เล่าสู่กันฟัง Lite Sharing

Kingdom of Heaven


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it



136 sharing

รูปภาพประกอบจาก http://www.dbcovers.com/big-poster-of-el-reino-de-los-cielos-2005-el_reino_de_los_cielos_2005_2



ภาพยนตร์เรื่อง Kingdom of Heaven เป็นเรื่องเกี่ยวกับสงครามแย่งชิงดินแดนกรุงเยรูซาเล็ม
ระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิมในยุคกลาง (Middle Ages) ซึ่งชาวคริสต์ในยุโรปเชื่อว่า
กรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน และเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเยซู
ในขณะที่ชาวมุสลิมถือว่า กรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้กลับสู่สรวงสวรรค์
ดังนั้น กรุงเยรูซาเล็มจึงเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญ และถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ของทั้งชาวคริสต์และชาวมุสลิม และทำให้เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
โดยสงครามแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เรียกว่า “สงครามครูเสด” (Crusade war)
และอัศวินผู้เข้าร่วมในสงครามครูเสดนี้ เรียกว่า “อัศวินครูเสด” (Crusaders)


เรื่องราวในภาพยนตร์เริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1184
โดยพระเอกชื่อ “เบเลี่ยน” (Balain) มีอาชีพเป็นช่างตีเหล็ก (Blacksmith)
เพิ่งได้รับทราบว่าแท้จริงแล้ว บิดาตนเองเป็นอัศวินครูเสด
และมีตำแหน่งเป็นบารอนแห่งอิบิลีน (Baron of Ibelin) แห่งกรุงเยรูซาเล็ม
ต่อมา เบเลี่ยนได้ร่วมเดินทางกับบิดาเพื่อไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

ในระหว่างทางนั้น ได้เกิดการต่อสู้กับทหาร และบิดาของเบเลี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัส
โดยก่อนที่บิดาของเบเลี่ยนจะถึงแก่ความตาย
เขาได้แต่งตั้งให้เบเลี่ยนเป็นอัศวิน และดำรงตำแหน่งบารอนแห่งอิบิลีน


ในขณะนั้น ฝ่ายคริสเตียนเป็นฝ่ายที่ยึดครองและปกครองกรุงเยรูซาเล็ม
โดยกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มในขณะนั้นมุ่งสร้างสันติภาพกับชาวมุสลิม
เบเลี่ยนได้เข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม โดยกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มทรงสอนว่า

“กษัตริย์อาจสั่งคนได้ บิดาอาจเรียกร้องต่อบุตรได้
แต่จงจำไว้ว่า แม้คนที่สั่งเจ้าจะเป็นกษัตริย์ หรือผู้มีอำนาจก็ตาม
จิตวิญญาณเป็นของเราแต่ผู้เดียว
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว เราพูดไม่ได้ว่า ผู้อื่นบอกให้ข้าทำ (ไม่ดี)
หรือการทำความดีไม่เหมาะในตอนนั้น ข้ออ้างเหล่านี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้”
(ในเรื่องที่บอกว่าจิตวิญญาณเป็นของเราแต่ผู้เดียวนี้จะแตกต่างจาก

คำสอนในศาสนาพุทธที่สอนว่า จิตวิญญาณเป็นอนัตตานะครับ)


ต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มซึ่งป่วยหนักอยู่แล้ว
ต้องมีอาการทรุดลงจนใกล้สวรรคต ซึ่งพระองค์ทรงกังวลถึงอนาคตของกรุงเยรูซาเล็ม
ที่จะต้องตกอยู่ในมือของพระสวามีของน้องสาวพระองค์
ซึ่งเป็นบุคคลที่จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป
เพราะเขาคนนี้มีแนวคิดที่ต้องการจะก่อสงครามระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิม


ก่อนที่จะสวรรคต กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มจึงทรงเรียกเบเลี่ยนให้มาเข้าเฝ้า
และทรงยื่นข้อเสนอให้เบเลี่ยนแต่งงานกับน้องสาวของพระองค์
เพื่อที่เบเลี่ยนจะได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มองค์ต่อไป
เบเลี่ยนได้ทูลถามว่า แล้วพระสวามีของน้องสาวฝ่าบาทจะเป็นอย่างไร
กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มตรัสตอบว่า พระสวามีของน้องสาวพระองค์จะถูกประหาร
พร้อมทั้งอัศวินทั้งหลายที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเบเลี่ยน ก็จะโดนประหารเช่นกัน
เบเลี่ยนได้ฟังแล้ว จึงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวของกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม
โดยเบเลี่ยนได้อ้างคำสอนของกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มเองที่เคยสอนเขาว่า
แม้ว่ากษัตริย์อาจสั่งคนได้ แต่จิตวิญญาณเป็นของคนนั้น
กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มไม่ทรงฝืนใจเบเลี่ยน และพระองค์ได้สวรรคตจากไป



หลังจากที่ออกมาจากที่เข้าเฝ้าแล้ว อัศวินอาวุโสคนหนึ่งได้กล่าวกับเบเลี่ยนว่า
ทำไมเบเลี่ยนจึงต้องปกป้องพระสวามีของน้องสาวของกษัตริย์
ทั้งที่เขาคนนั้นก็เกลียดเบเลี่ยน และจ้องจะฆ่าเบเลี่ยนทุกคราวที่มีโอกาส
และมันยากมากนักหรือเพียงแค่จะแต่งงานกับน้องสาวของกษัตริย์

เพื่อที่จะปกป้องอาณาจักรเยรูซาเล็มให้อยู่รอดได้
เบเลี่ยนตอบว่า ไม่ แต่ว่าอาณาจักรจะต้องเป็นอาณาจักรแห่งคุณธรรม
ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็ไร้ความหมาย


หลังจากนั้น กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มก็สวรรคต
และพระสวามีของน้องสาวกษัตริย์ก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่แห่งเยรูซาเล็ม

กษัตริย์องค์ใหม่แห่งเยรูซาเล็มได้เริ่มสร้างเหตุต่าง ๆ เพื่อก่อสงครามกับชาวมุสลิม
จนกระทั่งกษัตริย์แห่งมุสลิมทรงยกทัพชาวมุสลิมมาบุกกรุงเยรูซาเล็ม
กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มวางแผนจะยกทัพเยรูซาเล็มออกไปรบกับกองทัพชาวมุสลิม
เบเลี่ยนได้มาเตือนห้ามว่า ไม่ควรยกกองทัพออกไปรบนอกเมือง เพราะจะห่างไกลแหล่งน้ำ
ในขณะที่หากกองทัพตั้งรับอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มแล้ว ย่อมจะมีโอกาสรักษาเมืองไว้ได้
ถ้ายกทัพออกไปรบกับกองทัพชาวมุสลิมกลางทะเลทรายแล้ว
กองทัพเยรูซาเล็มนี้จะพ่ายแพ้ย่อยยับ และก็จะไม่มีทหารปกป้องคุ้มครองเมืองด้วย
แต่กษัตริย์องค์ใหม่แห่งเยรูซาเล็มทรงเพิกเฉยคำเตือนของเบเลี่ยน
ซึ่งผลลัพธ์ก็คือทัพของเยรูซาเล็มพ่ายแพ้อย่างหายนะ และกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มโดนจับกุม


เบเลี่ยนได้ทราบถึงความพ่ายแพ้อย่างหายนะของทัพเยรูซาเล็มแล้ว
จึงรวบรวมอัศวินที่เหลือเพียงจำนวนน้อย และประชาชนทั้งหลายในกรุงเยรูซาเล็ม
เตรียมพร้อมที่จะป้องกันกรุงเยรูซาเล็มจากการโจมตีครั้งใหญ่ของกองทัพชาวมุสลิม
ซึ่งหลังจากกองทัพชาวมุสลิมได้เข้าโจมตีเมือง และได้รบกันไป 3 วันแล้ว
เบเลี่ยนให้นำศพทหารและประชาชนที่ตายมากองที่ลานกว้างเพื่อจะทำการเผา
แต่บาทหลวงในเมืองได้คัดค้านการเผาศพเหล่านั้น
โดยอ้างว่าถ้าร่างศพถูกไฟเผาแล้ว จะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้จนกว่าจะถึงวันพิพากษา
(ซึ่งเป็นเรื่องของคำสอนในทางศาสนาคริสต์นะครับ)
เบเลี่ยนตอบบาทหลวงว่า ถ้าเขาไม่เผาศพเหล่านี้แล้ว
ทุกคนในเมืองจะตายด้วยโรคร้ายหรือโรคระบาดภายใน 3 วัน
เขาเชื่อว่าพระเจ้าคงจะเข้าใจ ซึ่งถ้าไม่เข้าใจ ก็คงจะไม่ใช่พระเจ้าล่ะ
และในเมื่อไม่ใช่พระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลอะไร

แล้วเบเลี่ยนก็ได้ทำการเผาศพเหล่านั้น


แม้ว่าเรื่องราวในภาพยนตร์ Kingdom of Heaven
จะเป็นเรื่องราวของศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม โดยไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธก็ตาม
แต่ว่าก็มีเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจ และน่าจะนำมาพิจารณานะครับ
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่กษัตริย์องค์เดิมแห่งเยรูซาเล็มทรงสอนเบเลี่ยนว่า
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้ว เราย่อมพูดไม่ได้ว่า ผู้อื่นบอกให้เราทำไม่ดี
หรือการทำความดีไม่เหมาะในตอนนั้น โดยข้ออ้างเหล่านี้ย่อมไม่สามารถนำมาใช้ได้
เราอาจจะลองพิจารณาเปรียบเทียบกับเนื้อหาของ “ธนัญชานิสูตร”

(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์)
ซึ่งธนัญชานิพราหมณ์กล่าวกับพระสารีบุตรว่า ตนเองเป็นผู้ประมาท
โดยประพฤติไม่ชอบธรรมและประพฤติผิดธรรม
เพราะเหตุต้องเลี้ยงดูบิดามารดา บุตรและภรรยา ทาส กรรมกร คนรับใช้
ต้องทำกิจสำหรับมิตรและอำมาตย์ ญาติ แขก ต้องทำบุญที่ให้แก่ปุพเปตชน
ต้องทำการบวงสรวงแก่พวกเทวดา ต้องทำราชการให้แก่หลวง ฯลฯ
สรุปคือตนเองมีข้ออ้างมากมายว่าจำเป็นต้องประมาท


พระสารีบุตรจึงถามธนัญชานิพราหมณ์ว่า เมื่อธนัญชานิพราหมณ์ถึงแก่ความตาย
และได้ไปพบกับนายนิริยบาลแล้ว เขาจะนำข้ออ้างเหล่านี้ไปอ้างต่อนายนิริยบาล
แล้วขอนายนิริยบาลว่าอย่าได้จับเขาไปลงนรกเลย นายนิริยบาลจะฟังหรือไม่?
ธนัญชานิพราหมณ์ตอบว่า ไม่ฟังหรอก และนายนิริยบาลก็ย่อมจับเขาลงนรกจนได้
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=10725&Z=11069&pagebreak=0


ดังนี้ แม้ว่าเราจะเห็นว่า เรามีข้ออ้างมากมายในการทำสิ่งอกุศลใด ๆ ก็ตาม
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ผลที่เกิดขึ้นก็ย่อมจะเป็นไปตามกรรมที่เราได้ทำไว้
เราไม่สามารถไปอ้างโน่นอ้างนี่ได้ว่า ขอผลแห่งอกุศลกรรมจงอย่าได้บังเกิดขึ้นเลย
เพราะผลกรรมย่อมเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัย โดยไม่ได้เกิดขึ้นตามข้ออ้าง


อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้นไปตามกรรมที่ได้ทำไว้
โดยไม่ได้เป็นไปตามความเชื่อ ดังนั้นแล้ว เราไม่ควรที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ
อย่างเช่นตอนที่บาทหลวงใหญ่ประจำเมืองคัดค้านเบเลี่ยนในการเผาศพนั้น
เบเลี่ยนไม่ได้เชื่อถือตามบาทหลวงใหญ่ประจำเมือง
แต่ว่าเบเลี่ยนยึดถือหลักเหตุผลมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจด้วย


ในส่วนของเราชาวพุทธเอง เราก็ไม่ควรยึดถือเชื่ออะไรง่าย ๆ เช่นกัน
โดยพึงยึดถือหลัก “กาลามสูตร” เช่น เราอย่าได้เชื่อโดยได้ฟังตามกันมา
หรือเชื่อโดยความตื่นว่าได้ยินอย่างนี้ ๆ หรือเชื่อโดยเหตุนึกเดาเอา เป็นต้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=4930&Z=5092
ซึ่งเมื่อเรายึดถือหลักกาลามสูตรนี้แล้ว
เราย่อมไม่หลงกลตกเป็นเหยื่อไปเชื่อถือสิ่งหลอกลวงอื่น ๆ โดยง่าย
เพราะในปัจจุบันก็มีสิ่งปลอมปนเข้ามาหลอกลวงชาวพุทธอยู่มากมาย
โดยเฉพาะบรรดาของพุทธพาณิชย์ทั้งหลายที่อวดอ้างสรรพคุณวิเศษ
ทำให้ร่ำรวยหรือทำให้มีโชคลาภลอย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามพระธรรมคำสอนใด ๆ
ดังนั้น เราชาวพุทธจึงต้องพิจารณาให้ดี และไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ครับ


ในท้ายนี้ ในระหว่างที่ต่อสู้เพื่อปกป้องกรุงเยรูซาเล็มนั้น
เบเลี่ยนได้กล่าวกับชาวเมืองว่า สิ่งสำคัญที่สุดในกรุงกรุงเยรูซาเล็ม
ที่เบเลี่ยมพยายามปกป้องนั้น ไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่อิฐ หิน ดิน ทราย สิ่งก่อสร้าง
ไม่ใช่สถานที่สำคัญ ไม่ใช่ผืนดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินใด ๆ
แต่คือชีวิตของประชาชนทุกคนในกรุงกรุงเยรูซาเล็มนั่นเอง




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP