วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ระบำเวท ๒


cover rabamvej

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ถ้าหากสายลมสามารถโอบรับกระแสเสียงของทีเกื้อไว้ได้ มันคงพัดพาความรู้สึก ความต้องการของเขา ผ่านหมู่ตึกสูง ลัดเลาะไปตามเส้นทางสู่คอนโดฯ ริมแม่น้ำอีกฟากของเมือง

             ที่นั่นมีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่บนระเบียงคอนโดมิเนียมชั้นบนสุด ใบหน้าเขาขาวเผือดจนซีด โครงหน้าคม นัยน์ตาโตลึก จมูกโด่งเป็นสันชัด ดวงตาคู่นั้นแฝงประกายอ่อนโยน ปนเปวูบไหวคลุ้มคลั่ง

            ร่างสูงผอมอยู่ในชุดสีเทาจาง เขาสามารถสัมผัสเสียงจากจิตใจของทีเกื้อชัดเจน แววตาอ่อนโยนลง แม้ริมฝีปากได้รูปสวยนั้นยังหุบสนิท ความรู้สึกจากแววตาก็สามารถแปลออกมาเป็นคำพูดได้ว่า

             ...ไม่ต้องห่วง พี่จะดูแลเอื้อ...ด้วยชีวิตของพี่...

             ทรงกลดยังมีชีวิต แต่ไม่ใช่ทรงกลดคนเดิมที่เอื้อกานต์รู้จักเมื่อหลายปีก่อน ทีเกื้อไม่อาจปริปากบอกความลับนี้แก่ใครได้ เรื่องราวของมัน...ยืดยาวเหลือเกิน...

            การที่ทรงกลดมายืนริมระเบียงเวลานี้ ใช่ว่าเขากำลังรอรับการสื่อสารจากใคร เพราะมีไม่กี่คนในโลกที่รับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของเขา ในจำนวนเหล่านั้น มีแค่คนเดียวที่ล่วงรู้สถานที่หลบซ่อนของเขาได้

             ไม่ใช่ทีเกื้อ ไม่ใช่คนในครอบครัว แต่เป็น ‘ฮันเตอร์ คิม’...อาจารย์ และผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขา

             ฮันเตอร์ คิม สามารถรู้ที่ซ่อนของเขา ทว่าทรงกลดกลับไม่รู้ที่ซ่อนของผู้เป็นอาจารย์

             การที่เขามายืนริมระเบียงตึกสูงเช่นนี้ ก็เพื่อใช้อำนาจจิตออกควานหาที่อยู่ของอาจารย์

             เพราะเหตุใด?

             เพราะตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ทรงกลดสัมผัสถึงพลังอาคมบางอย่างที่ห่างไกลจากคอนโดฯ เขา เป็นพลังที่สัมผัสได้เจือจาง รับรู้แค่เป็นพลังคลับคล้ายมาจาก ฮันเตอร์ คิม

            เขาอยากรู้ อาจารย์กำลังทำอะไร...เป็นภัยต่อผู้คนหรือไม่?

             ฮันเตอร์ คิม เคยช่วยชีวิตเขาจากเครื่องบินระเบิด สั่งสอนวิชาอาคมต่างๆ จนเขาแกร่งกล้า กลับมาล้างแค้นศัตรูที่ปล้นชีวิต แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความเห็นของศิษย์-อาจารย์เกิดความแตกต่าง ทั้งคู่จึงแยกทางกันเดิน

             ทรงกลดไม่แน่ใจว่าอาคมระลอกนั้นจะเกิดผลร้ายอย่างไร จิตใจนึกอยากส่งข้อความออกไปห้ามปรามผู้เป็นอาจารย์ จนเมื่อครู่ได้ใช้สัมผัสจิตของตนเข้าตรวจสอบ จึงพอรับรู้ได้ว่า อาคมระลอกนั้นเป็นเพียงระลอกเล็ก ผู้ส่งหวังใจแค่เป็นการทดสอบตัวอย่าง ถึงอย่างนั้น นิมิตของทรงกลดก็ปรากฏภาพคนกลุ่มหนึ่งกำลังทุกข์ทรมานจากอาคมเหล่านี้

             ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ ไม่แน่ใจว่าเขาควรช่วยเหลือคนเหล่านี้หรือไม่

             ถ้าหากช่วยแล้ว ต้องเป็นศัตรูกับอาจารย์ผู้มีพระคุณ เขาจะทำอย่างไร

             ที่สำคัญ...เขารู้ว่า ฮันเตอร์ คิม ไม่ทำร้ายคนดี!



             ร่างสูงผอมขยับเข้ามาในห้อง เลื่อนประตูปิด ขณะนี้เขาได้รับรู้มากที่สุดเท่าที่จะรู้ได้แล้ว

             ภายในห้องตกแต่งเรียบหรู เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูดีเข้ากับรูปทรง สัดส่วนของห้อง ผนังทุกด้านทาสีขาวอมเทา ไล่ระดับหนักเบาราวกับกลุ่มเมฆบางๆ ลอยฟ่อง

             ทรงกลดทรุดตัวนั่งบนโซฟา จิตเกิดสะดุดกับชื่อหนึ่งขึ้นมา

             ...เอื้อกานต์...

             ชื่อของหญิงคนรัก ก่อให้เกิดนิมิตลายเส้นอันยุ่งเหยิง แปลไม่ออก

             ชายหนุ่มหยิบกระดาษสีขาววางบนโต๊ะ ใช้ดินสอร่างภาพนิมิตที่ติดอยู่ในหัวออกมา

             ลายเส้นในภาพนั้นดูยุ่งเหยิง มองไม่ออกเป็นภาพอะไร ทว่า...ทรงกลดสามารถมองทะลุฝ่าลายเส้นที่ตนเองเขียนจากนิมิตลงไปหาคำตอบจนได้

             นัยน์ตาเขาเบิกกว้าง ก่อนสติตามทัน ความสงบนิ่งก่อตัวขึ้น จิตมีกำลัง เพ่งมองลงไปในท่ามกลางลายเส้นนั้นอย่างลึกซึ้ง

             สุดท้ายดินสอถูกวาง ลมหายใจระบายออก ประกายตาอ่อนลง คำทำนายจากนิมิตไล่เรียงขึ้นมาในหัว

             ...เอื้อกานต์กำลังก้าวไปสู่วังวนของอาคมร้าย

             ...เธอถูกลากไปเกี่ยวข้องโดยไม่รู้ตัว

             ...บางสิ่งที่เธอกระทำ ไปกระตุ้นผู้ทรงอาคมให้เกิดโทสะ

             ...ผู้ปองร้ายนั้นเป็น?

             ในตอนท้ายทรงกลดไม่อาจระบุตัวได้ เหมือนมีอำนาจที่เหนือกว่าเข้ามาปิดบัง กางกั้นไม่ให้มองเห็นบุคคลปริศนา

             เขาไม่อยากเชื่อว่ายังมีผู้ทรงอาคมคนอื่นสามารถปิดบังซ่อนเร้นตัวตนจากเขาได้อีก เพราะถ้ามีจริง บุคคลนั้นย่อมมีพลังอำนาจมนตราอันน่าสะพรึง

             ทรงกลดหวั่นเกรงจนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ เพราะผู้หญิงที่เขารัก กำลังจะทำให้บุคคลร้ายกาจผู้นั้นโกรธ

             แรงโทสะของผู้ทรงอาคมระดับนี้ มันโหดร้าย น่าหวาดหวั่นเกินกว่าใครจะจินตนาการได้ถึง!







บทที่ ๒



             โรงพยาบาล

             สิ่งที่เอื้อกานต์เห็นเมื่อเข้าไปยังห้องพักคนไข้ใน คือผู้ป่วยที่เธอคิดว่าอาการดีขึ้นตั้งแต่เมื่อวานกลับมีสภาพแย่ลงอย่างคาดไม่ถึง

             “ทำไมเป็นอย่างนี้” คุณหมอถามพยาบาลที่ดูแล

             “ไม่ทราบค่ะคุณหมอ เมื่อเช้าอาการก็ยังทรงๆ อยู่ ตอนนี้กลับเป็นอย่างที่เห็นแล้ว”

             วานนี้มีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาหลายราย หมอ พยาบาล ทำงานกันอย่างหนัก มีคนไข้รายหนึ่งอาการแปลกกว่าใคร เป็นหญิงสาวอายุราวสามสิบ ไข้ขึ้นสูง ใบหน้ามีผื่นแดง ตามตัวมีจุดเลือดเป็นจ้ำๆ ทั้งยังมีอาการเกร็ง ชัก ปวดตามกล้ามเนื้อจนต้องบิดตัวด้วยความทรมาน

             สันนิษฐานขั้นต้นว่าอาจเป็นไข้ติดเชื้อ ประเภทไข้เลือดออก แต่พอเจาะเลือดไปตรวจกลับไม่พบเชื้อนั้น สิ่งที่ทางแล็บรายงานมา บอกว่ามันมีลักษณะคล้ายไวรัสเชื้อหวัดและไข้เลือดออกปนกัน

             เอื้อกานต์เห็นผลเลือดแล้วคิดหนัก เกรงว่าจะเป็นเชื้อหวัดสายพันธุ์ใหม่ พยายามรักษาตามอาการเท่าที่พอทำได้ช่วยให้อุณหภูมิคนไข้ลดลง รอยจ้ำเลือดไม่ขยายวงกว้างกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นผู้ป่วยก็ยังบิดตัวเร่าๆ แสดงถึงความเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อซึ่งไม่อาจใช้ยาบรรเทาได้

             คุณหมอสาวจำเป็นต้องแอบใช้การรักษาแบบพิเศษเฉพาะตน เพื่อให้ความเจ็บปวดของคนไข้ลดลง

             ‘พลังพิเศษ’ ในตัวของเธอช่วยเยียวยารักษาคนไข้บางรายได้ พลังนั้นเกิดจากความเมตตา สงสาร จิตใจที่มีความเอื้อเฟื้อต่อคนรอบตัว ประกอบกับ ‘ของเก่า’ ที่เธอไม่อาจทราบเหตุผล ทำให้มีความสามารถพิเศษนี้ตั้งแต่เด็ก

             หลังจากเอื้อกานต์ใช้การรักษาพิเศษกับผู้ป่วย ช่วยให้ความเจ็บปวดทรมานลดลง คนไข้ก็สลบไสล เข้าสู่การพักผ่อนหลับลึก

             ทว่า...วันนี้ สิ่งปรากฏแก่สายตาคือ รอยจ้ำเลือดแดงขยายวงกว้างจนน่ากลัว อุณหภูมิร่างกายสูงจนอาจถึงขั้นช็อกได้ ดีที่คนไข้ยังสลบไสล ไม่ทุรนทุรายแสดงความเจ็บปวด อาจเป็นเพราะพลังพิเศษของเอื้อกานต์ยังควบคุมมันอยู่ แต่ตอบไม่ได้ว่าจะควบคุมได้นานแค่ไหน

             “ทำยังไงดีคะหมอ” พยาบาลถามความเห็น

             “ไม่เป็นไร หมอจัดการเอง...ขอดูชาร์ตคนไข้หน่อย” เอื้อกานต์บอก

             พยาบาลยื่นชาร์ตผู้ป่วยพร้อมกับหลีกทางให้คุณหมอเข้าไปใกล้ๆ เตียง

             หญิงสาวกวาดตาดูชาร์ตอย่างละเอียด สังเกตรายงานอุณหภูมิ ความดัน ชีพจรที่ขึ้นตามช่วงเวลา หัวคิ้วขมวดนิดๆ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ตนเองไม่ทันฉุกคิดแต่แรก

             วางชาร์ตลงแล้วใช้นิ้วแตะข้อมือผู้ป่วย ลักษณะเหมือนวัดชีพจร นัยน์ตาจ้องมองผนังสีขาวเหนือเตียงคนป่วย เหนี่ยวนำให้จิตสงบ กำหนดนิมิตมองเข้าไปตามเส้นประสาท เส้นเอ็น เส้นเลือดภายในตัวคนป่วย เห็นเส้นประสาทแต่ละจุดในร่างถูกบีบเค้นให้ตีบตัน ในเส้นเลือดมีสิ่งแปลกปลอมที่เธอบอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร

             บอกไม่ถูก!

             ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เอื้อกานต์ชะงัก จิตถอนออกมา

             หญิงสาวปล่อยมือจากคนป่วย ถอยหลังมายืนนิ่ง ตั้งสติ...นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักสัมผัสพิเศษ ที่เธอไม่อาจรับรู้หรือทราบที่มาแท้จริงของโรคได้!

             “ทางแล็บให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้าไวรัสที่อยู่ในเลือดคนป่วยมาหรือยัง” เอื้อกานต์หันไปถาม

             “ยังให้คำตอบไม่ได้ค่ะ ส่งตัวอย่างเลือดไปทางศูนย์ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้รับคำยืนยันอะไร คุณหมอว่ามันจะเป็นพวกไวรัสสายพันธุ์ใหม่อีกหรือเปล่าคะ”

             “พันธุ์ใหม่แบบไหนล่ะ” คุณหมอถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ

             “ก็อาจเป็นพวกไข้หวัด ๒๐๑๔ หรืออาจเป็นไวรัสหวัดที่ฟิวชั่นกับไข้เลือดออกก็ได้นะคะ”

             ถ้าไม่อยู่ในอารมณ์กังวลอย่างนี้เอื้อกานต์คงหัวเราะออกมาแล้ว พอเอาจิตเข้าไปสัมผัสอาการผู้ป่วยอีกครั้ง ก็อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้

             “ไวรัสชนิดใหม่เหรอ...” ขณะพึมพำ ส่วนลึกในใจบังเกิดอาการเย็นเยียบ หวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

             ยังไม่ทันขยับตัวห่างจากเตียง เสียงสัญญาณแปลกๆ ก็ดังจากเครื่องวัดที่ต่ออยู่กับร่างผู้ป่วย

             “หมอคะ ความดันคนไข้ลดลงค่ะ” พยาบาลอ่านค่าแล้วร้องบอก

            เอื้อกานต์หันมาดูเครื่องวัด แล้วสั่งพยาบาลให้ฉีดยาบางตัวกับคนไข้ สักครู่ อาการยังไม่ดีขึ้น หนำซ้ำคนไข้เริ่มเกร็ง ชัก กระตุกร่างเป็นระยะ

             ...ตี๊ดดด...

             สัญญาณชีพขาดหาย กราฟเป็นเส้นตรงลากยาว

             “หมอคะ คนไข้หยุดหายใจแล้ว”

             “เครื่องกระตุ้นหัวใจ!” เอื้อกานต์สั่ง พยาบาลรีบนำเครื่องมือชิ้นนั้นมาให้ทันที

             หญิงสาวกระตุ้นหัวใจคนป่วย แล้วลงมือปั๊มหัวใจด้วยตนเอง

             ความวุ่นวายบังเกิดขึ้น คุณหมอพยายามปั๊มหัวใจ ยื้อชีวิตคนป่วย ปากก็ร้องสั่ง พยาบาลอีกสองคนคอยเพิ่มยาให้คนไข้ และคอยอ่านค่าในเครื่องวัดให้ได้ยินเป็นระยะ

             ...ตี๊ด...ตี๊ด...ตี๊ด...

            เสียงสัญญาณชีพดังขึ้น หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง เอื้อกานต์ถอนใจโล่งอกชั่วขณะ แต่กระนั้นสีหน้าคนป่วยก็ยังไม่ดีขึ้น ผื่นแดงไม่ลดลง จุดเลือดยิ่งขยายวงกว้างกว่าเดิม

             “คนไข้เป็นอะไรครับ” เสียงถามดังขึ้นใกล้ๆ

             “หมอหมาก” เอื้อกานต์ส่งเสียงทักทายกึ่งอุทาน

             แพทย์หนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนสีซีด ผมยาวปรกต้นคอ ดูท่ายังไม่ผ่านการสระหวี เครายังเขียวเหมือนเดิม ลักษณะเช่นนี้ยากจะทำให้คนทั่วไปเชื่อว่าเขาเป็นนายแพทย์ชื่อดัง

             “ขอโทษทีที่รบกวน พอดีผมมาเยี่ยมไอ้หนู...คนไข้ที่ส่งมาจากคลินิกเมื่อวานน่ะ เห็นหมอเอื้อกำลังยุ่งๆ อยู่ อดไม่ได้เลยแวะเข้ามาถาม”

             เขาพูดเชิงออกตัว แววตามองมายังหมอและคนไข้ด้วยความสนใจจริงๆ

             เอื้อกานต์กำลังจะเอ่ยปากตอบ ทันใดนั้นสัญชาตญาณพิเศษก็กระตุ้นเตือนให้พร้อมรับเรื่องพลิกผัน

             ตึง! ตึง! ตึง!

             คนป่วยเกิดอาการชักกระตุกรุนแรง เตียงสั่นสะเทือน พยาบาล หมอ ต่างกรูเข้ามาล็อคร่างนั้นไว้ไม่ให้ตกจากเตียง

             “ไม่...ไม่...ฉันไม่ยอม...เกลียด...ฉันเกลียดแก...”

             คนไข้แผดเสียงลั่นทั้งที่ไม่ได้สติ ดิ้นรนสุดแรงจนพยาบาลทั้งสองไม่อาจยึดไว้ได้ มือหลุดจากผู้ป่วย

             หมอหมากรีบเข้าไปช่วยเอื้อกานต์ล็อคตัวคนป่วย พร้อมกับช่วยกดให้ลงนอนบนเตียง สัมผัสจากร่างนั้นคือกระไอร้อนผะผ่าว เนื้อตัวคนป่วยสั่นระริก

             “เกลียดแก...เกลียดแก...ฉันเกลียดแก” คนไข้ยังเพ้อพึมพำด้วยถ้อยคำเดิมซ้ำๆ ผื่นแดงกระจายไปทั่วจนฉาบใบหน้าเป็นสีแดงฉาน

             ตึง! ร่างคนป่วยกระตุกรุนแรง แทบกระแทกคุณหมอทั้งสองกระเด็นออกไป จากนั้นเสียง...ตื๊ดดดด...ก็ลากยาวเสียดประสาท กราฟบนจอลากเป็นเส้นตรงอีกครั้ง

             ผู้ป่วยหยุดหายใจ!

             “ขอเครื่องกระตุ้น” เอื้อกานต์ร้องบอก คราวนี้หมอหมากเป็นคนจัดการให้ทันใจ

             ตึง! เครื่องกระตุ้นหัวใจทำงาน ร่างผู้ป่วยสะท้านเฮือก

             ตึง! กระตุ้นซ้ำอีกครั้ง เสร็จแล้วหญิงสาวส่งเครื่องมือให้ชายหนุ่มที่ยอมลดตัวเป็นผู้ช่วย จากนั้นลงมือปั๊มหัวใจอีกครั้ง

             ฝ่ามือทั้งสองแนบบนหน้าอกร่างไร้สัญญาณชีพ เอื้อกานต์ตั้งสติมั่น จิตแน่วนิ่งเป็นสมาธิรวดเร็วอย่างคนคุ้นเคยกับเส้นทางรักษาแบบพิเศษ หากทำถึงขนาดนี้แล้ว คนป่วยยังไม่หายใจ ก็ต้องยอมแพ้แก่มัจจุราช

             ทุกครั้งที่ฝ่ามือกระทบลงไป พลังสีขาวที่กอปรด้วยจิตอารีก็ถูกถ่ายทอด แทรกซึมลงเป็นเส้นสว่าง คล้ายลำธารสายน้อยที่รินไหลเข้าสู่ร่างผู้ป่วย ซอกซอนตามเส้นประสาท เส้นเอ็น เส้นเลือด เข้าสู่หัวใจ เพื่อกระตุ้น เยียวยาคนป่วยจากเชื้อโรคร้าย...สิ่งแปลกปลอมที่เอื้อกานต์เองก็ยังไม่มีคำตอบชัดว่ามันคืออะไร

             คุณหมอสาวมองร่างผู้ป่วยรายนี้เป็นเหมือนถุงหนังใบใหญ่ ภายในมีโครงข่ายซับซ้อน ทำให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ และสัมผัสพิเศษก็เข้าไปรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมร้ายที่กำลังเข้าทำลายโครงข่ายในถุงหนังใบนี้จนเกิดอาการล้มเหลว ไม่อาจประคองตัวสืบไป จนถึงขั้นสูญเสียชีวิต

             เมื่อสัมผัสชัดขนาดนี้ หญิงสาวก็รู้ว่าเจ้าสิ่งแปลกปลอมนั้น ไม่ใช่แค่เชื้อไวรัส เชื้อโรค ที่พิสูจน์ได้จากแล็บหรือด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ยังมีพลังงานบางอย่างที่ควบคุมเชื้อโรคร้าย ทำให้มันดื้อด้านต่อการรักษา ไม่กลัวต่อวัคซีนหรือยาชนิดใดๆ

             หากมีมันอยู่ในนั้น คนไข้ไม่มีทางรอดชีวิต!

             ‘การรับรู้’ จากสัมผัสพิเศษเกิดขึ้นชั่วขณะสั้นๆ ระหว่างเอื้อกานต์พยายามปั๊มหัวใจคนไข้ พอรู้เช่นนั้น พลังสีขาวที่ออกจากฝ่ามือเธอก็แปรสภาพเป็นแสงบางๆ เข้าขับไล่เงามืดอมเทาของพลังควบคุมไวรัสเหล่านั้น

             เหงื่อซึมบนหน้าผากคุณหมอสาว บอกให้รู้ว่าพลังของเธอยังไม่อาจต่อต้าน ขับไล่เจ้าพลังแปลกปลอมนั้นได้ หญิงสาวพอรู้ขีดจำกัดของตัวเอง รู้ว่าพลังพิเศษที่ตนมีไม่อาจช่วยเหลือทุกคน มันเป็นพลังอำนาจที่ยังตกอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่อาจขัด ฝืน เอาชนะความตายได้ทุกครั้ง

             เอื้อกานต์ทำได้เพียงวางใจเป็นกลาง ช่วยอย่างเต็มความสามารถเท่าที่จะช่วยได้ หากเกินกำลังก็ปล่อย ไม่ยื้อยุด

             พลังแปลกปลอมมีอำนาจน่าตระหนก หญิงสาวเดินพลังสีขาวมาจนถึงจุดที่ต้องหยุด เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์จะหักหาญต่อ ทว่าขณะที่มือกำลังถอนออกจากทรวงอกคนไข้ คุณหมอสาวก็สัมผัสได้ถึงพลังสีขาวอบอุ่นจากภายนอกที่ไหลเข้ามาเติมพลังในตน ช่วยเสริมให้แสงสีขาวมีกำลังกล้าขึ้น จนสามารถขับไล่พลังมืดแปลกปลอมนั้นสำเร็จ!

             หลังจากผ่านวินาทีนั้น สัญญาณชีพผู้ป่วยก็กลับคืนมา

            ...ตี๊ด...ตี๊ด...ตี๊ด...

             เสียงจากเครื่องวัดดังเป็นระยะ เอื้อกานต์ถอนมือพร้อมกับระบายลมหายใจโล่งอก เหลือบเห็นหมอหมากยืนนิ่งมองมาจากอีกฟากเตียง

             “ยินดีด้วย คนป่วยรอดแล้ว...หมอเอื้อ” น้ำเสียงชื่นชม หากแววตาชายหนุ่มกลับฉายร่องรอยสนเท่ห์แกมพิศวง

             “แค่กลับมาหายใจได้ ยังตอบไม่ได้ว่ารอดหรอกค่ะหมอ” เอื้อกานต์ตอบเชิงถ่อมตัว ส่วนลึกในใจกลับรู้...คนป่วยรายนี้รอดตายแน่นอน!

             “ผมว่ารอดนะ หมอดูดีๆ สิ” หมอหมากพยักหน้าไปทางคนป่วย “รอยผื่นแดงจางลงเยอะแล้ว เหลือแค่จุดแดงจ้ำเลือดตามตัว ผมว่าอาการอย่างนี้น่าจะเป็นเชื้อไข้เลือดออก รักษาไม่ยากหรอก”

             แพทย์หนุ่มสรุปเรียบร้อยทั้งที่ยังไม่ได้เปิดดูชาร์ตคนป่วย ไม่เห็นรายละเอียดผลเลือดเลยด้วยซ้ำ

             “แต่ผลเลือดออกมาแล้วว่าไม่ใช่ไข้เลือดออกนะหมอ” เอื้อกานต์ค้าน

             “ลองเจาะเลือดไปตรวจใหม่สิครับ ผมว่าใช่แน่...อย่างมากก็มีเชื้อหวัดปนมานิดหน่อย”

             เอื้อกานต์ขมวดคิ้วไม่เชื่อถือ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งที่ใครๆ ยอมรับ แต่การวินิจฉัยโรคแค่ยืนมองเฉยๆ แบบนี้มันยากจะเชื่อถือได้จริง ๆ

             “ลองเจาะเลือดอีกครั้งก็ได้ค่ะ” คุณหมอสาวนิ่งคิดสักครู่ก่อนรับคำ หันไปสั่งพยาบาลให้จัดการตามที่หมอหมากแนะนำ หลังจากนั้นจึงก้มดูใบหน้าผู้ป่วยซึ่งเพิ่งเฉียดตาย รู้สึกตรงกับชายหนุ่มที่บอกว่าคนไข้รายนี้ปลอดภัย พ้นจากมือมัจจุราชแล้ว

             เพียงตอบไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากอะไร แค่พลังของเอื้อกานต์คนเดียวไม่อาจจัดการกับเจ้าสิ่งแปลกปลอมที่ควบคุมไวรัสได้ ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากพลังเสริมจากภายนอก

             พลังภายนอกนั้นมาจากไหน?

             หรือ...มาจากใคร?

             หญิงสาวไม่อาจรู้เลยว่า ขณะที่ตนเองกำลังให้ความสนใจกับคนไข้ คุณหมอหนุ่มซึ่งยืนอีกฟากเตียงก็จ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาประหลาด คล้ายเห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง...ตรงหน้า...



             ไม่ไกลจากห้องคนป่วย ร่างสูงผอมของทรงกลดยืนนิ่ง ส่งสายตาเข้ามาในห้องเฉกเช่นคนที่สามารถรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดกระจ่าง

             นัยน์ตาโตลึกสีดำสนิทลึกเร้นฉายแววสงสัย ริมฝีปากบางเม้มนิดๆ แสดงอาการขบคิดเรื่องสำคัญที่ตนเองยังแก้ไม่ตก

             เขามาครั้งนี้เพื่อขัดขวางเอื้อกานต์ไม่ให้รักษาคนไข้รายนี้ พอมาถึงจึงเห็นว่าขัดขวางเธอไม่ได้ หรือต่อให้สามารถขัดขวาง เขาก็ไม่กล้าทำ เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกผิดต่อเธออย่างไม่น่าให้อภัย

             พลังการรักษาของเอื้อกานต์เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็น ถึงอย่างนั้นมันไม่อาจปกปิดสายตาผู้ทรงอาคมเช่นเขา แต่ที่สร้างความพิศวงแก่ทรงกลดกลับเป็นพลังที่เข้ามาช่วยเสริมหญิงสาวในตอนท้าย...พลังนั้น...มันเกินคาดหมาย...และมาจากคนที่คิดไม่ถึง...

             ทรงกลดรู้ว่าการช่วยชีวิตผู้ป่วยรายนี้จะทำให้อาคมย้อนกลับคืน เป็นการกระตุ้นโทสะผู้ทรงอาคมใหญ่อย่างช่วยไม่ได้ เขาเชื่อว่าผู้ทรงอาคมรายนั้นมีพลังอำนาจอันน่าตระหนก

             พลังที่เขาไม่แน่ใจว่าสามารถต้านทานได้

             บุคคลเดียวที่เชื่อว่ามีฝีมือถึงขั้นนั้น คือ ฮันเตอร์ คิม...อาจารย์ของเขาเอง

             เขารู้ว่า หากเป็น ฮันเตอร์ คิม พลังโทสะที่พุ่งมายังเอื้อกานต์จะเป็นอย่างไร

             แน่นอน เขาต้องเข้าขัดขวาง

             เพียงแต่...เวลานี้เขาไม่รู้ อาจารย์อยู่ที่ไหน มีเจตนาใดถึงทำเรื่องพวกนี้

             ทว่า...ถ้าผู้ลงมือคราวนี้ไม่ใช่ ฮันเตอร์ คิม...นั่นคือสิ่งน่ากลัวแท้จริง

             มันผู้นั้นคือใคร?

             ยิ่งไม่รู้จักตัวตนของมัน...ความน่าหวาดหวั่น กริ่งเกรง ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ!



             ยามดึก

             เอื้อกานต์นั่งจิบกาแฟริมระเบียง ทอดตามองยอดตึกที่รายล้อม แสงไฟตามจุดนั้นจุดนี้อย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่โดนแสงสีเมืองหลวงฉาบย้อมเสียจนไม่เห็นดวงดาว

             นั่งริมระเบียงคนเดียวเช่นนี้ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยว เงียบเหงากว่าเคย ก่อนนี้เวลามีปัญหาคาใจ มานั่งปล่อยอารมณ์ที่นี่ จะมีน้องชายฝาแฝดเป็นคู่คิด คอยช่วยเหลือ

             ใจนึกอยากโทร. ไปหา ปรึกษาถึงเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้น แต่จิตสัมผัสที่สื่อถึงกันบอกว่า เวลานี้ทีเกื้อกำลังมีปัญหายุ่งยากเรื่องงานให้สะสางเช่นกัน เขาอาจกำลังลาดตระเวน หรือซุ่มคอยคนร้ายอย่างใจจดใจจ่อ ไม่เหมาะที่จะรบกวนในตอนนี้อย่างยิ่ง

             ในหัวคุณหมอสาวมีข้อสงสัยมากมายไปหมด เธอช่วยผู้ป่วยวันนี้สำเร็จก็จริง พลังของเธอขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่ควบคุมไวรัสสำเร็จ ผลเลือดล่าสุดปรากฏว่าเป็นแค่ไข้เลือดออก การรักษาต่อไปจึงไม่ลำบากเท่าที่กังวล

             ถึงอย่างนั้นปัญหาก็เดินเรียงหน้ามาสลอน...สิ่งที่ควบคุมไวรัสคืออะไร? พลังที่ช่วยเสริมให้เธอในตอนท้ายมาจากไหน?

             และที่สำคัญ...ใครเป็นคนทำเรื่องร้าย ปล่อยไวรัสเหล่านั้น?

             เมื่อไม่ได้คำตอบ หญิงสาวจึงเชื่อว่า...นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น...เริ่มต้นของสิ่งที่น่าหวาดเกรงอย่างยิ่ง

             จากการที่ได้สัมผัสพลังควบคุมไวรัส เอื้อกานต์บอกได้ว่าตนเองคุ้นเคยกับมัน...พลังเช่นนี้คลับคล้ายพลังของ ‘คิม’ ผู้ทรงอาคมที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องเมื่อปีก่อน

             เมื่อปีเศษที่ผ่านมา คิมได้ใช้อาคมสังหารนักการเมือง นักธุรกิจ และมาเฟีย รวมหลายราย ทีเกื้อ น้องชายของเธอเป็นผู้ติดตามคดีนี้ จนที่สุดสามารถยับยั้งคิมได้สำเร็จ ไม่มีผู้เสียชีวิตจาก ‘อาคม’ อีก

             ตอนนั้นเอื้อกานต์ถามทีเกื้อว่า ‘คิม’ คือใคร? เวลานี้อยู่ที่ไหน?

             คำตอบที่ได้ ไม่ตรงกับคำถาม

             ‘นับจากวันนี้...ไม่มีคิมอีกต่อไปแล้วละเอื้อ’ น้องชายตอบเท่านี้ ไม่มีคำอธิบายใดเพิ่มเติม

             เอื้อกานต์พยายามซักไซ้เขาอีกสองสามครั้ง ทีเกื้อก็ตอบคำเดิม ทั้งยังเลี่ยงที่จะพูดถึงฆาตกรตลอดเวลา จนคนเป็นพี่สาวต้องยอมหยุดเสียเอง

             ยอมรับเท่าที่เขาเล่า...ไม่มีคิมอีกแล้ว...ไม่ต้องห่วงว่าจะมีอาคมไปทำร้ายใครอีก

             จนกระทั่งวันนี้ เอื้อกานต์สัมผัสพลังที่ควบคุมไวรัสตรงๆ มันน่าจะเป็นอาคมชนิดเดียวกับคิม แต่เหนือชั้นกว่าจนเธอสู้ไม่ได้

             หากไม่มีพลังปริศนาภายนอกมาเสริม รับรอง...วันนี้คนป่วยรายนั้นไม่รอด

             ปัญหาคาใจขนาดนี้ อีกทั้งยังสามารถโยงถึงคดีเก่าที่ทีเกื้อเคยทำ ใจจึงอยากส่งสัญญาณถามเขาสักนิด แต่ก็ต้องยอมสงบใจ ‘สัมผัสทางใจ’ บอกชัด งานของทีเกื้อคราวนี้หนักหนาไม่แพ้เรื่องที่เธอกำลังเผชิญเช่นกัน

             ...เอาเถอะ...รอ...หญิงสาวบอกต่อตนเองชัดเจน ไม่ครุ่นคิดวนเวียนซ้ำซากอีก

             กาแฟหมดถ้วย จิตใจผ่อนคลาย มองเห็นกลุ่มก้อนความกังวลเมื่อครู่เคลื่อนหายต่อหน้าต่อตา



             ขณะที่เอื้อกานต์คลายใจจากการไม่ย้ำคิดซ้ำซาก เหนือระเบียงห้องของเธอขึ้นไปสองสามชั้น ชายอีกคนก็กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดเช่นกัน

             หมอหมากนั่งเหยียดขาพาดบนระเบียงคอนโดฯ หลังอิงเบาะพิงในท่าสบาย นัยน์ตาเรียวรีมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่จับจุดใดเป็นพิเศษ

             เหตุการณ์วันนี้ก่อให้เกิดความสงสัยนานัปการ

             เขาเห็นเอื้อกานต์รักษาคนป่วยด้วยพลังพิเศษ เป็นแสงสีขาวที่สัมผัสได้ถึงความเมตตา เป็นแสงที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็น รับรู้

             หมอหมากรับรู้ มองเห็นมันได้ อีกทั้งยังไม่ใช่ครั้งแรก เขาเคยเห็นมันมาก่อนแล้ว จนเป็นเรื่องปกติ!

             เขาสงสัย เอื้อกานต์มีพลังเช่นนี้ได้อย่างไร และที่สงสัยกว่านั้น ‘อะไร’ ที่แทรกซึมในร่างคนป่วย ทำให้ไวรัสแข็งกล้า ไม่เกรงกลัวยาต่อต้าน

             คำถามเหล่านั้น เขาอาจหาคำตอบได้...จากใครบางคน...

             ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจบางเบา มองท้องฟ้าด้วยจิตใจปลอดโปร่ง แผ่ความรู้สึกออกกว้างด้วยความอ่อนโยน จิตใจอบอุ่นด้วยความสุขที่ลอยมากระทบเจือจาง ริมฝีปากพึมพำเบาๆ

             “พลู...อยู่ที่ไหน คุยกันหน่อยสิ” เขาเรียกเบาๆ เพียงครั้งเดียว ปล่อยใจเปิดกว้าง เหมือนบานประตูที่เปิดรอคอยคนสำคัญ

             ไม่นาน จิตสัมผัสถึงแสงสว่างที่กระจ่างภายใน ดวงตาไม่อาจแลเห็นสิ่งใดบนท้องฟ้า ทว่าในห้วงแห่งนิมิต จิตเขาเห็นแสงสว่างอ่อนเรื่อกระจายกว้าง ตรงกึ่งกลางความสว่างนั้น ปรากฏใบหน้าชายคนหนึ่งเป็นเค้าโครงรางๆ ดูคลับคล้ายใบหน้าตนเอง

             “ว่าไง...มีอะไร” เสียงคุ้นเคยกังวานในใจ

             “วันนี้เจอเรื่องที่คิดไม่ถึงว่ะ” เสียงพูดของหมอหมากดังในใจเช่นกัน

             “เล่ามาสิ”

             “มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขามีพลังพิเศษสามารถรักษาคนได้เหมือนมึงเลยว่ะพลู” คำพูดคุ้นเคยสนิทสนม

             “เออ...แล้วไง” คำย้อนถามกลั้วหัวเราะ

             “แล้วไง? ก็กูอยากรู้ไงว่าทำไมเขาถึงมีพลังแบบนั้น”

             “มึงตอบได้มั้ยล่ะ...ว่าทำไมตอนนั้นกูถึงมีพลังแบบนี้”

             คำย้อนนั้นทำให้คนฟังนิ่ง...คิดทบทวนเนิ่นนาน

            “ไม่รู้ว่ะ...กูไม่แน่ใจ”

             “นั่นสิ...มึงยังไม่แน่ใจ แล้วจะให้กูตอบยังไง กูกับเขาไม่เคยรู้จักกันสักหน่อย”

             “แสดงว่ามึงไม่รู้”

             “แสดงว่ากูขี้เกียจตอบ” คำตอบไม่ต่างจากคำพูดหยอกล้อ

             ได้ยินอย่างนี้คนถามก็รู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์จะซักไซ้

             “เออๆ ขี้เกียจตอบเรื่องนี้ก็ได้ แต่อีกเรื่องถ้าไม่ตอบมึงโดนดี”

             “หน็อย...ไอ้หมาก มึงมีปัญญาจะทำอะไรกู”

             “ถ้าอยู่ใกล้ๆ กูจะตบกะโหลกไง” ตอบทั้งๆ รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางอยู่ใกล้ๆ อีกแล้ว

             เสียงหัวเราะเบาๆ ฟังอ่อนโยนมาจากฝ่ายที่อยู่กลางแสงสว่าง

             “เอ้า...อยากถามอะไรก็ถามมา ถ้าไม่ขี้เกียจกูจะตอบให้”

             “เรื่องของคนไข้วันนี้ อาการมันแปลกมาก มึงบอกได้มั้ยว่าเป็นเพราะอะไร”

             “อาคม”

             คำตอบสั้นจนคนถามนิ่งอั้น

             “อาคม” หมอหมากทวนคำก่อนย้อนถามอีกครั้ง “หมายถึงพวกเล่นของ ไสยศาสตร์ อะไรพวกนั้นเหรอ”

             “ใช่” คำตอบสั้นอีกแล้ว

             “เฮ้ย...มึงอย่าบอกนะว่ามีคนใช้อาคมควบคุมไวรัสได้” หมากทำความเข้าใจรวดเร็ว เพียงแต่ยังสงสัย “แล้วทำไม...เขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร?”

             ฝ่ายให้คำตอบนิ่งไปครู่หนึ่ง คล้ายกำลังเลือกคำพูดที่เหมาะสม

             “พวกนักเลงเล่นของที่มีวิชาสมัยก่อนน่ะ เวลาเขาจะทำอาคมใส่ใคร แสดงว่าคนคนนั้นต้องทำให้เขาโกรธเคืองอาฆาตแค้นมาก”

             “งั้นผู้หญิงที่ป่วยคงไปสร้างความแค้นกับพวกเล่นของเข้าน่ะสิ” หมอหมากตั้งข้อสังเกต

             อีกฝ่ายยังพูดต่อเรื่อยๆ

             “พวกที่เล่นของ มีอาคมเก่งกล้า บางทีเขาก็อาจเกิดอาการที่เรียกว่า ‘ร้อนวิชา’ ก็จะปล่อยของออกไปแบบที่เรียกว่า ‘ลมเพลมพัด’ ใครดวงตก ซวยก็โดนไป”

             คำพูดนี้ทำให้หมอหมากนึกถึงคำเตือนของคนแก่สมัยเด็กๆ

             “เออ...จำได้แล้ว ตอนเด็กๆ คุณย่าเคยเตือนว่า ตอนดึกๆ ค่ำๆ เวลาไปในที่แปลกไม่คุ้นเคย แล้วได้ยินเสียงเรียก อย่าขานรับ อย่าหันไปดู หรือถ้าได้ยินเสียงก๊อกแก๊กอะไรแปลกๆ ในบ้านก็ห้ามทัก ไม่งั้น ‘ของ’ มันจะเข้าตัว”

             “ความจำดีแฮะ” ไม่รู้อีกฝ่ายชมหรือหยอกล้อ

             “คนป่วยรายนี้เขาโดนแบบไหนล่ะ” หมอหมากถาม

             “ถามเจ้าตัวดูเอาเองสิ” คำตอบง่าย

             “แล้วเขาใช้อาคมไปควบคุม กำกับพวกเชื้อโรค ไข้เลือดออก ไวรัสพวกนี้ได้ยังไง ฟังดูไม่ใช่ง่ายนะ”

             “หาคำตอบเอาเองบ้างเหอะ ขี้เกียจแล้ว”

             “พลู...” เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงอ่อนแทนคำขอร้อง

             “หมาก...มึงผ่านอะไรมาตั้งเยอะแล้ว เรื่องแค่นี้กูคิดว่าไม่ยากเกินกำลังหรอก”

             ได้ยินอย่างนี้คนอยากถามทำได้แค่ยิ้มอ่อนใจ ใบหน้าที่คล้ายหมอหมากในนิมิตค่อยเลือนหาย แสงสว่างเลือนราง

             จิตใจคุณหมอหนุ่มยังเคล้าเคลีย สงบเบาอยู่ท่ามกลางแสงจางๆ นั้นอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจิตจะคลายตัว รับรู้บรรยากาศรอบตัวอีกครั้งหนึ่ง

             หมอหมากระบายลมหายใจอย่างผ่อนคลาย ชักเท้าลงมาจากราวระเบียง ขยับตัวนั่งในท่าสบาย ละสายตาจากท้องฟ้า มองหมู่ตึกที่เรียงรายใกล้ไกลออกไป



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP