต้นสืบหาที่มาไวรัสอาคมจากไหน!



             ตั้งแต่ได้รับคำยืนยันจากพลูว่า ไวรัสอาคมจะถูกปล่อยในอีกสองวันข้างหน้า หมากก็นึกกังวลอยู่ไม่น้อยแม้เขากับเอื้อกานต์จะมีข้อสันนิษฐานตรงกัน พอเชื่อได้ว่า ไวรัสอาคมนี้จะทำร้ายเฉพาะคนที่มีจิตใจดำมืด เตรียมกระทำเรื่องร้าย ถึงอย่างนั้นใจก็ยังไม่คลายเต็มร้อย จะมั่นใจอย่างไรว่าข้อสันนิษฐานตนเองจะถูก...เพียงแค่เหยื่อสามรายมีจุดร่วมเดียวกัน คือกำลังจะฆ่า หรือทำร้ายผู้อื่นด้วยการกระทำอันรุนแรง

             หมากมีข้อมูลเกี่ยวกับเหยื่อสามรายมากพอสมควร หลังคุยกับพลูจบ เขาก็หยิบข้อมูลทั้งหมดมาวางเทียบเคียงอีกครั้ง หลังจากเคยดู ปรึกษาร่วมกับเอื้อกานต์มาแล้ว

             ครั้งนี้เขาหวังว่าจะพบร่องรอยใหม่ให้สืบสาว พบประเด็นที่เคยมองข้าม...

             แผนที่เกิดเหตุสามแห่งถูกวางตรงหน้า จุดเกิดเหตุถูกกากบาทแดงเอาไว้ มันกินอาณาเขตไม่ไกลนัก หมากใช้ดินสอลากเส้นจุดเกิดเหตุทั้งสามไปมา พบว่ามันตัดกันที่จุดหนึ่ง เป็นโรงพยาบาลที่มือปืนกับโจรปล้นร้านทองถูกส่งตัวมารักษา

             ความคิดสว่างวาบ...ไวรัสอาคม...น่าจะต้องใช้เชื้อโรคจริงจากแล็บในโรงพยาบาล แล้วนำอาคมมาควบคุม ปล่อยมันไปในอากาศ มุ่งหาเป้าหมายที่ถูกกำหนด

             มันเป็นสมมุติฐานในจินตนาการที่หมากตอบไม่ถูก เรื่องเช่นนี้จะมีมนุษย์คนไหนทำได้ และกระทำด้วยวิธีการอย่างไร

             สิ่งหนึ่งที่สนใจคือ จุดปล่อยไวรัสอาคม กับแหล่งที่มาของเชื้อโรค...มันอาจเป็นสถานที่เดียวกัน

             เขาควรไปที่โรงพยาบาลแห่งนั้นสักหน่อย...อย่างน้อยตรวจสอบสภาพศพผู้เสียชีวิตสักครั้งก็ยังดี



             โรงพยาบาล เวลาเย็น

             เอื้อกานต์จอดรถ เดินเข้าโรงพยาบาลเกือบจะพร้อมกับชายร่างสูง เคราเขียว แต่งตัวง่ายๆ ปอนๆ ทั้งสองหันมามองหน้ากัน นัยน์ตาสองคู่มองสบกัน ส่งรอยยิ้มขำขันคาดไม่ถึง

             “หมอ...” เอื้อกานต์ทักก่อน

             “หมอเอื้อ” หมากตอบรับกึ่งทักทาย

             “มาทำอะไรที่นี่!” สองเสียงดังประสาน

             นัยน์ตาพราวระยับ ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง ตามด้วยเสียงหัวเราะ สองหนุ่มสาวเข้าใจเจตนาของกันและกันโดยแทบไม่ต้องพูด

             “ผมมาดูหน้ามือปืนที่ตาย หมอเอื้อมาเรื่องเดียวกันหรือเปล่า”

             “ค่ะ...งั้นที่หมอเพิ่งมาตอนนี้ ก็เพราะเฝ้าคลินิกฯ แทนอาจารย์หมอใช่มั้ยคะ”

             “อย่างผมไม่ใช่มวยแทนแล้วละ น่าจะเป็นเวรผลัดบ่ายมากกว่า ...หมอเอื้อก็คงเพิ่งเลิกงาน?”

             “ค่ะ...วันนี้คนไข้พิเศษเข้ามาเยอะ ใจจริงเอื้ออยากมาตั้งแต่บ่ายแล้ว เพราะกลัวมาตอนเย็นเจ้าหน้าที่เขาจะกลับบ้านหมด”

             “ผมถามอาจารย์หมอแล้ว...ท่านบอกว่าที่นี่มีเจ้าหน้าที่อยู่เวร น่าจะช่วยให้ความสะดวกเราได้”

             หญิงสาวยกนิ้วให้เขา ทั้งสองมีความตั้งใจ เจตนาเดียวกัน ต่างคนต่างมาโดยไม่นัดหมาย แต่กลับเจอกัน...โดยไม่ตั้งใจ



             ห้องดับจิต อากาศเย็นจนหนาว หากเป็นคนขวัญอ่อน หวาดกลัวง่าย คงรู้สึกหนาวยะเยือกจับขั้วหัวใจ บรรยากาศอึดอัด กดดัน ครอบคลุมด้วยความรู้สึกแห่งมรณะอย่างบอกไม่ถูก

             คนตายที่ถูกแช่เย็นในตู้ ไม่ได้เป็นเพียงร่างแข็งทื่อของกระดูกและก้อนเนื้อ มันแฝงความวังเวง อ้างว้าง อาวรณ์ กลิ่นอายความเศร้าจนน่ากลัวลอยเอื่อยๆ รอบบริเวณนั้น

             ศพมือปืนถูกดึงออกมาจากตู้ให้ดูเป็นศพแรก ใบหน้าคล้ำแห้ง ผิวซีดแข็ง ดูเผินๆ ไม่ต่างจากท่อนไม้อะไรสักท่อนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์

             “คุณหมอจะเอาศพออกมาดูข้างนอกมั้ยครับ” เจ้าหน้าที่เวรถาม

             “ไม่ต้องหรอกค่ะ” เอื้อกานต์ตอบพลางหยิบถุงมือยางมาสวม

             หมากยืนอยู่ข้างๆ เขาเห็นคนตายมาไม่น้อย พบศพหลายรูปแบบตั้งแต่ศพที่เก็บรักษาอย่างดีจนถึงศพขึ้นอืดเหม็นคละคลุ้ง

             ศพแต่ละร่างมีบรรยากาศรอบข้างต่างกัน ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ท่อนไม้ ร่างกายแข็งทื่อ ตัวเย็นชืด ไม่ต่างจากซากสัตว์อื่น แต่มีบ้างที่เขารู้สึกถึงกระแสความห่วงหวง ผูกพัน วนเวียนรอบศพนั้น

             ร่างไร้วิญญาณของมือปืนตรงหน้าไม่มีกระแสความห่วงหวง ผูกพัน ไม่มีพลังงานไร้รูปวนเวียนใกล้ๆ ทว่ามันก็ไม่ใช่แค่ร่างกลวง แข็งทื่อ อย่างคนตายทั่วไป

             หมากรู้สึกได้ถึงพลังงานเล็กน้อยที่ซึมแทรกจางๆ ในร่างนั้น เป็นพลังงานที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ยามจิตเงียบสงัด ตั้งมั่น

             หลังสวมถุงมือยางเรียบร้อย เอื้อกานต์แตะใบหน้าศพ พลิกเบาๆ ก้มมองหาร่องรอยผิดปกติ ก่อนเลื่อนมือจับที่ต้นแขน ข้อมือศพ ปลายนิ้วหล่อนแตะที่ข้อมือศพนานกว่าปกติ

             “ทางเราตรวจศพละเอียดแล้วครับ ไม่มีร่องรอยอะไรเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นรอยเข็มฉีดยา หรือร่องรอยฟกช้ำจากการโดนทำร้าย” เจ้าหน้าที่รีบบอก

             “ขอบคุณค่ะ” เอื้อกานต์ยิ้มให้ ดวงตาเป็นประกาย “หมอขอดูอีกศพได้มั้ยคะ...คนที่ปล้นร้านทอง”

             “รายนั้นญาติรับตัวไปแล้วครับ”

             “อ้าว” หมากมีสีหน้าผิดหวัง

             “ไม่เป็นไรค่ะ” เอื้อกานต์ยิ้มละไม ไม่รู้สึกเสียดาย ชายหนุ่มเหลือบเห็นแววตาเธอ นึกสะกิดใจ จึงไม่เอ่ยปากซักถามต่อ

             “หมอต้องการอะไรอีกมั้ยครับ” เจ้าหน้าที่เวรถามอย่างมีน้ำใจ

             “ขอให้หมออยู่ในห้องนี้อีกสักเดี๋ยวนะคะ” คุณหมอสาวตอบ

             เจ้าหน้าที่ยกนาฬิกาขึ้นดู

             “ได้ครับ...เดี๋ยวผมจะกลับไปรอที่ห้อง หมอเสร็จธุระเมื่อไหร่แวะไปบอกได้เลย”

             “ค่ะ”

             เจ้าหน้าที่ออกจากห้องไปแล้ว เอื้อกานต์หันมาพูดกับคุณหมอหนุ่มข้างกาย

             “หมอช่วยดูต้นทางให้ทีนะ อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามา เอื้อขอเวลาไม่เกินห้านาที”

             “โอเค” หมากรับคำโดยไม่ถามรายละเอียด

             พอชายหนุ่มขยับตัวไปยืนบริเวณหน้าประตู หญิงสาวก็หันมายังมือปืนไร้วิญญาณ เมื่อครู่เธอสัมผัสพลังอาคมที่หลงเหลือได้ ต้องการอาศัยมันสืบหา ย้อนกลับยังต้นตอ เพียงแต่มีคนอื่นในห้องจะรบกวนสมาธิ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ออกไปก่อน

              เมื่ออยู่ตามลำพัง เอื้อกานต์ใช้ปลายนิ้วแตะตรงกึ่งกลางหน้าผากร่างไร้วิญญาณ หลับตาลง ระลึกถึงแสงสว่างที่ตนเองใช้ฝึกฝน เหนี่ยวนำจิตจนเกิดสมาธิ

             จิตเปิดกว้างด้วยแสงนิมิต จากนั้นเพ่งลงสู่พลังอาคมที่หลงเหลือในร่างนั้น เห็นกลุ่มอาคมเป็นควันสีเทาจางๆ จึงใช้อำนาจจิตดึงดูดให้มันรวมตัวเข้ามาจนสีเข้มขึ้น

             จากนั้นลากกลุ่มควันมาไว้ตรงหน้าผากศพ ตรงที่ปลายนิ้วแตะ อาศัยสัมผัสจากนิ้วรวมกับกำลังสมาธิเพ่งตรงกึ่งกลางควันสีเข้มนั้น

             ภาพที่ปรากฏคือเหล่าภูตผีที่เคยมารังควาน รบกวนเธอที่คอนโดฯ สัมผัสภายในบอกให้รู้ เหล่าปิศาจนี้มีส่วนในเวทมนตร์ ไวรัสอาคมที่ส่งออกมาสังหารผู้คน

             จิตเอื้อกานต์เข้าไปคลี่คลายม่านควันออก เผยให้เห็นภาพสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นยอดตึกสูง มองเห็นยอดตึกอื่นที่อยู่รายรอบ หญิงสาวคุ้นตาตึกบางแห่งในบริเวณนั้น เพียงแต่นึกไม่ออก ว่ายอดตึกที่เป็นจุดสำคัญ ศูนย์กลางนี้ คือตึกอะไร?

             ภาพนั้นปรากฏไม่นานก็กระจายหาย ควันดำสลายตัว บอกว่าพลังอาคมที่หลงเหลือกำลังกระจายหาย ไม่ก็ถูกรั้งกลับคืน

             เอื้อกานต์เหนี่ยวนำ ติดตามสายใยอาคมที่กำลังวูบหายเพื่อค้นหาต้นตอ แต่แล้วจู่ๆ สายใยกลับขาดผึง เธอคล้ายโดนผลักจนตัวเซ

             หญิงสาวลืมตา เหงื่อผุดตามไรผมทั้งที่อากาศเย็นเยียบ เธอถอนปลายนิ้วออกจากหน้าผากศพ ระบายลมหายใจยาวเพื่อผ่อนคลาย

             สถานที่ในนิมิตน่าจะเป็นลางบอกอนาคต อาจเป็นจุดปล่อยอาคมครั้งต่อไป ส่วนสายใยอาคมที่ขาดผึง อาจเป็นได้ที่เจ้าของมันรับรู้แล้วว่ามีคนไล่ตาม จึงรีบตัดกระแสเชื่อมโยงทันที



             หมากยืนอยู่หน้าประตู พอเห็นเอื้อกานต์ขยับตัว เปลี่ยนอิริยาบถ ก็เดินมาหา สีหน้าแววตาเป็นห่วง เขาไม่ถามหญิงสาวว่าเธอทำอะไร...มั่นใจ เอื้อกานต์ต้องบอกให้ทราบเอง

             “เป็นยังไงบ้างหมอเอื้อ”

             “โอเค...เราออกไปกันเถอะ อยู่นี่ไม่มีประโยชน์แล้ว” เอื้อกานต์ดันลิ้นชักศพกลับเข้าที่ เตรียมตัวออกจากห้อง

             หมากพยักหน้ารับ แต่ขณะจะพาหญิงสาวออกจากห้อง สังหรณ์เร้นลับสะกิดเตือน บอกให้รู้ถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้

             ชายหนุ่มหันมาจุ๊ปากเป็นเชิงเตือนให้หญิงสาวเงียบ จากนั้นฉุดมือเธอไปหลบข้างตู้ ด้านหลังแถวเตียงเข็นคนไข้ เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูห้องดับจิตเปิดผางออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

             สองหนุ่มสาวยืนหันหลังแนบผนังชิดข้างตู้ มองเห็นร่างสูงกำยำของชายในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เดินเข้ามาด้วยลักษณะแข็งทื่อผิดปกติ

             คุณหมอทั้งสองรู้ชัด กำลังเผชิญหน้ากับผู้ประสงค์ร้าย จึงค่อยๆ ย่อตัวลง หลบอยู่หลังแถวเตียงรถเข็น แล้วกระถดตัวทีละนิดไปทางประตูห้อง

             เจ้าหน้าที่สองนายยืนคว้างกลางห้อง เหลียวซ้ายมองขวา หาเป้าหมายที่มั่นใจว่ายังอยู่ในนี้ไม่หายไปไหน ห้องดับจิตค่อนข้างกว้าง นอกจากตู้ลิ้นชักเก็บศพจำนวนมาก ยังมีเตียงเข็นศพจอดเรียงเป็นระเบียบ ตู้เก็บอุปกรณ์ใช้งานอีกสามสี่ตู้...หมอสองคนจะหลบอยู่ตรงไหนได้?

             ร่างกำยำในชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลแยกกันเดินหาคนละด้าน หมากกับเอื้อกานต์พยายามทำตัวให้เล็กที่สุด ค่อยๆ เคลื่อนไหวแผ่วเบา เงียบกริบ ไปยังประตูห้อง

             แถวเตียงเข็นไม่ยาวนัก ไม่อาจใช้เป็นที่หลบซ่อนให้ทั้งคู่จนถึงประตูห้อง ดังนั้นพอสบจังหวะที่เจ้าหน้าที่สองคนหันไปทางอื่น สองหนุ่มสาวก็รีบเผ่นพรวดไปยังประตูอย่างรวดเร็ว

             พวกเขามั่นใจว่าตนเองรวดเร็วแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับรวดเร็วกว่า สวนทางกับท่าทางแข็งทื่อเมื่อครู่ เจ้าของร่างกำยำกระโจนกันมาจากคนละทิศ และดักสองคุณหมอไว้ทันก่อนถึงประตูพอดี

             “มีธุระอะไรกับหมอเหรอคุณ” หมากแกล้งถามหยั่งท่าที

             ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบ แค่หันมาประจันหน้าด้วยนัยน์ตาเหลือกกลับ สีขาวโพลน!

             “น่าจะไม่สบายเนอะ...หรือว่า...ไม่ใช่คน” หมากตกใจชั่ววูบ ก่อนแสร้งพูดมีอารมณ์ขัน

             “คนค่ะ” เอื้อกานต์บอกอย่างมั่นใจ “แต่น่าจะโดน...ผีสิง”

             การโดนภูตผีปิศาจรังควานคราวก่อน ทำให้หาคำตอบครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว

             ต่อให้ไม่มีสัมผัสพิเศษ รับรู้พลังควบคุมจากเหล่าปิศาจ ภูตผี แค่เห็นลักษณะท่าทางแข็งทื่อ นัยน์ตาขาวเหลือกโพลงแบบนี้ คงไม่มีใครคิดเป็นอย่างอื่นแน่

             “ทำไงดี” หมากถามความเห็น เมื่อพบว่าคนผีสิงทั้งคู่ยังยืนนิ่ง ปิดทางออกโดยไม่แสดงท่าทีอะไร

             “ถามเขามั้ย ว่าต้องการอะไร” เอื้อกานต์แกล้งตอบ ทั้งที่รู้ว่าไม่จำเป็น

             “ตาเหลือกขาวแบบนี้ ลิ้นคงจุกปากด้วย น่าจะพูดไม่ออกหรอก”

             หมากวิเคราะห์ขัน ๆ ขณะสติ ร่างกายเตรียมพร้อมรับศึกร้อยเปอร์เซ็นต์

             สองร่างนั้นพูดไม่ได้ก็จริง แต่สามารถคุกคามทำร้ายสองหนุ่มสาว ทันทีที่ได้รับสัญญาณพิเศษ ไร้เสียง พวกมันก็เริ่มขยับตัว ย่างเข้าหาด้วยท่าทีประสงค์ร้าย

             ก้าวย่างพวกมันไม่เร็วนัก ทว่ามือที่ไขว่คว้ามากลับเร็วกว่า ต่างคนแยกตะปบสองหนุ่มสาวชนิดไม่ยอมให้หลุดมือ

             เอื้อกานต์และหมากกระโจนหลบคนละทาง ร่างผีสิงก็แยกกันตามติดเช่นกัน

             หมากแสดงออกถึงฝีมือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอย่างคล่องแคล่ว ช่ำชอง อาศัยการหลบหนีเพื่อตั้งหลัก ก่อนเข้าปะทะคู่ต่อสู้ผีสิงรวดเร็ว ฉับไว สมกับเคยผ่านการเป็นแพทย์ในสถานที่อันตรายต่างแดนมาแล้ว

             น่าเสียดาย คู่ต่อสู้เขาไม่ใช่คนธรรมดา ขนาดโดนหมัด เข่า ศอก ไปหลายดอก ยังยืนนิ่ง หนำซ้ำกำลังเรี่ยวแรงตอบโต้ไม่ลดถอยลงเลย

             หมากเริ่มหนักใจ เขาต้องการโค่นคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยเหลือเอื้อกานต์ เกรงว่าหากชักช้า หญิงสาวจะเป็นอันตราย

             ชายหนุ่มประเมินหญิงสาวที่มาด้วยกันต่ำเกินไป เอื้อกานต์ไม่ใช่นักสู้หญิงฝีมือฉกาจ แต่รับรอง ไม่ใช่สาวน้อยอ่อนแอ หวังพึ่งผู้ชายอย่างเดียวแน่

             เอื้อกานต์หลบหลีกการเข้าชาร์ตทำร้ายจากเจ้าหน้าที่ผีสิงโดยไม่เอาตัวเข้าปะทะ อาศัยเตียงเข็นเป็นเกราะกำบัง เข้าชนต่อสู้ ป้องกันตัว ใช้สติ สายตาคมฉับไว หาช่องว่าง จังหวะ เพื่อหลบหนีจากห้องดับจิต ระยะเวลาสั้นๆ เจ้าผีสิงตนนี้ยังไม่สามารถทำร้ายเธอ

             หมากยังล้มคู่ต่อสู้ไม่ได้ เขาคิดแผนสอง หาวิธีเปิดโอกาสให้เอื้อกานต์หนี โดยสู้พลางถอยพลางไปทางคู่ต่อสู้ของเอื้อกานต์ กระตุ้นความสนใจให้มันหันมาเผชิญหน้ากับเขา สร้างช่องทางหลบหนีแก่หญิงสาว

             เสียงโครมคราม เคร้งคร้าง ตึงตังดังเป็นระยะ แต่ความที่ห้องดับจิตอยู่ไกลจากห้องอื่น จึงไม่มีใครได้ยิน หนุ่มสาวจำต้องหาทางเอาตัวรอดกันตามลำพัง

             หมากทำสำเร็จ เขาเข้าชาร์ตร่างผีสิงที่คุกคามเอื้อกานต์จนมันผงะ หันมาทางเขาพร้อมกับพุ่งใส่ ชายหนุ่มอาศัยหนึ่งคนต้านรับเจ้าหน้าที่ผีสิงทั้งสองโดยไม่เกรงกลัว

             เอื้อกานต์เข้าใจเจตนาชายหนุ่ม จึงรีบกระโจนไปที่ประตู ตั้งใจวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อเรียกคนอื่นให้มาช่วยเหลือ

             ทว่า...เพียงเอื้อมมือจับลูกบิด ยังไม่ทันดึงประตูเปิด ร่างผีสิงหนึ่งในสองหันมาเห็นก็พุ่งเข้าใส่ พร้อมตะปบข้อมือเธอทันที

             เอื้อกานต์สะบัดข้อมือออกตามสัญชาตญาณ ใช้เรี่ยวแรงมากกว่าปกติ พอข้อมือหลุด จึงยังมีแรงส่งเหลือ ทำให้ตวัดไปโดนหน้าเจ้าหน้าที่ผีสิงเต็มแรง

             “...อ๊ากกกก...” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ก่อนร่างนั้นจะล้มตึงเหมือนตุ๊กตาลานขาด

             หญิงสาวชะงัก ยืนงงชั่วขณะ ก่อนยกมือตนเองขึ้นมาดู มองเห็นสร้อยข้อมือลูกปัดใสเปล่งประกายสีแดงจ้า เข้าใจทันทีว่าเมื่อครู่ สิ่งใดปะทะหน้าคนผีสิงตนนั้น

             โดยไม่เสียเวลาสงสัย ตั้งคำถามมากมาย เอื้อกานต์ถอดสร้อยข้อมือมากำไว้ กระโจนเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ผีสิงซึ่งกำลังตะลุมบอนกับหมอหมากทันที

             พอได้ระยะ หญิงสาวก็ใช้สร้อยในมือฟาดลงตรงกลางหน้าผากฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

             “...อ๊ากกกก...” เสียงร้องดังไม่ต่างจากรายแรก เจ้าตัวล้มตึงทันทีโดยไม่มีใครผลัก

             หมากยืนหอบหายใจถี่ หนัก มองการกระทำของหญิงสาวอย่างแปลกใจ ไม่เชื่อสายตา

             “ผมเพิ่งรู้ หมอเอื้อก็มี ‘ของดี’ กับเขาเหมือนกัน” เหนื่อยขนาดนี้ชายหนุ่มยังมีอารมณ์ขัน

             เอื้อกานต์ยกสร้อยข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง ประกายสีแดงหายไปแล้ว เหลือแค่ความใสขุ่นของลูกปัดธรรมดา

             “เอื้อก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่า สร้อยที่คุณผกาแก้วให้มา จะใช้ประโยชน์แบบนี้ได้ด้วย”

             “คงเป็นเครื่องราง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแก...ให้หมอเอื้อด้วยความเคารพ สำนึกบุญคุณน่ะ”

             หมากพูดอย่างไม่รู้สึกแปลกใจ เอื้อกานต์จึงสลัดความสงสัยทิ้งไป

             “ดูอาการพวกเขาหน่อยดีมั้ย เผื่อเป็นอะไรไป” ถึงตอนนี้เอื้อกานต์ยังมีจิตใจเป็นห่วงเจ้าหน้าที่เคราะห์ร้าย

             หมอหมากไม่ขัด คุณหมอทั้งสองต่างแยกกันดูอาการเจ้าหน้าที่เคราะห์ร้าย ...สองสามนาทีผ่านไป หมากค่อยเอ่ยปาก

             “ไม่น่าเป็นอะไรหรอกหมอเอื้อ คงสลบไปเฉยๆ ดูจุดที่ล้มแล้ว ไม่น่ากระแทกอะไรรุนแรง เดี๋ยวผมอุ้มขึ้นเตียงให้นอนพักผ่อนอยู่นี่ก่อนแล้วกัน”

             ชายหนุ่มพูดจบก็ลงมืออุ้มเจ้าหน้าที่ร่างกำยำทั้งสองขึ้นมานอนบนเตียงทีละคน ดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขากลับทำได้โดยไม่ลำบากทุลักทุเล

             เอื้อกานต์เห็นแล้วนึกขัน แอบคิดต่อไม่ได้ หากเจ้าหน้าที่สองคนนั่นฟื้นขึ้นมา แล้วพบตัวเองนอนอยู่ในห้องดับจิต อาจตกใจจนช็อกตายก็ได้

             “หวังว่าฟื้นมาคงไม่ช็อกตายก่อนนะ” หมากหยอกเล่น หลังจากเสร็จภารกิจ

             “เราจะปล่อยให้เขานอนที่นี่จริงหรือ” เอื้อกานต์ชักเป็นห่วง

             “ขืนเข็นออกไป จะเป็นปัญหามากกว่านี้นะหมอเอื้อ เจ้าหน้าที่สองคนนี่คงไม่รู้หรอกว่าตัวเองโดนผีสิงแล้วทำอะไรไปบ้าง”

             “นั่นสิ” หญิงสาวยอมรับ “แล้วเอายังไงต่อ”

             “หาที่คุยกันก่อน” หมากเสนอ

             “ที่ไหนดี” เอื้อกานต์ถาม

             “ข้างบนไง” ชายหนุ่มชี้มือขึ้นเหนือหัว

             หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัย

             “บนดาดฟ้าโรงพยาบาลนี้ไงครับ” หมากเฉลย

             เอื้อกานต์พยักหน้ารับ ทั้งที่สงสัย ...ที่อื่นมีตั้งเยอะ ทำไมถึงเลือกคุยกันต่อที่โรงพยาบาลแห่งนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP