วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๓


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             เขามีความลับที่ไม่เคยบอกใคร...ความลับที่ยากจะมีคนเชื่อ แม้กระทั่งตนเอง!

             แพทย์หนุ่มเชื่อว่าตนเองสามารถติดต่อกับ ‘พลู’ น้องชายฝาแฝดที่เสียชีวิตไปเกือบยี่สิบปีได้

             พลูจะมาในเวลาที่เขาจิตใจสงบเพียงพอ

             พลูจะพูดคุยตอบคำถามเท่าที่อยากตอบ

             บางครั้งพลูอาจทัก หรือเตือนเขาก่อนเหตุการณ์ฉุกเฉินบางเรื่อง เช่นล่าสุด ตอนอยู่คลินิกคนยาก ระหว่างนั่งอ่านการ์ตูน เสียงของพลูก็ดังเข้ามาในหัวด้วยถ้อยคำสั้นๆ

             “งานเข้า”

             ทำให้เขาเตรียมพร้อมรับคนไข้ฉุกเฉินได้ทันท่วงที

             ไม่ว่าจะเป็นเมืองไทย หรือที่ไหนในโลก หมอหมากสามารถติดต่อกับพลูได้...เท่าที่อีกฝ่ายพอใจ

             หากพูดในแง่ของนักจิตวิทยา ก็อาจบอกว่าเขากำลังคุยกับจิตใต้สำนึกของตนเอง

             หากพูดในแง่ของนักไสยศาสตร์ ก็คงบอกว่าเขาสามารถติดต่อกับวิญญาณคนตาย

             สำหรับตัวเขา ไม่เคยสนใจ ไม่เคยวินิจฉัยตนเองไปในทางใดทั้งนั้น หมอหมากเชื่อว่าเขามีสติเต็มร้อย ชัดเจนขณะพูดคุยกับพลู

             ไม่ว่าเขาจะสามารถสื่อสารกับพลูด้วยเหตุใด นั่นก็เป็นสิ่งที่พึงพอใจแล้ว เพราะทำให้เขาไม่รู้สึกเดียวดายอ้างว้างอย่างที่เคยเป็น นับแต่น้องชายฝาแฝดที่เป็นเสมือนส่วนหนึ่งในชีวิตได้ตายจากไป

             และชายหนุ่มยิ่งแปลกใจแกมยินดีกว่านั้น เมื่อได้ทราบว่า เอื้อกานต์ คุณหมอสาวที่เขาสนใจ มีน้องชายฝาแฝดเช่นเดียวกัน

             ...มันเป็นความบังเอิญ หรือกรรมจัดสรร ที่ทำให้พวกเขาได้มาพบกัน?...



             ในห้องพักแพทย์

             รายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้ที่เพิ่งรอดชีวิตหวุดหวิดเมื่อวาน วางอยู่ตรงหน้าเอื้อกานต์และหมอหมาก มีพยาบาลซึ่งทำหน้าที่ซักประวัติคนไข้นั่งอยู่ด้วย คอยให้รายละเอียดเพิ่มเติม

             ชื่อผู้ป่วย – ผกาแก้ว อายุ – ๓๒ สถานภาพ – สมรส สุขภาพทั่วไป – แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว

             เหตุที่เข้าโรงพยาบาล – เกิดอาการช็อคที่หน้าตึกอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง

             ข้อมูลต่อจากนี้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจของแพทย์ทั้งสองนัก อ่านคร่าวๆ เพียงครู่เดียวก็จบ เงยหน้าถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากพยาบาล

             “คนไข้บอกมั้ยว่าติดเชื้อไข้เลือดออกมาจากไหน” เอื้อกานต์ถามทั้งที่ไม่อยากเชื่อในผลเลือดครั้งที่สอง

             “ไม่ทราบค่ะ แกบอกว่าปกติไม่ค่อยไปในที่มียุงชุมอยู่แล้ว ในบ้านก็ติดมุ้งลวดป้องกันยุงเหมือนที่อื่น”

             หญิงสาวเคาะนิ้วเบาๆ บนผลรายงาน ก่อนเริ่มคำถามใหม่

             “ก่อนคนไข้จะช็อค เขาบอกมั้ยว่ามีอาการเริ่มต้นยังไง”

             “เห็นบอกว่าเวียนหัว มึนเบลอ จู่ๆ ก็เหมือนเห็นหน้าใครสักคน แล้วเกิดอาการสั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนมีมดหรือตัวอะไรเล็กๆ แห่เข้าไปกัดกินภายในตัวแกเต็มไปหมด เจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหว เลยหมดสติไป”

             ...เห็นหน้าใครสักคน? เอื้อกานต์พึมพำสงสัยในใจ นิ่งอั้นโยงเรื่องไม่ถูกระหว่างข้อสงสัยใหม่กับอาการของโรคว่าควรเกี่ยวข้องกันอย่างไร

             คนที่ตั้งคำถามคือแพทย์หนุ่มที่อ่านรายละเอียดด้วยกัน

             “คุณผกาแก้วเป็นคนยังไงน่ะ” หมอหมากเปรยขึ้นกึ่งเอ่ยถาม

             เอื้อกานต์มองหน้าคุณหมอหนุ่ม นึกแปลกใจกับคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาการของโรค

             “เอ๋...เป็นคนยังไงหนูก็ตอบไม่ถูกนะคะ เท่าที่คุยกัน ก็ดูปกติดี แค่ดูเหม่อๆ ซึมๆ” พยาบาลตอบอย่างงงๆ

             “ตอนนี้มีใครมาเยี่ยมแกบ้าง” หมอหมากเปลี่ยนคำถาม

             “เมื่อเย็นวานเห็นสามีแกมาดูๆ อยู่ แต่คนไข้ยังหลับเลยกลับไป” พยาบาลตอบ

             “เขาฝากอะไร หรือพูดอะไรไว้มั้ย”

             “ไม่ค่ะ” พยาบาลตอบ มองคุณหมออย่างสงสัย เหตุใดตั้งคำถามเหล่านี้

             พอฟังถึงตรงนี้เอื้อกานต์ก็ฉุกใจ เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างรางๆ

             เธอเชื่ออยู่แล้วว่าคนป่วยรายนี้ไม่ได้เจ็บไข้จากเชื้อโรคไวรัสอย่างเดียว ต้องเกี่ยวข้องกับอาคม มนตร์ดำที่ยากอธิบายด้วย

             พอนึกถึงคำถามที่ว่า ‘คนป่วยเป็นคนยังไง’ ก็ทำให้นึกได้ การโดนอาคมจากพวกเล่นของแบบนี้ แสดงว่าตัวคนป่วยอาจเคยสร้างความเจ็บแค้นกับใครบางคนอย่างรุนแรง

             ในหัวหญิงสาวมีร่องรอยให้จับเค้าได้ แล้ววกกลับย้อนคิด...ทำไมหมอหมากถึงตั้งข้อสงสัยเช่นนี้ หรือเขาก็รู้เรื่องอาคม มนตร์ดำเช่นกัน

             เหลือบตามองนายแพทย์หนุ่มที่นั่งข้าง สีหน้า ท่าทาง แววตาเขา ดูเหมือนไม่สนใจใส่ใจอะไรจริงจัง...ทว่าการแสดงออกกับตัวตนแท้จริงข้างในอาจขัดกัน

             เพราะถ้าเขามีข้อสงสัยแบบเดียวกับเธอ แสดงว่าเขาน่าจะมีสัมผัสพิเศษเหมือนกัน!

             เอื้อกานต์ขยับปากจะเอ่ยถามข้อติดค้างใจนี้ ก็พอดีได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง พร้อมกับที่บานประตูเปิดออก

             “สวัสดีค่ะอาจารย์”

             เอื้อกานต์เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามาในห้อง คืออาจารย์หมอ เจ้าของคลินิกคนยาก

             “สวัสดีครับ” หมอหมากทักทายตาม

             พอพยาบาลเห็นหมอใหญ่เข้ามา ท่าทางมีเรื่องต้องการคุยกับคุณหมอทั้งสอง จึงส่งสายตาเป็นเชิงขออนุญาตกับเอื้อกานต์ ก่อนจะเลี่ยงออกจากห้อง



             “อาจารย์มาถึงที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถาม เพราะปกติอาจารย์หมอจะอยู่โรงพยาบาลใหญ่ในมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นศูนย์การแพทย์และแล็บต่างๆ

             “หรือว่าอาจารย์จะมีสัมผัสที่หก รู้ว่าผมแอบมาจีบหมอเอื้อ เลยรีบมากีดกัน” หมอหมากแหย่อย่างคนมีอารมณ์ขัน

             ผู้อาวุโสหัวเราะ ไม่ถือสา ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าสองหนุ่มสาว

             “ได้ยินว่าที่นี่มีคนไข้อาการแปลกๆ เข้ามาใช่มั้ย” อาจารย์หมอเข้าสู่คำถามทันที

             “ค่ะ” เอื้อกานต์ตอบรับ

             “คนไข้อยู่โรงพยาบาลมากี่วันแล้ว”

             “ถ้านับจากวันที่เข้ามา นี่ก็วันที่สามแล้วค่ะ”

             “อาการผู้ป่วยตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

             “พ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ เมื่อเช้าสามารถพูดคุย ตอบคำถามพยาบาลได้แล้ว” เอื้อกานต์ตอบพลางมองอาจารย์หมออย่างสงสัย

             หมอใหญ่นิ่งอั้น คิ้วขมวดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปาก

             “ผลเลือดเป็นยังไงบ้าง”

             เป็นคำถามที่เอื้อกานต์ลำบากใจจะตอบ

             “เจาะครั้งแรก เอื้อเห็นว่ามันแปลกๆ เลยส่งไปให้ทางศูนย์ฯ ตรวจสอบ ยืนยันอีกที แต่เมื่อวานนี้ หลังจากเจาะเลือดอีกครั้ง พบว่าเป็นแค่เชื้อไข้เลือดออก เอื้อเลยรักษาด้วยการปรับสารน้ำ จนพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ”

             หญิงสาวหมายถึงการรักษา ด้วยการปรับสายน้ำเกลือ ตามความเข้มข้นของเลือด ซึ่งอาจารย์หมอเข้าใจดี แต่ก็ยังมีคำถามตามมา

             “แค่เชื้อไข้เลือดออกเท่านั้นหรือ?” อาจารย์หมอถามย้ำ

             “ค่ะ” เอื้อกานต์จำเป็นต้องยืนยันตามข้อพิสูจน์ทางการแพทย์

             “ทำไมผลเลือดตอนแรกถึงเป็นไวรัสชนิดใหม่ ไม่ทราบชื่อ แล้วตอนหลังกลับกลายพันธุ์ เป็นแค่เชื้อไข้เลือดออกได้”

             เอื้อกานต์อยากตอบว่า “ไม่ทราบ” ปากกลับพูดไม่ออก ในเมื่อใจรู้เสียแล้วว่าเจ้าไวรัสไม่ทราบชื่อนั้นมันถูกควบคุม บิดเบือน ด้วยพลังงานบางอย่าง พอเจ้าพลังควบคุมนั้นหมด ก็กลับไปเป็นเชื้อไข้เลือดออกตามปกติเท่านั้นเอง

             “อาจารย์หมอสงสัยอะไรตรงไหนหรือคะ” หญิงสาวย้อนถามแทนการตอบ

             “เมื่อวันก่อน...นอกจากโรงพยาบาลเธอจะส่งเลือดไปให้แล็บของศูนย์ฯ ตรวจสอบแล้ว ก็ยังมีโรงพยาบาลใกล้ๆ กันนี้ ส่งเลือดไปให้ตรวจสอบอีกสองราย”

             “แล้ว...” หญิงสาวอยากรู้

             “ผลเลือดผู้ป่วยสองรายนั่นมีเชื้อไวรัสไม่ทราบชื่อ ลักษณะเดียวกับคนป่วยที่นี่เหมือนกัน”

             “ตอนนี้คนป่วยสองรายนั้นเป็นยังไงบ้างครับ” หมอหมากเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

             “เสียชีวิตตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้แล้ว” อาจารย์หมอตอบ

             “ทั้งคู่?”

             “ใช่...ทั้งคู่”

             คำตอบที่ได้ทำให้สองหนุ่มสาวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน...ถ้าหากเอื้อกานต์ไม่สามารถเอาชนะพลังควบคุมไวรัสนั้นได้ คนป่วยที่นี่คงเสียชีวิตเช่นกัน

             “อาจารย์เห็นผลเลือดที่เราส่งไปตรวจเลยมาที่นี่หรือคะ” เอื้อกานต์ถาม

             “ใช่” ผู้อาวุโสตอบ แววตาครุ่นคิด “เพราะนอกจากผลเลือดในตอนแรกจะเหมือนกันแล้ว หลังจากผู้ป่วยเสียชีวิตก็ได้มีการตรวจสอบอีกครั้ง ปรากฏว่าเจ้าไวรัสประหลาดนั่นมันกลับกลายพันธุ์เป็นแค่เชื้อไข้เลือดออกธรรมดา เหมือนคนไข้ที่นี่เช่นกัน!”

             สองหนุ่มสาวฟังแล้วสังหรณ์ใจแปลกๆ

             “พอคุยกับพวกเธอถึงตรงนี้ ฉันเลยสงสัยว่า เมื่อวาน พวกเธอรักษาคนไข้กันแบบไหน ถึงสามารถช่วยให้เขารอดชีวิตได้”

             หมอใหญ่ตั้งคำถามที่ยากจะตอบ เอื้อกานต์อยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก ไม่รู้ควรพูดอย่างไร คนที่ช่วยกู้สถานการณ์กลับเป็นหมอหมากที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย

             “เอ่อ...อาจารย์ครับ แล้วทางโรงพยาบาลนั้นเขาทราบประวัติคนไข้ที่ตายเพราะเจ้าไวรัสทั้งสองรายนั่นหรือยัง พวกเขาเป็นใคร มาจากไหน ติดเชื้อได้ยังไง”

             “อืม...” อาจารย์หมอตอบรับเบาๆ ก่อนอธิบาย “ผู้ตายทั้งสองรายเป็นผู้ชาย ทางตำรวจช่วยสืบประวัติคร่าวๆ ให้แล้ว...รายหนึ่งเป็นมือปืน ค่าหัวแพง ส่วนอีกราย เป็นอาชญากรที่เคยมีคดีปล้น ชิงทรัพย์ ข่มขืนมาแล้ว!”

             ได้ยินอย่างนี้ แทนที่คุณหมอหนุ่มสาวจะมุ่งประเด็นไปยังที่มาของเจ้าไวรัสประหลาด และหาหนทางรักษา พวกเขากลับตั้งข้อสงสัยไปยังผู้ป่วยที่รอดชีวิตขณะนี้

             ผกาแก้ว...เธอมีที่มา เบื้องหลังอย่างไร ก่อนจะมาช็อคที่หน้าอาคารสำนักงานนั่น

             หากได้ประวัติ ที่มาที่ไปของผู้ป่วยรายนี้ และสามารถเชื่อมโยงกับผู้ตายอีกสองรายได้...บางที พวกเขาอาจได้รู้จักเงาของฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นได้







บทที่ ๓



             ฮันเตอร์ คิม อยู่ที่ไหน?

             เป็นคำถามที่ทรงกลดครุ่นคิดซ้ำซาก เขาจำเป็นต้องติดตาม ค้นหาผู้เป็นอาจารย์ เพื่อคลี่คลายปริศนาไวรัสอาคมเหล่านั้น เขาต้องการการยืนยันให้แน่ใจว่า ผู้ปล่อยอาคมร้ายนี้เป็น ฮันเตอร์ คิม จริงหรือไม่

             ถ้าใช่...ก็ต้องถามสาเหตุ ที่มาที่ไปกันอย่างชัดเจน ว่าทำไมอาจารย์ถึงทำเช่นนี้ สุดท้ายคงขอร้องให้หยุด

             ถ้าไม่ใช่...เขาต้องรีบหาวิธีป้องกัน คุ้มครองเอื้อกานต์โดยเร็ว พร้อมกับยับยั้งไม่ให้ผู้ร้ายรายนี้ปล่อยไวรัสอาคมครั้งที่สอง

             การตามหา ฮันเตอร์ คิม ไม่ใช่เรื่องง่าย มือระดับผู้ทรงอาคมกล้าเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเร้นกาย หลบซ่อนในสถานที่ลึกลับแห่งไหน หากไม่ต้องการให้ใครรู้ร่องรอย ต่อให้มายืนต่อหน้า ห่างกันแค่คืบเดียว ผู้ค้นหาก็ยังไม่อาจรู้ได้

             ฮันเตอร์ คิม อาจเป็นใครก็ได้ เป็นอะไรก็ได้อย่างแนบเนียนกลมกลืน ฉะนั้น หากจะตามหาบุคคลนี้ ต้องมองเข้าไปในจิตใจเขา...ยามนี้ผู้เป็นอาจารย์รู้สึกเป็นสุข พอใจกับสภาพแวดล้อมใดมากที่สุด



             เช้ามืด...ร้านกาแฟชาวบ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านตึกแถว ชุมชนคนค้าขาย

             กาแฟที่ชงเป็นแบบโบราณ ใช้หม้อต้มน้ำ ถุงกาแฟสีน้ำตาลแก่บ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมาไม่น้อย กลิ่นกาแฟหอมฉุย คละเคล้ากลิ่นปาท่องโก๋ตัวเล็กทอดวางในถาด พร้อมเสิร์ฟเป็นเครื่องเคียง

             ฟ้ายังไม่สว่างนัก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นอาแปะแก่ๆ นั่งจิบกาแฟพูดคุยกับคนรุ่นเดียวกัน ในร้านมีโต๊ะว่างเหลืออยู่อีกหลายตัว

             ลูกค้ามาใหม่เป็นชายหนุ่ม ผิวขาวจัด โครงหน้าคมอย่างพวกแขก นัยน์ตาโตกลมลึก จมูกเป็นสันสวยสะดุดตา รูปร่างสูงผอม ดูเด่นกว่าคนทั่วไป

             ทว่า...ขณะเขาเดินเข้ามานั่งในร้าน ลูกค้าและคนบริเวณนั้นไม่มีใครสนใจมองชายหนุ่มผู้สะดุดตาคนนี้เลยสักคน

             ครั้งหนึ่งทรงกลดเคยปลอมแปลงโฉมไม่ให้คนทั่วไปจดจำใบหน้าที่เด่นสะดุดตาของเขาได้ ยามนี้ไม่จำเป็น เพราะไม่ว่าเขาจะมาสภาพไหน ก็สามารถใช้อาคมอำพราง ทำให้ผู้คนรอบตัวละเลยที่จะสนใจมอง หรือจดจำใบหน้าเขาได้

             เขานั่งในร้านกาแฟโดยไม่สนใจสั่งกาแฟ เจ้าของร้านก็ไม่เข้ามาถามไถ่ คล้ายลูกค้ารายใหม่ไม่มีตัวตน ทรงกลดใช้สายตากวาดรอบตัว แผ่กระแสสัมผัสทางใจออกกว้าง รับรู้ถึงคลื่นความเป็น ฮันเตอร์ คิม เลือนราง บอกว่าอีกฝ่ายเคยมานั่งดื่มกาแฟที่นี่หลายครั้งแล้ว

             พอรับกระแสของผู้เป็นอาจารย์ได้ เขาก็ใช้จิตเข้าไปแนบกับกระแสความเป็น ฮันเตอร์ คิม ล่าสุด เพื่อสืบเสาะ ควานหาที่อยู่ปัจจุบันของบุคคลผู้ชำนาญการเร้นกายนี้

             แต่แล้ว...อาแปะที่นั่งจิบกาแฟโต๊ะใกล้ๆ ก็ลุกขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เดินมานั่งร่วมโต๊ะเดียวกับเขาโดยไม่ได้เชื้อเชิญ

             ทรงกลดถอนจิตออกมารับรู้ถึงชายชราตรงหน้า อาแปะจ้องหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาไม่มีความรู้สึกรับรู้ บ่งบอกชัดเจนว่าโดนสะกด

             “อย่าเสียเวลาเลยไอ้หนุ่ม” คำพูดชัด ไม่มีเสียงแปร่ง “เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรอก”

             ชายหนุ่มเพ่งเข้าไปยังดวงตาที่เหม่อลอย พยายามเกาะกระแสพลังที่ควบคุมชายชราจากระยะไกลนี้เพื่อสืบเสาะหาตัวตน ที่อยู่ ของผู้สะกด

             ทว่า เขากลับพบความว่างโล่งตรงหน้า...ไม่มีพลังควบคุมให้เขาสืบเสาะได้เลย!

             ทรงกลดเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อ พลังของผู้สะกดอาแปะลึกล้ำถึงขั้นไร้ร่องรอยให้สืบสาว ถ้าเป็นฝีมืออาจารย์ แสดงว่า ฮันเตอร์ คิม ก้าวหน้าลึกล้ำกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอหลายช่วงตัว

             “มีอะไรจะบอกผมอีกมั้ย” เขาทำได้เพียงเอ่ยปากถามตรงๆ

             รอยยิ้มยังไม่จางจากใบหน้าอาแปะ

             “อาคม...ถ้าไม่หมั่นฝึกฝน ทบทวน ก็มีแต่จะเสื่อมถอย คอยช่วยเหลือคนอื่นอย่างนี้มันก็ไม่เลว แต่ถ้าตัวเองไม่พัฒนาฝีมือขึ้น มันก็แย่”

             เพียงเท่านี้ ทรงกลดก็ได้คำตอบ ใครคือผู้สะกดอาแปะ

             นอกจาก ฮันเตอร์ คิม ไม่มีบุคคลที่สองจะมาสั่งสอนเขาแบบนี้!

             “ผมอยากทราบว่าใครเป็นคนปล่อยอาคมร้ายในสองสามวันมานี้ ใช่อาจารย์หรือเปล่า?”

             ชายหนุ่มเอ่ยถาม ทั้งที่ไม่แน่ใจอีกฝ่ายจะยอมตอบ

             “จำเจตนารมณ์ของ ฮันเตอร์ คิม ได้มั้ย”

             คำถามกลับเล่นเอางงงันชั่วครู่ ไม่เข้าใจ ทำไมอีกฝ่ายถึงถามมาเช่นนี้ แต่เมื่อถามมาแล้ว เขาก็จำเป็นต้องตอบ

             “...ฆ่าคนชั่วที่หลงในอำนาจ...พวกที่ใช้อำนาจของตัว ข่มเหง ทำร้ายคนอื่น เหล่านี้ให้หมดไปจากโลก...”

             ทรงกลดตอบ...ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว ประกายความเข้าใจฉายวับในแววตา

คำถามที่กลับมานั้น คือคำตอบที่เขาต้องการ

             เจตนารมณ์ นิสัยของ ฮันเตอร์ คิม เป็นอย่างไร เขาเข้าใจกระจ่างกว่าใคร และเหตุร้ายที่เกิดขึ้น มันสอดคล้องกับความต้องการของผู้เป็นอาจารย์หรือไม่

             เขาทราบคำตอบเรียบร้อยแล้ว



             เมื่อเปิดประตูเข้าห้องผู้ป่วย สิ่งแรกที่เอื้อกานต์สัมผัสได้ คือบรรยากาศมึนซึม หดหู่ เห็นคนไข้นอนลืมตาเหม่อมองดูเพดานอยู่บนเตียง อย่างคนที่จมอยู่กับความคิดย้ำ ซ้ำซาก

             คุณหมอก้มดูชาร์ตในมืออีกครั้ง แน่ใจว่าตนเองรู้รายละเอียดสำคัญของคนไข้พอสมควรแล้ว ที่เข้ามาคุยครั้งนี้ก็เนื่องจากได้ข้อมูลพิเศษมาใหม่ ซึ่งพยาบาลมาบอกหลังจากอาจารย์หมอกลับไปแล้ว

             ข้อมูลใหม่ทำให้หญิงสาวจำเป็นต้องมาคุยด้วยตัวเอง

             คนไข้พอรู้ตัวว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ก็หันมามอง เอื้อกานต์ส่งรอยยิ้มอ่อนโยน มีไมตรีให้

             “สบายขึ้นหรือยังคะ คุณผกาแก้ว” เอื้อกานต์เอ่ยถาม ก่อนดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง

             “ค่ะ คุณหมอ” คำตอบสั้น

             “วันนี้มีใครมาเยี่ยมบ้างหรือยังคะ” รอยยิ้มยังไม่จาง น้ำเสียงอบอุ่นเป็นกันเอง

             “ใครจะมาเยี่ยมฉันล่ะคุณหมอ” วาจาห้วนแกมประชด น้อยใจ

             “เอ...เห็นพยาบาลบอกหมอว่า เมื่อเย็นวาน สามีคุณแวะมาเยี่ยมนะคะ แต่เห็นคุณยังหลับอยู่ เลยกลับไปก่อน”

             “หึ...มันคงจะมาดูว่าฉันตายรึยังมากกว่า ไอ้ผัวเฮงซวยพรรค์นั้น” น้ำเสียงตอบกลับ บอกความรู้สึกชัดเจน

             เอื้อกานต์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน จิตที่ถูกฝึกให้สงบ ตั้งมั่นเป็นประจำ ช่วยให้สัมผัสความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามง่ายขึ้น นอกจากนี้ น้ำเสียงที่แค้นเคือง เจ็บช้ำ ทำให้เห็นนิมิตในใจผกาแก้วเป็นเหมือนไฟรุมสุมขอน รุ่มร้อน กระสับกระส่าย มีภาพร้ายๆ ปรากฏขึ้นเป็นแวบๆ พอให้ปะติดปะต่อเรื่องได้

             “หมอดีใจนะคะที่คุณรอดมาได้” เอื้อกานต์ใช้เมตตาเจือในคำพูด หวังช่วยลดความร้อนรนในใจคู่สนทนา

             อีกฝ่ายไม่ตอบคำ ไม่แสดงความรู้สึกด้านดีหรือร้ายต่อวาจานั้น

             “เห็นพยาบาลบอกว่า ก่อนคุณจะช็อคหมดสติ ที่หน้าตึกนั่น คุณเห็นหน้าใครคนหนึ่ง แล้วรู้สึกเหมือนมีมด หรือพวกสัตว์เล็กๆ เข้ามาชอนไชในร่าง คุณพอจะจำได้มั้ยคะว่าคนที่คุณเห็น เขาได้ทำอะไรคุณหรือเปล่า” เอื้อกานต์ตั้งคำถาม

             “ไม่ค่ะ” ผกาแก้วตอบสั้น

             “คนที่คุณเห็นนั้น หน้าตา ลักษณะท่าทางเป็นยังไง เคยเจอกันมาก่อนไหมคะ” คุณหมอตั้งข้อสงสัยถึงบุคคลปริศนารายนี้

             คนป่วยถอนใจเฮือกใหญ่ คร้านจะทบทวนความจำเพื่อตอบคำถาม

             “ไม่เคยรู้จักกันเลย ฉันเห็นเขาแค่ครั้งเดียว หน้าตาเขาธรรมดา เรียบๆ จืดๆ ไม่มีอะไรเด่น ดูมีอายุหน่อยเพราะเห็นจอนผมเขาหงอกขาวแล้ว ที่จำได้เพราะสบตาเขาแล้วนัยน์ตาเขาดูแปลกๆ มันก้ำกึ่ง...ทั้งน่ากลัว ทั้งมีอำนาจ ฉันเห็นเขาแวบเดียวก็ตาลาย มึนหัว รู้สึกมีตัวอะไรต่อมิอะไรชอนไชเข้ามาในร่าง แต่มั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำอะไรฉันแน่ๆ เพราะถ้าทำฉันต้องจำได้สิ”

             ประโยคสุดท้ายหนักแน่นจนเอื้อกานต์เชื่อ อีกฝ่ายไม่โกหก เธอได้แต่หวังว่า...หลังจากถามคำถามสำคัญไปแล้ว คนป่วยจะยังไม่โกหกเธอเหมือนเดิม

             “ขอโทษนะคะ วันนั้นคุณผกาแก้วไปทำอะไรแถวตึกนั้นคะ” คุณหมอถามเสียงอ่อน ไม่แสดงท่าทีเร่งเร้า อยากรู้

             “ไม่...ไม่มีธุระอะไรสำคัญ” อีกฝ่ายรีบตอบพลางเบือนหน้าหนี ไม่ยอมสบตา

             เอื้อกานต์ถอนใจ มองคนป่วยด้วยแววตาเข้าใจ

             “แต่หมอพบขวดน้ำกรดชนิดร้ายแรงอยู่ในกระเป๋าคุณนะคะ”

             คุณหมอพูดเรียบๆ แต่คนไข้สะดุ้งเฮือก

             ข้อมูลที่พยาบาลรายงานเพิ่มเติมหลังจากอาจารย์หมอกลับไปแล้วคือ ในกระเป๋าถือของคนป่วย นอกจากมีบัตรต่างๆ เงินสด ของใช้จุกจิกของผู้หญิงแล้ว ยังมีน้ำกรดชนิดร้ายแรงบรรจุอยู่ในขวดยาแก้ไอ ทำให้ตำรวจที่นำมาส่งตอนแรกไม่ทันผิดสังเกต

             จนพยาบาลนึกสงสัย เห็นว่าสีของเหลวในขวดยาแก้ไอมันไม่ตรงกับสียาแก้ไอยี่ห้อนี้ จึงนำไปให้แล็บของโรงพยาบาลตรวจสอบ จนทราบผลทีหลัง

             “เรื่องนี้หมอคงไม่บอกตำรวจหรอก เพราะคุณก็ยังไม่ได้ทำผิดอะไร แต่คุณพอจะบอกหมอได้มั้ยคะ ว่าพกของอันตรายขนาดนี้ไว้เพื่ออะไร”

             เอื้อกานต์ถามเสียงอ่อน พยายามโน้มนำอีกฝ่ายให้รู้สึกไว้ใจ สบายใจที่ได้คุยกับเธอ...

             นานพอสมควรกว่าคนป่วยจะพลิกใบหน้ากลับมา มองคุณหมอด้วยแววตาเจ็บช้ำ ร้าวราน เอื้อกานต์มองสบดวงตานั้นด้วยจิตเมตตา อยากช่วยเหลือ เอื้อมไปกุมมือเธอไว้ ถ่ายทอดความอบอุ่นเพื่อให้คลายใจ

             “...หมอ...ฉันเกลียดมัน...ฉันอยากทำให้มันทุกข์ทรมานแบบตายทั้งเป็น...เหมือนอย่างที่ฉันเป็น!”

             เมื่อประโยคแรกหลุดออกมาได้ คำพูดต่อมาก็พรั่งพรูตามมาไม่ต่างจากน้ำในเขื่อนที่ทำนบพังทลาย หญิงสาวคนนี้จิตใจบอบช้ำ ต้องการคนช่วยเยียวยาอยู่แล้ว เมื่อได้สัมผัสความอารีจากคุณหมอผู้แผ่ความเย็นใจมาให้ เธอก็วางใจพอที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา...



             จอดรถที่ช่องจอดในลานจอดรถคอนโดฯ เรียบร้อย เอื้อกานต์ก็ดับเครื่องยนต์ เตรียมลงจากรถ

             ในหัวยังมึนๆ ด้วยเรื่องราวของผกาแก้วซึ่งติดมาจากโรงพยาบาล ยากสลัดให้หลุดง่ายๆ

             เหตุผลที่ผกาแก้วไปตึกนั้น ก็เพื่อดักรอสาดน้ำกรดใส่หน้าเมียน้อยสามี พนักงานออฟฟิศสาวผู้แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเธอ

             เรื่องราวของผู้ถูกกระทำอย่างผกาแก้ว ไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไปที่ถูกสามีและผู้หญิงอีกคนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างไม่แยแส จนเธอหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

             เมื่อผู้ถูกกระทำเกิดความอาฆาตแค้นรุนแรง หวนกลับมาเอาคืนบ้าง เหตุการณ์จึงชวนหวาดหวั่น ทว่าก็น่าเห็นใจไปพร้อมกัน...

             วันนั้นผกาแก้วดักรอเมียน้อยสามี จนเห็นฝ่ายนั้นเดินออกมาจากตึกพร้อมเพื่อนร่วมงาน หญิงสาวลอบติดตาม หาจังหวะหยิบน้ำกรดจากกระเป๋า กะสาดมันให้หน้าเละ เสียโฉมอย่างไม่มีทางแก้คืน

             ระหว่างแอบเดินตาม ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกของพวกมัน ก็ยิ่งทวีความโกรธเกลียดรุนแรง ยิ่งพวกมันพูดถึงเธอในแง่ไม่ดี ดูถูกว่าโง่เง่า ไม่ทันผัว ไม่ทันกลลวงของมัน ก็ยิ่งโกรธ โทสะพุ่งแรง เสียดแทงใจแทบระเบิด ปากสั่นระริก มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเตรียมหยิบขวดน้ำกรด

             ตอนนั้นนัยน์ตาเริ่มลาย เห็นชายวัยกลางคนแปลกหน้าผ่านเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะผงะหงาย เจ็บปวดทั่วตัวเหมือนโดนมด แมลง สัตว์ตัวเล็กนับร้อยนับพัน เข้ามาชอนไชร่างกาย ทรมานจนหมดสติในที่สุด...

             เอื้อกานต์ก้าวลงจากรถ เรื่องราวเหล่านั้นยังวนเวียนในหัวไม่จบไม่สิ้น พลางนึกเปรียบเทียบกับผู้ป่วยอีกสองรายที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลใกล้เคียง

             รายหนึ่งเป็นมือปืน ถูกพบบนดาดฟ้าอาคารสำนักงาน พร้อมหลักฐาน อาวุธครบ บอกชัดว่ากำลังรอปฏิบัติงาน แต่ยังไม่สำเร็จ

             อีกรายเป็นอาชญากรร้าย มีคดีปล้น ชิงทรัพย์ ข่มขืน ติดตัวเป็นพรวน รายนี้เกิดอาการของโรคขณะปล้นชิงทรัพย์ร้านทอง ทางเจ้าของร้านขัดขืน มันบันดาลโทสะเงื้อปืนจะตบเจ้าของร้าน แล้วจู่ๆ มันก็หงายหลัง ชักเกร็งโดยไม่มีใครทำอะไร รายนี้เป็นข่าวเล็กๆ ในทีวีด้วย

             เอื้อกานต์พยายามเชื่อมโยงผู้ป่วยทั้งสามรายเข้าด้วยกัน แต่ก็พบว่า จุดที่พบร่าง สถานที่เกิดเหตุ ห่างกันพอสมควร เวลาที่เกิดเหตุต่างกันเป็นชั่วโมง นอกจากนี้ คนทั้งสามไม่รู้จัก ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันเลย

             อะไรที่สามารถเชื่อมโยงพวกเขาได้?

             อะไรคือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง?

             หญิงสาวปิดประตูรถ เดินไปที่ลิฟต์ขึ้นคอนโดฯ หัวยังมึนกับเรื่องราวที่ไหลมาให้ใคร่ครวญ หาคำตอบ เธอเชื่อว่าต้องมีส่วนเชื่อมโยงกันแน่ๆ และสิ่งนั้น...มันก็ปรากฏชัดตรงหน้า...เพียงแต่...ทำไมถึงมองไม่เห็นสักที...

             “เอื้อ!”เสียงดังชัด ก้องมาจากเบื้องหลัง

             เอื้อกานต์ชะงักเท้า เกือบขานตอบ ยังดีที่ยั้งปากไว้ทัน สติกลับคืน เหลียวไปทางที่มาของเสียง มองหาคนที่ตะโกนเรียกชื่อเธอ

             ...ด้านหลังว่างเปล่า...ไม่มีใคร!

             ลานจอดรถโล่ง เงียบ ไร้สรรพเสียง ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่รู้สึกถึงการขยับเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ แสงไฟมัวซัวกว่าเคย ตามมุมเสาแต่ละต้นคลับคล้ายมีเงาวูบวาบ แปลกปลอมซ่อนเร้น

             ขนลุกซู่อย่างไม่มีเหตุผล หญิงสาวพยายามรักษาสติให้มั่นคง เพ่งสายตาตรงๆ ไปยังเงาเหล่านั้น ปรากฏว่ามันนิ่งเป็นปกติ ไม่แสดงอาการหลบเร้น ล้อหลอก

             หญิงสาวหันหลังกลับ คิ้วขมวด นึกสงสัย หากตนเองหูแว่ว เหตุใดจึงได้ยินเสียงชัดเจนขนาดนั้น...ชัดเสียจนเกือบขานรับออกไป

             ‘ขานรับ’ คำนี้สะกิดให้เธอนึกถึงคำเตือนคุณตาสมัยเด็ก

             ‘เอื้อ...เกื้อ...ตอนดึกๆ ถ้าได้ยินเสียงแปลกๆ หรือเสียงไม่คุ้นหูเรียกชื่อเรา อย่าเผลอไปทัก ไปขานรับก่อนนะ ดูให้ดีๆ’

             ‘ทำไมล่ะคุณตา’ เจ้าเกื้อ น้องชายขี้สงสัยเอ่ยถาม

             ‘บางที มีพวกร้อนวิชา มันปล่อยของแบบลมเพลมพัดมา ขืนเราไปทัก ไปขานรับมัน...ของจะเข้าตัว’

             ‘ของอะไรน่ะคุณตา’ หลานชายคนเดิมถามไม่เลิก

             คุณตาหัวเราะด้วยรู้ว่าไม่มีทางอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เด็กเล็กๆ เข้าใจได้ เลยบอกง่ายๆ

             ‘ของไม่ดีน่ะ...เอาเป็นว่าทำตามที่ตาบอกก็แล้วกัน’

             ด้วยความที่บ้านคุณตาอยู่ต่างจังหวัด แต่ละบ้านห่างกันชนิดตะโกนเรียกยังไม่ได้ยิน พอตกค่ำ แถวบ้านก็มืดสนิท ไม่มีไฟตามถนนแบบในเมือง หนำซ้ำยังเงียบ วังเวง ได้ยินกระทั่งเสียงใบไม้ไหว บรรยากาศชวนให้คนไม่คุ้นเคยเกิดขนหัวลุกได้ เด็กน้อยทั้งสองได้ยินคำเตือนอย่างนั้นก็นึกเสียวสันหลัง จดจำคำคุณตาได้อย่างขึ้นใจ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP