สารส่องใจ Enlightenment

สร้างความดีอย่ารอพระอริยเมตไตรย



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กทม.
เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙




บรรดาพี่น้องทั้งหลายมาทำบุญให้ทานนี้เป็นสมบัติของตัวเองทุกๆ ท่าน
แต่มารวมทำกันเช่นเดียวกับเรารับประทาน
เราสอดอาหารเข้าในมุขทวาร คือปากเท่านั้น
บดเคี้ยวกลืนลงไปแล้วอาหารโอชารสของอาหารจะส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทั่วถึงกันหมด
อันนี้ก็เหมือนกัน การทำบุญให้ทานของเราแต่ละรายๆ ถึงจะรวมกันอยู่ก็ตาม
ท่านผู้ใดมีศรัทธามากน้อยเพียงไร ผลทานก็จะล่วงไหลเข้าไปสู่จิตใจของท่านผู้บำเพ็ญ
เช่นวัตถุไทยทานเวลาเราทำบุญให้ทานนี้ นี้เป็นวัตถุที่หยาบที่เรานำมาให้ทานนี้
ส่วนวัตถุส่วนที่อันเป็นทิพย์ได้แก่ที่เกิดขึ้นจากการให้ทานนี้
ท่านเรียกว่าสมบัติทิพย์ สมบัติทิพย์นี้คอยเจ้าของอยู่
เช่น ไปสวรรค์อันนี้ก็วัตถุไทยทานทั้งหลายก็กลายเป็นสมบัติทิพย์รอเจ้าของอยู่บนสวรรค์
ตามหลักธรรมท่านกล่าวไว้อย่างนั้น



มีอุบาสกคนหนึ่งจะยกตัวอย่างมาให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
อุบาสกคนนั้นเป็นหัวหน้าแห่งการทำบุญให้ทานทุกอย่าง
จิตใจติดแนบอยู่กับธรรมทุกเวล่ำเวลา
เจ้าของยังมีชีวิตอยู่ หอปราสาทของเทวดาซึ่งเป็นสมบัติของท่านผู้นั้น
แลปรากฏเด่นอยู่บนสวรรค์โน้น
แล้วบริษัทบริวารที่เป็นสหายทานด้วยกัน
เวลาตายไปแล้วก็มีหอปราสาทเรียงรายกันอยู่รอบหอปราสาทของอุบาสกคนนั้น



เวลาพระโมคคัลลาน์ ท่านขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วท่านเหล่านั้นก็มาเฝ้ามาเยี่ยมท่าน
แล้วท่านถามถึงเรื่องสมบัติเหล่านี้ เป็นยังไงถึงจะต้องเรียงรายกันอยู่เช่นนี้
ทั้งส่วนใหญ่ส่วนย่อยเต็มไปหมดนี้
ท่านเหล่านั้นก็เล่าให้ฟังว่าสมบัตินี้ได้ทำตั้งแต่อยู่ในเมืองมนุษย์โน้น
เวลาตายแล้วก็ไม่ทราบว่าสมบัตินี้มาได้ยังไงมารวมรออยู่นี้แล้ว
ซึ่งเป็นเจ้าของแต่ละรายๆ เฝ้ากันอยู่นั้น แล้วเวลานี้เจ้าของไปไหน
หอปราสาทเทวดาหลังนี้จึงใหญ่โตรโหฐานมากนัก
บอกว่าเจ้าของยังไม่มา เวลานี้ยังทำบุญให้ทานเพลินอยู่ที่เมืองมนุษย์
เวลาพระผู้เป็นเจ้ากลับลงไปนี้ขอได้เชื้อเชิญ ธัมมิกอุบาสก คนนั้น
ให้ขึ้นมาชมสมบัติทิพย์บนสวรรค์ซึ่งเป็นของท่านเองสร้างไว้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
มีแต่บริษัทบริวารรายล้อมอยู่เช่นนั้น ว่ายังงั้น


พระโมคคัลลาน์ก็ลงมาทูลถามพระพุทธเจ้า
เมื่อพระองค์ทรงทราบ พระองค์ก็รับสั่งเป็นเสียงเดียวกันว่า
เรื่องบุญเรื่องกุศลนี้นั้นไม่ว่าแต่กาลไหน ๆ
ใครทำบุญให้ทานมากน้อยก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดมา และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
อันนี้เป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับศาสนาพุทธ
ที่เรียกว่าศาสนาพุทธดังที่อธิบายเมื่อวานนี้
สิ่งเหล่านี้เป็นกฎธรรมชาติเช่นเดียวกัน
การทำบุญให้ทาน ความเป็นบาปความเป็นบุญของบุคคลผู้ทำนี้
เป็นกฎธรรมชาติของผู้ทำเอง ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว
ไม่มีอะไรมาลบล้างได้นอกจากบุญกุศลค่อยลบล้างกันไป
เช่นเดียวกับน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งที่สกปรก



คือ ความสกปรกโสมมเจ้าของทำไว้ตั้งแต่ยังไม่รู้เดียงสาภาวะ
เวลารู้เนื้อรู้ตัวแล้วก็พยายามทำคุณงามความดี
ชะล้างสิ่งสกปรกนั้นก็ค่อยเบาบางลงไป ๆ จนกระทั่งหมดไปได้
เช่นเดียวกับของสกปรกที่ชะล้างด้วยน้ำที่สะอาด
ย่อมจะเป็นของสะอาดไปตามๆ กันเช่นนั้น
นี่การบุญการกุศลเป็นเครื่องชะล้างสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลายเช่นเดียวกัน
ต่างคนต่างเกิดมาในสถานที่สกปรกโสมมคือกิเลส
มันต้องพาสัตว์ให้ทำความชั่วช้าลามกไปต่างๆ นานา
บุญเป็นผู้ตามชะล้าง เมื่อเรารู้จักเดียงสาภาวะ
แล้วเราก็พยายามสร้างความดีชะล้างสิ่งที่ชั่วช้าลามกทั้งหลายให้เบาบางลงไปๆ
จนกระทั่งเบาที่สุดหมดจดแล้ว ก็ผ่านพ้นจากกองทุกข์โดยประการทั้งปวงไปได้



อันที่กล่าวเหล่านี้ เรียกว่ากฎธรรมชาติแห่งบุญแห่งกรรม
ที่สัตว์ทั้งหลายทำแล้ว ต้องติดตามผู้ที่กระทำไป
ไม่ได้หลงเจ้าของเหมือนสัตว์ต่างๆ ที่หลงเจ้าของ
เช่น สุนัขไปบางครั้งยังหลงเจ้าของก็มี
แต่คำว่าบุญว่าบาปนี้ไม่มีคำว่าหลงเจ้า
รู้ทั้งนั้นใครเป็นคนทำไว้ นี่เรียกว่ากฎธรรมชาติ



เมื่อวานนี้ได้อธิบายถึงเรื่องพุทธศาสนา
คำว่าพุทธศาสนานี้ คือศาสนาของท่านผู้รู้ของท่านผู้วิเศษ
ศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว
เช่น พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้มาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ
เรียงลำดับลำดากันมากี่กัปกี่กัลป์จนกระทั่งบัดนี้
ยังจะเรียงลำดับลำดากันไปอีกไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์
เป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์โลกเป็นน้ำดับไฟ
หรือเป็นน้ำที่สะอาดสำหรับชะล้างสิ่งสกปรกเป็นคู่กันกับกิเลส เรียกว่าเป็นคู่ปรับกัน
กิเลสเป็นสิ่งที่ทำความชั่วช้าลามกให้เกิดบาปเกิดกรรม แก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย
บุญคือธรรมเป็นเครื่องชะล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายเหล่านี้เป็นคู่เคียงกันไป



โลกนี้ถ้ามีตั้งแต่กิเลสปกครองสัตว์โลกโดยถ่ายเดียวแล้ว
สัตว์โลกนี้จะไม่มีความหมายอันใดเลย เคยเกิดมายังไงก็เกิดไปยังงั้นตามไปอย่างนี้
เกิดผิดๆ พลาดๆ ตายผิดๆ พลาดๆ
ได้รับความทุกข์ความทรมานมาอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีคำว่าทางออก
เหตุที่มีทางออกได้ก็เพราะมีศาสนามาเป็นน้ำดับไฟ
มาเป็นน้ำที่สะอาดสำหรับชะล้างสัตว์ทั้งหลายความชั่วช้าลามกที่ตนทำไว้แล้วให้สะอาด
มีทางเล็ดลอดออกไปได้ตามช่องตาข่ายแห่งพระยามารได้แก่กิเลสทั้งหลาย
มันกางเอาไว้ครอบโลกธาตุนี้



อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลนี้พาให้ลอดตาข่ายนี้ออกไปได้ๆ
เช่นพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย
และผู้สิ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงมีจำนวนมากมาย
นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผู้ที่ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้
พาเล็ดลอดออกจากข่ายแห่งวัฏวน คือกองทุกข์ทั้งหลายนี้ไปได้โดยลำดับลำดา
นี่จึงเรียกว่าสัตว์โลกนี้มีความหมายอยู่กับธรรม มีความหมายอยู่กับศาสนา
ถ้าไม่มีศาสนาแล้วสัตว์โลกไร้ไม่มีความหมายตลอดไป
ไม่ว่าแต่เพียงตลอดมาและยังจะไม่มีความหมายตลอดไป
หาทางออกไม่ได้ วกเวียนกันไปวกเวียนกันมา
ด้วยความเกิดความตาย ความทุกข์ยากความลำบากเข็ญใจทุกประเภท
ที่กิเลสมันทรมานสัตว์ทั้งหลายให้จมอยู่ในโลกอันนี้เป็นประจำ



เมื่อมีศาสนามาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ
ซึ่งมาเป็นครั้งเป็นคราวก็ยังดีกว่าที่ไม่มีเลยไม่มาเลย
แต่ตามหลักธรรมชาติแล้วต้องมา มาเป็นวรรคเป็นตอน
ดังจะยกให้ฟังเป็นวรรคเป็นตอน เช่น ภัทรกัป มหาภัทรกัปอย่างนี้
กัปหนึ่งๆ นั้นมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ทีละองค์บ้าง ทีละสององค์บ้าง สามองค์บ้าง
ถ้าเป็นภัทรกัป กัปใหญ่ก็มาตรัสรู้ถึง ๔-๕ องค์
ดังภัทรกัปของเราทุกวันนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์
คือพระอริยเมตไตรย เป็นองค์ที่ ๕ นี้เรียกว่ากัปหนึ่งๆ พอสิ้นกัปนี้แล้วก็เป็นสุญญกัป



ในสุญญกัปนั้นแลเป็นกัปที่สัตว์โลกทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด
ไม่มีน้ำไม่มีเครื่องเยียวยารักษาเลย มีแต่ความทุกข์ความทรมานล้วน ๆ
จนกว่ากัปนี้ผ่านไปกัปหน้าผ่านมา แล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้
ถึงจะได้สร้างคุณงามความดี ถึงจะได้ค่อยรอดพ้นไปได้
บรรดาสัตว์ที่รออยู่แล้วก็เลยรอดพ้นในเวลาที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆ
นี่พวกเราทั้งหลายก็ได้เกิดมาอยู่ในภัทรกัปคือกัปของพระพุทธเจ้า พระสมณโคดม
จากนี้ไปก็จะเป็นพระอริยเมตไตรยมา



เราอย่ารอพระอริยเมตไตรย
ให้สร้างความดีเสียตั้งแต่พระสมณโคดมที่ยังทรงอรรถทรงธรรมไว้
ให้พวกเราทั้งหลายได้รับการปฏิบัติกราบไหว้บูชาอยู่ทุกวันนี้ ให้เป็นขวัญใจให้มีหลักใจ
คนมีหลักใจเรียกว่ามีหลักธรรม ไปที่ไหนไม่ค่อยผิดพลาดเกิดที่ใดไม่ผิดพลาด
เกิดในสถานที่ดี คติที่เหมาะสมคนมีหลักใจ
คนไม่มีหลักใจไขว่คว้าเหมือนกับคนตกน้ำไม่มีที่เกาะ
มีแต่รอความตายเป็นท่าเดียวเท่านั้น
ถ้าคนตกน้ำมีที่เกาะ ก็ยังพอยึดพอเกาะไปได้
นี่คนเวลาเกิดมามีคุณงามความดีก็เรียกว่าเราตกน้ำแห่งความเกิด
ความเกิดนี้เป็นทุกข์ เราก็ได้อาศัยเกาะคุณงามความดีนั้นไว้
แล้วผ่านพ้นไปได้ด้วยความปลอดภัย



จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดหลักใจนี้ไว้ คือหลักธรรมพุทธศาสนา
ได้แก่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ซึ่งกระเทือนพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
อยู่ในหัวใจเราที่ระลึกถึงท่าน ให้ระลึกอยู่เสมอไปทำกิจการงานอันใดก็ตาม
อย่าปล่อยอย่าวางหลักใจอันนี้ ให้เป็นผู้มีหลักใจ
หลักทรัพย์สมบัติภายนอกเรามีพอประมาณแล้ว
พออยู่พอกินพอเป็นพอไปไม่อดอยากขาดแคลนมากนัก
ที่อดอยากขาดแคลนมากก็คือศีลธรรมภายในใจ



เวลานี้โลกกำลังร้อนเพราะกิเลสรุมล้อมนั่นเอง
โลกเย็นก็เพราะมีศีลมีธรรมเข้าประจำใจ
ในครอบครัวหนึ่งๆ อยู่กันด้วยความเป็นสุขร่มเย็น นี่เรียกว่าเป็นผู้มีศีลธรรม
ขอให้ต่างคนต่างมีศีลธรรม ยึดหลักธรรมไว้ภายในใจ
อย่าลืม เวลาจะหลับจะนอนให้ระลึกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
กราบไหว้บูชาเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยนอน
ตื่นเช้าขึ้นมาก็กราบไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ก่อน
แล้วค่อยไปประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ
ให้ทำอย่างนี้เป็นประจำ อย่าลดอย่าละอย่าปล่อยอย่าวาง



จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนเวลามีน้อยเพียงไร
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้มีอยู่ภายในใจ
ในเวลาเช้าเย็นนั้นเป็นประจำ อย่าให้ขาดวรรคขาดตอน
อันนี้เรียกว่าเป็นผู้มีหลักใจเป็นผู้มีศาสนาประจำใจ
ตายแล้วไม่เดือดร้อน เป็นอยู่ก็ไม่เดือดร้อน
ขอให้พี่น้องทั้งหลายยึดหลักนี้ไว้เป็นหลักใจ


วันนี้แสดงธรรมเพียงเท่านี้ ต่อไปนี้จะอนุโมทนาให้พร


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา http://bit.ly/1vDUN2m



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP