วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๓๒


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             แสงสว่างแยงตาจนรู้สึกรำคาญ เอื้อกานต์ลืมตามองเห็นเพดานขาว ไฟเปิดสว่าง ลมเย็น ๆ พัดผ่าน หูแว่วเสียงเบา ๆ ข้างเตียง

             คุณหมอฟื้นแล้ว...หมอเอื้อฟื้นแล้ว เสียงของพยาบาล

             จากนั้นเอื้อกานต์ก็รู้สึกสับสน ผู้คนลายตา ทั้งหมอ พยาบาลที่รู้จักต่างมาห้อมล้อมเตียง ตรวจเช็ค ถามคำถามจนหูอื้อ ตอบรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง

             หลังจากได้งีบสั้น ๆ อีกพักหนึ่ง สติสัมปชัญญะค่อยกลับคืน ความทรงจำถูกเรียงลำดับ ประกอบกับมีพยาบาลข้างเตียงคอยอธิบาย ตอบคำถาม ข้อสงสัยทั้งหมด เอื้อกานต์จึงรับรู้ว่าตนเองมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง และสภาพร่างกายยามนี้ใช้งานได้แค่ไหน

             คุณหมอนอนอยู่บนเตียงแบบนี้เกือบสามสัปดาห์ได้แล้วค่ะ เดี๋ยวยังไงคงต้องนวด ทำกายภาพบำบัดก่อน ร่างกายถึงจะเหมือนเดิม

             เอื้อกานต์พยักหน้า เข้าใจ สายตามองหาบางคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้ ๆ

             เห็นทีเกื้อ...น้องชายของหมอมั้ย พูดอย่างนี้เพราะพยาบาลส่วนใหญ่ที่นี่รู้จักเขา

             หนูเห็นผู้กองเขามาเฝ้าคุณหมอที่นี่ทั้งวันทั้งคืนเลยค่ะ แต่แปลกที่เช้านี้หนูไม่เห็นแกเลย โทรเข้ามือถือก็ไม่ติด

             เอื้อกานต์พยักหน้า รอจนไม่มีคนอยู่ในห้อง จึงค่อยจับราวกั้นเตียง หลับตา สำรวมจิต รับรู้ถึงสัมผัสมือทีเกื้อที่เคยจับราวกั้นเตียงนี้ครั้งล่าสุด แล้วภาพนิมิตก็ปรากฏ



             ตอนเช้ามืด ทีเกื้อยืนอยู่ข้างเตียง มือเกาะราวกั้น แล้วก้มหน้าลงมาหอมตรงหน้าผากหล่อนเบา ๆ

             เกื้อดีใจนะที่เอื้อปลอดภัยแล้ว แต่เกื้อคงอยู่รอตอนเอื้อฟื้นไม่ได้ มีงานสำคัญต้องรีบไปทำ เสร็จงานแล้วจะรีบกลับมา...เกื้อสัญญา



             ภาพนิมิตจางหายพร้อมคำพูดที่ก้องในสมอง เอื้อกานต์วางใจ รู้ว่าทีเกื้อมาเฝ้าหล่อนตลอดเวลาจนมั่นใจว่าพี่สาวปลอดภัย จึงออกไปทำงานสำคัญ ซึ่งงานสำคัญของเขาตอนนี้มีเรื่องเดียว

             ...ขัดขวางคิม...ขัดขวางการสังหารเหยื่อรายที่เจ็ด

             ถึงเอื้อกานต์จะรู้รายละเอียดคดีมากกว่าหลายคน แต่หล่อนก็ไม่รู้ว่าคิมคือใคร? มีความสัมพันธ์กับครอบครัวลุงทรงพล และทรงกลดอย่างไร ถึงมาแก้แค้นให้พวกเขา

             เธอเคยเจอคิมครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นสัมผัสถึงม่านสีเทาที่ปกคลุมรอบชายคนนี้ จึงไม่สามารถรู้รายละเอียดอย่างอื่นของเขาได้

             รู้แค่อย่างเดียว...ชายคนนี้...น่าสงสาร!

             สังหรณ์ในใจเอื้อกานต์บอกว่างานครั้งนี้ของทีเกื้อจะเป็นการปะทะครั้งใหญ่ และอาจเป็นครั้งสุดท้ายของคิม ตอบไม่ได้ถึงผลลัพธ์ของมัน เธอรู้แค่ ตนเองไม่อาจออกไปช่วยทีเกื้อได้

             สภาพร่างกายตอนนี้กระปลกประเปลี้ยเต็มที กล้ามเนื้อยังไม่มีแรงพอจะลุกไปไหนต่อไหนได้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือพักผ่อนเต็มที่ ทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้เข้าที่โดยเร็ว



             ถึงเอื้อกานต์ตั้งใจพักผ่อน รอเวลาทำกายภาพบำบัด แต่ข่าวการฟื้นจากนิทราของหล่อนก็แพร่อย่างรวดเร็ว ทั้งหมอ พยาบาลแวะเวียนมาทักทาย แสดงความยินดี ตามมาด้วยธีรภูมิ สัตตบงกช และบิดาของตนเอง

             เห็นเอื้อฟื้นอย่างนี้แล้วพ่อค่อยสบายใจหน่อย ท่านธีรนัฐบอก

             เออ...แล้วเกื้อมันไปไหนล่ะ ทุกทีเห็นมันนั่งเฝ้าที่นี่ตลอด เอื้อตื่นมาเจอมันมั้ย ธีรภูมิถาม

             ไม่นี่คะ หญิงสาวตอบโดยไม่อธิบายอะไรมากกว่านั้น

             อะไรของมันวะ พี่สาวมันฟื้นทั้งที่ น่าจะอยู่ดีใจ นี่กลับหายไปเฉย ๆ ธีรภูมิบ่น

             เอื้อกานต์ยิ้มน้อย ๆ ไม่ตอบคำ สัตตบงกชสังเกตเห็นกิริยานี้ จึงแอบกระซิบถามลับหลังชายทั้งสอง

             พี่เอื้อรู้หรือคะว่าพี่เกื้อไปไหน

             เอื้อกานต์อมยิ้ม มองหน้าหญิงสาว เห็นความเป็นห่วง กังวลใจ

             จ้ะ คุณหมอคนป่วยตอบสั้น ๆ สีหน้ายิ้มแย้มให้อีกฝ่ายคลายกังวล

             ทั้งคนมาเยี่ยมและคนป่วยสนทนาต่ออีกครู่หนึ่ง จนได้เวลาพาเอื้อกานต์ไปนวด ทำกายภาพบำบัด จึงค่อยแยกย้ายกันไป



             เย็นย่ำ...เอื้อกานต์นั่งรถเข็นกลับมาที่ห้อง คิดว่าคงได้พักผ่อนเต็มที่ กลับพบแขกที่ไม่ได้คาดหมาย...คุณหญิงอัปสร

             สวัสดีค่ะ เอื้อกานต์เอ่ยปากทักทายก่อน

             คุณหญิงรอจนพยาบาลพาเอื้อกานต์ขึ้นบนเตียงเรียบร้อย ออกจากห้อง จึงค่อยเอ่ยปากขึ้น

             ได้ข่าวว่าเธอฟื้นแล้ว เลยแวะมาดู คำพูดไม่มีหางเสียง แต่ไม่แข็งกระด้างดังเคย

             ขอบคุณค่ะ เอื้อกานต์ไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านี้

             เธอจำอะไรได้บ้าง คุณหญิงถาม

             ก็...ทุกเรื่องมั้งคะ เอื้อกานต์ตอบ

             ถ้าจำได้...เธอก็น่าจะรู้...ว่าคนที่ควรขอบคุณคือฉัน...ไม่ใช่เธอ

             เอื้อกานต์อึ้ง มองคุณหญิงอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้กำลังอยู่ในอารมณ์ไหน...มีโทสะ หรือกำลังสำนึกบุญคุณ

             คุณหญิงจำได้หรือคะ หญิงสาวลองเสี่ยงหยั่งเชิง

             ฉันฟื้นก่อนเธอตั้งหลายอาทิตย์ ทั้งท่านและตาภูมิก็บอกว่าเกิดอะไรขึ้น และมันก็ตรงกับความทรงจำของฉัน

             ค่ะ... เอื้อกานต์ได้แต่รับฟัง

             ฉันจำได้...ว่าเธอ...ช่วยชีวิตฉัน คุณหญิงเน้นประโยคท้าย

             เอื้อกานต์ระบายลมหายใจแผ่วเบา ยิ้มอ่อนโยน

             ดิฉันเป็นหมอ...หน้าที่ของหมอคือรักษาคนไข้ค่ะ

             แล้วมีหมอที่ไหน รักษาคนไข้ จนตัวเองต้องเป็นอย่างเธอบ้าง คุณหญิงย้อน

             เอื้อกานต์ฝืนยิ้ม เดาอารมณ์อีกฝ่ายไม่ถูกว่ามาดีหรือมาร้าย

             อาจบางที...คุณหญิงกำลังสำนึกบุญคุณ แต่อคติที่พอกพูนมาเป็นสิบ ๆ ปี ทำให้เธอไม่กล้าแสดงความรู้สึกตรง ๆ ก็ได้

             จะรักษาแบบไหน แค่คนไข้หายป่วย เราก็พอใจแล้วค่ะ เอื้อกานต์ตอบแบบกลาง ๆ

             คุณหญิงนิ่งไปชั่วครู่ แววตาสับสน ลังเล ใจหนึ่งอยากพูดสิ่งที่คิด อีกใจก็ไม่กล้าเอ่ยปาก กลัวเสียศักดิ์ศรี สุดท้ายก็รีบพูดประโยคที่คาอยู่ในใจออกมา ก่อนตนเองจะเปลี่ยนใจไม่ยอมพูดถึงมันอีกเลย

             ฉันไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร...โดยเฉพาะเธอ คุณหญิงจ้องตาฝ่ายตรงข้ามเขม็ง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมา...ฉันรับปากจะทำให้

             เอื้อกานต์ไม่เคยคิดว่าจะได้คิดคำพูดแบบนี้จากคุณหญิงคู่แค้น

             ดิฉันทำงานตามหน้าที่...ไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเลยค่ะ เอื้อกานต์พูดเสียงอ่อน เข้าใจจิตใจอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น

             ถ้าเธอไม่ต้องการ น้องชายเธออาจต้องการก็ได้

             คะ... หญิงสาวเอ่ยปากงง ๆ ไม่เข้าใจ

             มีบางเรื่องที่ฉันน่าจะช่วยน้องชายเธอได้...ไปคิดมาให้ดีก็แล้วกัน...ฉันไม่เร่งรัดเวลา

             พูดจบ คุณหญิงก็ออกจากห้อง ทิ้งเอื้อกานต์ให้งุนงงอยู่พักใหญ่

             คุณหญิงอัปสรมาพูดแบบนี้ หมายความว่าอย่างไร...เธอไม่อยากติดหนี้บุญคุณ จึงต้องการเข้ามาช่วยเหลือบางอย่าง เพื่อไม่ให้ต่างฝ่ายต้องติดค้างกัน

             ถึงเอื้อกานต์ไม่มีเรื่องให้ช่วย แต่ทีเกื้อมี...แล้วมันเรื่องอะไร...เรื่องอะไรที่ทีเกื้อต้องการความช่วยเหลือจากคุณหญิงอัปสร

             เวลานี้เอื้อกานต์สมองตื้อเกินกว่าจะหาคำตอบได้ ยังโชคดีที่คุณหญิงไม่เร่งรัดเวลา...รอให้ทีเกื้อเสร็จจากงานเสียก่อนค่อยคุยกัน...เรื่องนี้เจ้าตัวน่าจะรู้ดีกว่าหล่อน

             แม้สองพี่น้องฝาแฝดจะรู้ใจกัน แต่ก็ไม่ถึงขนาดรู้ลึกซึ้งไปเสียทุกเรื่องขนาดนั้น ยิ่งเอื้อกานต์เป็นเจ้าหญิงนิทรา ไม่รับรู้เรื่องราวของคนอื่นมาตลอดสองสามสัปดาห์แบบนี้ด้วย

             หวังว่าทีเกื้อคงจะกลับมาคลี่คลายข้อสงสัยโดยเร็วก็แล้วกัน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             คุณหญิงอัปสรออกจากห้องเอื้อกานต์พร้อมถอนใจอย่างโล่งอก สิ่งที่ค้างคาใจถูกพูดออกมาหมดแล้ว หล่อนเปิดโอกาสสำคัญให้แก่พี่น้องฝาแฝดอย่างที่ไม่เคยเปิดให้ใครมาก่อน

             เรื่องระหว่างทีเกื้อกับสัตตบงกชสามารถมีที่จบ จุดลงเอยที่ดีได้หากคุณหญิงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

             สัตตบงกชได้บอกความรู้สึก ความต้องการของตัวเองแล้ว ธีรภูมิ ลูกชายที่เธอรักก็อยากสนับสนุนเรื่องของทีเกื้อกับสัตตบงกช คู่หมั้นของตนเองให้สมหวัง กระทั่งท่านธีรนัฐ ยังเอ่ยปาก...อยากให้คุณหญิงคิดว่า สองพี่น้องฝาแฝดเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...

             เวลานี้ คุณหญิงยังไม่สามารถทำใจยอมรับลูกนอกสมรสทั้งสองนั้นเป็นคนในครอบครัวเดียวกันได้ แต่ถ้าจะช่วยจัดการเรื่องของทีเกื้อกับสัตตบงกชให้ลงเอยอย่างเหมาะสมก็พอไหว

             ถือว่าทำเพื่อไม่ต้องมาติดค้างบุญคุณต่อกัน

             ตอนนี้ คุณหญิงเปิดทางขนาดนี้แล้ว อยู่ที่สองพี่น้องจะเข้าใจ และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่คุณหญิงยื่นให้แค่ไหน

             คุณหญิงเชื่อว่า ทีเกื้อกับเอื้อกานต์ ไม่ใช่คนโง่จนไม่รู้ว่า โอกาสเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เซฟเฮาส์หลังนั้นตั้งอยู่ในหุบเขา ท่ามกลางแมกไม้ สวนหย่อมที่จัดสรรสวยงาม เป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่ ที่มีบ้านคล้ายกันหลายหลัง ธรรมชาติกลางหุบเขา สวยงามด้วยการตกแต่ง เพิ่มเติม จัดวางอย่างเป็นระเบียบ กลมกลืน

             ในเซฟเฮาส์มีบุคคลสำคัญพักหลบภัย เสียงของท่านรองฯ เจ้านายโดยตรงของทีเกื้อกำลังคุยกับบุคคลสำคัญที่ถูกเชิญตัวมาอารักขาแว่วมาเบา ๆ

             ฉันต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนฮึท่านรองฯ

             จนกว่าเราจะจับตัวคนร้ายได้ครับท่าน

             หรือไม่ก็จนกว่าคนร้ายนั่นมันจะฆ่าฉันตายใช่ไหม

             ผมรับรองครับ มันจะไม่สามารถเข้าถึงตัวท่านได้

             เท่าที่ฉันรู้ ไอ้คนร้ายนี่มันสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องเข้าถึงตัวเลยนี่

             ครับ ผมทราบ แต่นั่นมันก็ต้องมีวิธีการ ขั้นตอนต่าง ๆ หลายอย่าง ซึ่งผมได้ตัดทอนขั้นตอน เส้นทางของมันหมดแล้ว

             ไอ้เรื่องที่ให้ฉันตรวจเช็ก และเก็บของสำคัญทุกชิ้นไว้ทั้งหมด รวมถึงส่งตำรวจตามประกบคนใกล้ชิดทุกคนของฉันอย่างนั้นหรือ?

             ครับท่าน มันเป็นเรื่องจำเป็น

             หึหึ ฉันเข้าใจนะท่านรองฯ ว่าที่ทำไปทั้งหมดนั่นเพราะหวังดี อยากให้ฉันปลอดภัย แต่เคยถามฉันสักคำมั้ย ว่าต้องการแบบนั้นหรือเปล่า

             เอ่อ...ท่านครับ

             ฟังนะ...ฉันน่ะอายุขนาดนี้แล้ว ได้มี ได้เป็นในสิ่งที่คนทั้งประเทศอยากมีอยากเป็นมาแล้ว ถึงฉันจะลงจากตำแหน่ง ทรัพย์สินเงินทองฉันก็มีมากมายทิ้งให้ลูกหลานมันผลาญได้อีกนาน ไปไหนก็ยังมีคนเคารพ ก้มหัวให้ แล้วฉันยังต้องกลัวอะไรอีก ตายไปตอนนี้ฉันก็ไม่ได้เสียดายอะไรอีกแล้ว

             แต่เราก็ไม่อยากให้ท่านเป็นอะไรนะครับ

             ฉันรู้ มันเป็นหน้าที่ของเธอ เพราะฉะนั้น ฉันถึงยอมมาอยู่ที่นี่ไงล่ะ แต่ที่ฉันจะบอกคือ ความรู้สึก ความต้องการของตัวฉันเองต่างหากล่ะ คนที่ผ่านจุดสูงสุดในชีวิตมาแล้วอย่างฉัน วันนี้ไม่แคร์หรอกว่าจะอยู่หรือตาย

             ครับ....ท่าน

             เอาล่ะ ฉันให้เวลาเธอทำงานแค่สามวันเท่านั้น พ้นจากนี้ ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะขอกลับบ้านเสียที ให้ทนอุดอู้อยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ไหวหรอก

             ครับท่าน

             หลังจากเสียงรับคำไม่นาน ประตูเซฟเฮาส์ก็เปิดออก ท่านรองฯ เดินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กวักมือเรียกตำรวจที่ยืนแถวหน้าประตูให้มาหา

             เป็นไงบ้างนภ ท่านรองฯ เรียกชื่อลูกน้องสนิทสนม

             แถวนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติครับ

             ดี คอยระวังเอาไว้ แล้วมีข่าวอะไรจากสายด้านนอกมั้ย

             ตอนนี้ยังไม่มีใครเห็นผู้ต้องสงสัยในบริเวณใกล้เคียงเลยครับ

             สายเราดูแน่แล้วหรือ...ดูรูปผู้ต้องสงสัยใบใหม่ด้วยนะ

             แน่ครับ ใบหน้าผู้ต้องสงสัยรายใหม่ดูสะดุดตาขนาดนั้น เห็นที่ไหนก็จำได้ไม่ยาก

             นภพูดพลางนึกถึงรูปใบหน้าเรียบ ๆ จืด ๆ ของคิมผู้ต้องสงสัยรายแรก กับรูป ทรงกลดใบหน้าผู้ต้องสงสัยรายล่าสุดที่ทีเกื้อนำมาให้ มันดูแตกต่างกันชัดเจน

             ทีเกื้ออยู่ไหน?

             ออกไปกับสายสืบครับ เขาตั้งใจหาผู้ต้องสงสัยให้พบก่อนมันจะเข้ามาถึงที่นี่

             ดี ท่านรองฯ พยักหน้าพอใจ

             หลังจากทีเกื้อมาร่วมทีม แผนถูกปรับเปลี่ยนหลายอย่าง ที่สำคัญคือรูปผู้ต้องสงสัยถูกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรูป เป็นรูปบุคคลที่ท่านรองฯ รู้ว่าเสียชีวิตไม่ต่ำกว่าห้าปีแล้ว

             เรื่องที่ทีเกื้อรายงานอาจฟังเหลือเชื่อสำหรับหลายคน แต่ท่านรองฯ เคยเผชิญกับคดีแปลก ๆ เช่นนี้มาแล้ว จึงไม่ประมาท ดูถูก หนำซ้ำเพิ่มการระวังภัยอีกชั้น

             ท่าน ให้เวลาแค่สามวัน สำหรับการถูก อารักขาอยู่ในเซฟเฮาส์แห่งนี้ ท่านรองฯกลับสังหรณ์ใจว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางรอจนถึงสามวัน มันต้องมาปรากฏตัวก่อนแน่ ๆ

             ถ้าคำพูด ความเห็นของทีเกื้อมีเค้าความจริง คนร้ายรายนี้จะไม่ใช้วิธีแบบเดิมซ้ำกับเหยื่อรายอื่น ท่านรองฯ ก็เชื่อว่ามันต้องหาวิธีบุกจัดการเหยื่ออย่างรวดเร็ว เกินคาดที่สุดด้วย

             ท่านรองฯ รู้ว่า ท่าน คนนี้เป็นบุคคลสำคัญ ที่คว่ำอดีตรัฐมนตรีทรงพล จนเสียชีวิตอย่างหาซากศพไม่ครบ ถึงข้อมูลที่อยู่ในกระเป๋ากล้องใบนั้นจะบอกให้รู้ ให้เข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังการระเบิดของเครื่องบิน รวมถึงเบื้องหลังแผนการ จัดการกับอดีตรัฐมนตรียุติธรรมก็จริง แต่หากถูกนำไปใช้ในชั้นศาล มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะอ่อนเกินกว่าจะเอาผิดกับคนอย่างท่านได้

             ท่านผู้นี้ แม้จะลงจากตำแหน่ง ไม่มีอำนาจแล้ว...แต่ท่านก็ยังมีทรัพย์สินมหาศาล ประกอบกับบารมีที่เคยช่วยเหลือพวกพ้องไว้มากมาย ถ้าไม่มีหลักฐาน พยานแน่นหนา แข็งแรง ก็ไม่มีทางที่จะเอาผิดกับท่านได้เลย...

             เพราะจะมีใครสักกี่คนที่กล้าเอาผิดกับ...ท่าน...อดีตนายกรัฐมนตรีได้!




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๒๘



             บนเนินเขาเหนือรีสอร์ต

             ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้า ระบายแสงสีส้มแดงอมม่วงไว้บนนภาผ้าใบผืนใหญ่ ก่อนคลี่ม่านสนธยาคลุมโลก หมู่นกบินเป็นฝูงตัดปุยเมฆที่ถูกย้อมด้วยสีสันแปลกตากลับสู่รัง

             ทรงกลดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทอดสายตาลงไปยังบ้านพักหลายหลังที่ปลูกกระจัดกระจายอย่างเป็นระเบียบ ไม่ต่างจากบ้านตุ๊กตา ชั่วเวลาไม่นาน จุดดำสนิทในดวงตาเขาก็ทอประกายวาบ บาดลึก ริมฝีปากเหยียดออกคล้ายยิ้ม คล้ายเยาะหยัน

             เขารู้แล้วว่ามันอยู่บ้านหลังไหน รู้อีกด้วยว่ามีจำนวนตำรวจอารักขามากเท่าใด ซุ่มอยู่จุดใดบ้าง

             ชายหนุ่มรูดใบไม้จากกิ่งใกล้มือมากำไว้ ริมฝีปากขยับ สวดท่องอาคมรัวเร็วโดยไม่เปล่งเสียง นัยน์ตาเบิกกว้าง จุดดำกลางดวงตาขยายใหญ่ขึ้น เปล่งพลังมืดออกมาชวนสั่นสะท้าน

             พอเขาแบมือออก สายลมกรรโชกวูบ ใบไม้ในมือปลิวว่อน ล่องลอยอย่างมีทิศทาง ตามกระแสพัดพาแห่งแรงลม ลงไปยังบ้านในหุบเขาด้วยความเร็วน่าตระหนก

             หากใครสังเกตใบไม้เหล่านั้นให้ดี จะเห็นลักษณะของมันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ใบไม้สีเขียวเช่นเดิม มันแปรรูปร่างเป็นตัวต่อสีดำ ขยับปีกบินว่อน ส่งเสียงหึ่ง ๆ มุ่งหน้าสู่จุดหมายเป็นฝูงมหึมา กระจายตัวไปทั่ว

             ทรงกลดมองตามฝูงต่ออาคมด้วยแววตาเฉยเมย กับเหยื่อรายสุดท้าย เขาไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง เสียเวลาวางแผนสังหารให้ลำบาก ยุ่งยาก เพราะไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังตัวตนและเจตนาร้ายอีกต่อไป

             ครั้งนี้จะเป็นการล้างแค้นครั้งสุดท้าย อาคมที่ใช้เป็นแบบตรงไปตรงมา ทว่าโหดร้าย รุนแรงไม่ต่างจากเดิม




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เสียงหึ่ง ๆ แปลกประหลาดดังมาจากรอบทิศทาง แสงสลัวยามสนธยาก่อให้เกิดเงาตะคุ่ม ตามต้นไม้ที่รายรอบ ยากบอกได้ว่าต้นเสียงเป็นตัวอะไร มาจากไหน ทำได้เพียงใช้โสตประสาทสดับฟัง แยกแยะทิศทาง ถึงอย่างนั้น เสียงที่ดังมาโดยรอบ และแสงที่น้อยเกินไปก็ทำให้ประสาทสัมผัสทำงานได้ไม่เต็มที่

             จนกระทั่งมีเสียงดังขึ้นมาจากตำรวจอารักขาที่คอยแอบซุ่มตามจุดต่าง ๆ

             โอ๊ย...โอ๊ย...โอ๊ย...

             เสียงร้องดังมาทั้งด้านหน้า ซ้ายขวา ด้านหลังรอบเซฟเฮาส์ ตามมาด้วยเสียงหึ่ง ๆ ที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

             ท่านรองฯ ออกไปยืนกลางสนามหน้าเซฟเฮาส์ นัยน์ตามองเห็นตัวต่อสีดำบินตรงมาเป็นฝูงย่อม ๆ ความที่คุ้นเคยกับ ของเล่นประเภทนี้ ประกอบกับเป็นศิษย์มีครู นายตำรวจอาวุโสจึงสำรวมจิตมั่น จ้องมองพวกมันเขม็ง จิตที่ฝึกมาช่ำชองมีกำลังอยู่ตัว ทำให้ไม่ยากที่จะเกิดสมาธิ

             จิตมีกำลังสมาธิ นัยน์ตาจ้องฝูงตัวต่อเขม็ง ปากส่งเสียงตวาดลั่น

             เฮ้ย!”

             เสียงตวาดพร้อมกำลังสมาธิหนักแน่น ทำให้ฝูงตัวต่อหยุดชะงัก ร่วงหล่นบนพื้นดังกราว ๆ สภาพไม่ผิดกับใบไม้หลุดจากขั้ว

             ท่านรองฯ เข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นตัวต่อสีดำกลายเป็นใบไม้สีเขียวหล่นเกลื่อนทั่วพื้น เพียงเท่านี้ก็พอคาดเดาวิธีการเล่นงานจากฝ่ายตรงข้ามในคืนนี้ได้

             แว่วเสียงร้องโอดโอยจากตำรวจอารักขาที่โดนพิษจากต่ออาคมหลายคนตามจุดต่าง ๆ ท่านรองฯ หันไปสั่งนภ...นายตำรวจที่อยู่ใกล้

             พาตัวคนเจ็บมารวมที่นี่...แล้ว ว.สั่งทุกคนให้ขยับวงล้อมมาใกล้เซฟเฮาส์ไว้ ตอนนี้มันรู้แล้วว่าท่านอยู่ที่ไหน พอเข้าประจำจุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ว.แจ้งมาทันที

             ครับ

             สิ้นเสียงคำสั่ง และการรับคำสั่ง ก็เกิดการปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว เป็นระเบียบ เสียงสั่งทางวิทยุถูกถ่ายทอดไปยังจุดต่าง ๆ ทำให้นายตำรวจอารักขาที่เฝ้าประจำจุดไกล ๆ เร่งเข้ามาประจำจุดใหม่ รอบเซฟเฮาส์ในระยะไม่เกินยี่สิบเมตร

             นายตำรวจที่โดนต่ออาคมทำร้ายมีราว ๆ สิบนาย ถูกนำมารวมที่ห้องด้านหลังเซฟเฮาส์ สภาพแต่ละคนมีใบหน้าบวมเป่ง เหมือนโดนแมลงมีพิษต่อยจริง ๆ สีหน้าเจ็บปวดแต่สะกดกลั้น พยายามไม่ร้องครวญคราง

             ท่านรองฯ เห็นลูกน้องตนเองเป็นเช่นนั้น ก็สั่งให้นภหยิบกระเป๋ายาใบใหญ่มาให้ จากนั้นเปิดกระเป๋าเลือกยาเม็ดลูกกลอนสีน้ำตาลออกมากำมือหนึ่ง ยื่นให้นายตำรวจหนุ่ม

             นภ...เอายานี่ไปให้พวกเขากินกันก่อน

             สั่งเสร็จแล้วก็หยิบขวดที่บรรจุน้ำมนต์ออกมา บอกนายตำรวจอีกคนที่อยู่ใกล้ ให้รินน้ำสะอาดใส่เหยือก จากนั้นหยดน้ำมนต์ในขวดลงไป ริมฝีปากท่องสวดบทพุทธคุณเบา ๆ

             เสร็จจากพิธีกรรมก็เงยหน้าสั่ง

             เทน้ำในเหยือกนี่ใส่แก้วให้พวกเขาดื่ม

             ครับ

             ยาสมุนไพรรวมกับน้ำมนต์ อาจไม่ทำให้อาการหายขาดทันที แต่พอช่วยทุเลาความเจ็บปวดลงได้ จนกว่าจะจัดการกับผู้ปล่อยของสำเร็จ พิษของต่ออาคมถึงจะสลายไปเอง

             ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการสั่งการ ดูแลคนเจ็บ เสียงวิทยุก็แจ้งเข้ามาว่านายตำรวจที่เหลือได้เข้าประจำจุดใกล้เซฟเฮาส์เรียบร้อยแล้ว

             คอยสังเกตผู้บุกรุกให้ดี ถ้าบุกเข้ามา รีบหยุดมันทันทีเสียงสั่งทางวิทยุเฉียบขาด

             นภสังเกตเห็นแวววิตกกังวลทิ้งรอยจาง ๆ บนสีหน้าแววตานายตำรวจอาวุโส เส้นผมที่หงอกขาวดูจะเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเส้น

             ทีเกื้อเป็นยังไงบ้าง ท่านรองฯ ถาม

             เข้าประจำจุดตั้งแต่บ่ายแล้วครับ น่าจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร นภตอบ

             ดี...งั้นคุณตามผมมา...ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะมีของเล่นอะไรส่งมาให้พวกเราอีก
 
             ครับ

             นภตอบรับ รู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยผ่านการฝึกพิเศษอันหนักของตำรวจมาแล้ว เจอสถานการณ์จริงก็หลายครั้ง แต่ไม่มีหนใดเหมือนครั้งนี้...ครั้งที่เขาไม่รู้ว่าศัตรูเป็นตัวอะไรกันแน่ เป็นคนธรรมดาเหมือนเขา หรือเป็นพ่อมดหมอผีที่มีความสามารถเกินธรรมดา กระทั่งวิธีการเล่นงานของมัน ก็เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งประสบครั้งแรกในชีวิต

             แค่ตัวต่อกลายเป็นใบไม้ก็น่าแปลกใจแล้ว ทว่าใครจะคิด...เจ้าสิ่งเหล่านี้กลับทำให้คนบาดเจ็บได้จริง หนำซ้ำ ผู้บังคับบัญชาที่เขาเชื่อมั่น นับถือ ยังบอกว่านี่เป็นแค่ของเล่น...ต่อไปจะมีของเล่นที่เหนือชั้นและร้ายกาจกว่านี้

             สองนายตำรวจต่างวัยออกมาซุ่มตรงมุมเสาหน้าเซฟเฮาส์ ดวงตะวันเพิ่งจะลับเหลี่ยมโลก ฟ้ายังไม่มืดสนิทดีนัก ดาวบางดวงเริ่มเปล่งแสงเป็นประกาย อากาศรอบตัวนิ่งสนิท อบอ้าว ร้อนแบบชืด ๆ ชวนอึดอัด หายใจไม่ออก

             ยังไม่ทันที่จะเตรียมวางแผนรับมือต่อไป ทั้งสองก็มองเห็นเงาร่างสูงผอมวิ่งวอบแวบหลบตามแนวไม้ใกล้ ๆ แสงสลัวเห็นแค่เงาตะคุ่ม ไม่อาจมองเห็นใบหน้าถนัดตา

             ท่านรองฯ ส่งสัญญาณให้นภเตรียมแยกย้ายกันออกไปสกัดกั้นอาคันตุกะรายนี้ ยังไม่ทันทั้งคู่จะขยับตัวตามแผน เสียงระเบิดกระสุนก็ดังมาจากด้านหลังเซฟเฮาส์

             เปรี้ยง...ปัง...ปัง...ปัง

             จากนั้น ทั้งด้านหลัง ด้านข้างก็มีเสียงกระสุนตามมาเป็นพรวน ราวกับเผชิญหน้ากับกองทัพนิรนาม

             เกิดอะไรขึ้น ท่านรองฯ วิทยุถาม

             เราพบคิมแล้วครับ อยู่ด้านหลังเซฟเฮาส์

             เราก็พบคิม พร้อมอาวุธครบมืออยู่ด้านข้าง เก้านาฬิกาของเซฟเฮาส์

             เราพบคิมด้านตะวันออกเฉียงเหนือครับ มันเป็นฝ่ายเริ่มยิงพวกเราก่อนครับ

             เสียงวิทยุแข่งกันรายงานแซงแซ่ ผสานกับเสียงปืนดังเป็นชุด ท่านรองฯ ฟังด้วยความฉงนแวบแรก ก่อนคำตอบจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้า



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP