วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๘


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๒๔



             ก่อนเครื่องบินระเบิด ไม่มีสัญญาณใดบอกเตือนให้รู้ ทรงกลดกับพ่อแม่ขึ้นเครื่องด้วยอารมณ์หดหู่ คับแค้น ไม่อยากเชื่อว่าพวกตนต้องหนีหัวซุกหัวซุนด้วยความผิดที่ไม่ได้ก่อ

             ทำไมเราไม่สู้ครับพ่อ เขาถามประโยคนี้กับบิดา

             เราสู้คนที่สามารถพลิกขาวให้กลายเป็นดำ ทำถูกให้กลายเป็นผิดในเวลานี้ไม่ได้หรอกลูก พ่อตอบอย่างคนเข้าใจโลก

             พวกเขาไม่ได้หลบหนีความผิด ไม่ได้หลบหนีการตามล่า แต่หนีเพื่อตั้งหลัก ใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ รอจนผู้มีอำนาจในเวลานี้หมดอำนาจลง ค่อยหาวิธีกลับมาทวงความยุติธรรม เป็นเวลาที่สามารถเรียกศักดิ์ศรีคืนได้

             พ่อไม่กลัวติดคุก แต่จะเสียใจ หากต้องตายโดยมีความผิดที่ไม่ได้ก่อติดตัว

             คุณธีรนัฐเสี่ยงมาบอกข่าวพวกเราว่า พวกนั้นมันเอาจริงแน่ เพราะพ่อไปขวางเรือลำใหญ่กว่าที่คิด ถ้าพ่อไม่ตาย พวกมันก็อยู่ไม่ได้

             จากข่าวที่เชื่อถือได้ เป็นคนในรัฐบาล ที่พ่อรู้จักตั้งแต่เป็นเด็กวัดมาด้วยกัน ทำให้พวกเขาต้องทิ้งศักดิ์ศรี หนีหัวซุกหัวซุน โดยไม่รู้ว่า มันมีกับดัก อยู่ตรงปลายทางหนี...

             เครื่องบินลำที่พวกเขาขึ้นมา ถูกลอบวางระเบิดจากมืออาชีพ ด้วยคำสั่งของคนที่มีอำนาจอย่างยิ่งคนหนึ่ง

             ก่อนเครื่องบินระเบิด ทรงกลดและพ่อแม่เพิ่งจะเคลิ้มหลับ อากาศเย็นสบาย มีกลิ่นหอมลอยมาชวนเคลิบเคลิ้ม ลืมตัว

             เขายังมีสติ เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหา ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วแบกเขาขึ้นบ่าเดินไปทางท้ายเครื่อง

             ทรงกลดอยากดิ้นรน ตะโกนร้อง ทว่าทำอะไรไม่ได้อย่างคิด นัยน์ตาพร่ามัว เห็นผู้โดยสารคนอื่นล้วนหลับสนิท กระทั่งพนักงานบริการบนเครื่องก็ฟุบหลับ...หลับเหมือนต้องมนต์สะกด

             เขาสะลึมสะลือไม่ค่อยรู้สึกตัว ไม่รู้ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง...รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้อง ตัวเขาถูกเหวี่ยงมานอกเครื่อง

             สติขาด ๆ หาย ๆ รู้แค่ตัวโดนมัดกับชายร่างใหญ่ที่แบกเขามาแต่แรก รอบตัวมืด เวิ้งว้าง กระแสลมผ่านหูดังอู้ ๆ แสงสว่างจากระเบิดชั่วขณะส่องให้เห็นร่มชูชีพขนาดใหญ่กางใบเหนือหัว ช่วยชะลอการตกให้ช้าลง ซึ่งขนาดนั้นใช้เวลาไม่นานเลยก็ตกถึงพื้น

             หลังจากฟื้นตื่น กลับมามีสติ เขาก็ได้รู้จักกับฮันเตอร์ คิม



             ฮันเตอร์ คิม ไม่ใช่ชื่อจริงของชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ที่ช่วยชีวิตเขา มันเป็นชื่อที่เจ้าตัวตั้งเอง และพอใจให้คนรอบข้างเรียกตนเองเช่นนั้น

             ถึงฮันเตอร์ คิมจะมีอายุเกินครึ่งร้อย ร่างกายก็ยังแข็งแรง คล่องแคล่ว ประกายตาเจิดจ้า มีอำนาจ สามารถสยบคนใกล้ตัวได้เพียงแค่เหลือบตามอง นอกจากนี้ยังมีความสามารถอันน่ามหัศจรรย์ พาทรงกลดออกจากป่าใหญ่ใกล้บริเวณเครื่องบินตกมาอย่างปลอดภัย

             ทรงกลดไม่มีโอกาสพบศพบิดามารดา แรงระเบิดฉีกเครื่องบินจนชิ้นส่วนตกกระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง ซากศพส่วนใหญ่แหลกเป็นชิ้น ไม่มีอวัยวะครบ บางชิ้นก็ไหม้เกรียม ยากบอกได้ว่าเป็นใคร

             เขากับฮันเตอร์ คิมแฝงตัวอยู่ในกลุ่ม คณะกู้ซากเครื่องบิน ลอบกลับเมืองไทยโดยไม่มีใครรู้

             ระหว่างการเดินทาง ทรงกลดเล่าเรื่องของตนเองและครอบครัวให้ฮันเตอร์ คิมฟังจนหมดโดยไม่ปิดบัง พอมาถึงเมืองไทยผู้สูงวัยกว่าก็แนะนำให้เขาหลบซ่อน ปิดบังตนเอง ใช้เหตุเครื่องบินตกให้เป็นประโยชน์ ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเขาและครอบครัวเสียชีวิตแล้ว พวกมันจะได้คลายการระวังตัว เปิดโอกาสให้สืบหาความจริงง่ายขึ้น

             ทรงกลดยอมรับ เข้าใจ แต่เกือบอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นเอื้อกานต์ร้องไห้ น้ำตาแทบเป็นสายเลือด ตอนเธอกับทีเกื้อมารับอัฐิครอบครัวเขาที่สนามบิน

             น้ำตา และอาการเสียใจอย่างที่สุดของหญิงคนรัก ทำให้หัวใจเขาปวดร้าว อยากเข้าไปบอก เปิดเผยความจริงว่าเถ้ากระดูกเหล่านั้นไม่ใช่ของเขา อาจมีชิ้นส่วนของพ่อแม่เขาบ้าง แต่เขาไม่อยากให้เธอเสียใจขนาดนี้

             ยังดีที่เขาเห็นทีเกื้อยืนเป็นหลัก โอบกระชับร่างพี่สาวไว้ไม่ยอมให้ล้ม ความเข้มแข็ง หนักแน่นของคนเป็นน้องชาย ทำให้เอื้อกานต์ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ และช่วยให้ทรงกลดวางใจง่ายขึ้น มุ่งหน้าทำงานของตนเต็มที่

             ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังลอบดูเอื้อกานต์บ่อย ๆ หลายครั้งที่เห็นเธอร้องไห้คนเดียว เขาก็อดใจไม่ไหว อยากเข้าไปเปิดเผยความจริง

             เวลานั้นฮันเตอร์ คิมจะฉุดรั้งเขาไว้

             อยากให้การตายของพ่อแม่เธอต้องสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ?

             ทรงกลดต้องหักใจ และตัดใจไม่ยอมไปหาเอื้อกานต์อีก มุ่งหน้าสืบหาความจริง เบื้องหลังคดีใส่ความที่พ่อได้รับ และเรื่องเครื่องบินถูกวางระเบิดอย่างเดียว

             การเป็นบุคคลนิรนาม ที่ตายไปแล้วทำให้ง่ายต่อการลอบสืบสวน และไม่เป็นเป้าให้ฝ่ายตรงข้ามลอบทำร้าย

             ฮันเตอร์ คิมมีการสืบสาวคดีด้วยวิธีการพิเศษ พิสดาร ใช้ทั้งเล่ห์ กล มนต์ คาถาครบ จากจุดหนึ่ง โยงไปอีกจุดหนึ่ง จนสามารถขยายเรื่องราวออกมาได้ชัดเจน

             ทรงกลดตกตะลึง เมื่อเห็นแผนการล้มพ่อของเขาทำเป็นขบวนการใหญ่ขนาดนี้ มันมีเหตุเกี่ยวพันโยงใยกับผู้มีอำนาจ มีอิทธิพลหลายคน ทั้งหมดนี้ทำเพื่อรักษาหน้าตา และผลประโยชน์ชิ้นใหญ่ที่ใครก็อยากรักษาไว้

             เวลานั้น เขาเข้าใจแล้วว่า ทำไมถึงต้องระเบิดเครื่องบินฆ่าพ่อเขาคนเดียว โดยไม่สนใจชีวิตผู้บริสุทธิ์นับร้อยบนเครื่องบินลำนั้นเลย

             หลังจากเข้าใจเรื่องราวกระจ่าง ฮันเตอร์ คิมก็ถามเขาง่าย ๆ

             รู้อย่างนี้แล้วจะทำยังไงต่อไป

             ผมจะเปิดโปงพวกมัน

             มีหลักฐานอะไรบ้าง

             ก็หลักฐานทุกชิ้นที่เราหามาได้ พยานทุกคนที่เราสอบปากคำ

             หลักฐานพวกนั้นมันโดนทำลายความน่าเชื่อถือได้ไม่ยาก ด้วยฝีมือของนักกฎหมายที่เชี่ยวเกม ส่วนพยานที่เราสอบปากคำด้วยการสะกดจิต ใช้ยาบังคับเหล่านั้น ไม่มีทางที่จะขึ้นยืนให้การต่อสู้เข้าข้างพวกเราแน่ ๆ อย่าลืมว่าครอบครัวพวกเขาก็มี...หรืออยากให้ครอบครัวคนอื่น ต้องเจอแบบเดียวกับครอบครัวตัวเอง...

             ทรงกลดอึ้ง...ฮันเตอร์ คิมพูดถูก...ถูกจนชวนเสียวสันหลัง!



             ทรงกลดเคยเชื่อในกระบวนการยุติธรรม มั่นใจในการใช้กฎหมายปกครองบ้านเมือง ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม เห็นพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งในการทำงาน และดำเนินชีวิต

             ทว่า...สิ่งที่พ่อและครอบครัวได้รับ กลับเป็นความอยุติธรรมคาดไม่ถึง ทั้งโดนใส่ความ กล่าวหา สร้างหลักฐานเท็จ โดนกระแสสังคมต่อว่า ต่อขาน เป็นเป้าโจมตีของสื่อมวลชน สุดท้ายต้องมาตายอย่างอนาถ กระทั่งชิ้นส่วนร่างกายก็ไม่สามารถเก็บได้ครบ

             บัดนี้ เขายังควรเชื่อในกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความถูกต้องอีกหรือ?

             ศรัทธา อุดมคติ ความคิด ความเชื่อเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ และเปลี่ยนแปลงง่ายเสียด้วย เมื่อเจอกับสิ่งเข้ามากระทบแรง ๆ หรือสิ่งไม่คาดคิด ไม่คาดฝันมาก่อนในชีวิต

             สมัยก่อน...ที่ทรงกลดเชื่อมั่นตนเอง ศรัทธาความถูกต้อง กล้าสู้กับผู้มีอิทธิพล ส่วนหนึ่งเพราะเขามีบิดาเป็นหลักยึด และท่านทรงพลก็นับว่าเป็นผู้มีอำนาจ มีอิทธิพลคนหนึ่ง ส่วนลึกในใจ ทรงกลดจึงไม่เกรงอำนาจมืดใด ๆ

             พอมาถึงวันที่ชีวิตพลิกผัน พ่อที่เคยเป็นวีรบุรุษผู้สง่างาม แข็งแกร่ง ถูกกระชากตกลงมาจากแท่นเคารพ หนำซ้ำยังถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี กฎหมาย ความชอบธรรมที่เขาเคยเชื่อมั่น ศรัทธา ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะฝ่ายนั้นเป็นผู้ถือกฎหมายอยู่ในมือเสียเอง

             พ่อแม่ตายอย่างหาซากไม่ครบ ตนเองไม่ตายก็เหมือนตาย ต้องปิดบังฐานะ ไม่สามารถเปิดเผยตัวกับคนรัก คอยแอบหลบซ่อนไม่ให้ใครรู้ ไม่ต่างจากผู้ร้ายคดีอาญา

             ทรงกลดจึงเริ่มหมดศรัทธาในกฎหมาย ไม่อยากเชื่อถือในคุณธรรม ความถูกต้องดีงาม

             จากนี้จะทำอย่างไรต่อไป ฮันเตอร์ คิมตั้งคำถามราวกับรู้ว่าคำตอบต้องเปลี่ยนไป

             ผมจะแก้แค้น เขาตอบหนักแน่น

             แก้แค้นยังไง

             จะลากคอพวกมันให้มาชดใช้ชีวิตครอบครัวผมทั้งหมด เสียงตอบอารมณ์เกรี้ยวกราด

             จะฆ่าพวกมันแบบไหนดี...เอาแบบมือสังหารโง่ ๆ ดีมั้ย แค่หาปืนสักกระบอกแล้วไล่ยิงพวกมันเรียงตัวไปเลย ฮันเตอร์ คิมถามกึ่งประชด

             แล้วมีวิธีไหนดีกว่านี้บ้าง

             มี...แต่ต้องใช้เวลาเรียนรู้

             เรียนรู้เรื่องอะไร

             แก้แค้น...โดยมือไม่เปื้อนเลือด!”

             ประโยคนี้ทำให้ทรงกลดมองฮันเตอร์ คิมอย่างพิจารณาจริงจัง จากการอยู่ร่วมกันมาช่วงหนึ่ง ได้เห็นความสามารถพิสดารมากมาย เขาจึงเชื่อว่า...คำพูดของชายคนนี้เป็นสิ่งที่ทำได้จริง

             แล้วคุณ...จะสอนผมได้มั้ย ทรงกลดถาม

             แล้วเธอ...จะยอมเป็นลูกศิษย์ฉันไหมล่ะ

             คำพูดของฮันเตอร์ คิมเป็นการเปิดทางแก่ทรงกลด...

             นับจากวันนั้น เขาได้กลายเป็นลูกศิษย์ของชายที่ตนเองไม่รู้จักกระทั่งชื่อจริง ไม่รู้ประวัติที่มา คอยเดินทางติดตามไปทั่ว ร่ำเรียนวิชาประหลาด ฝึกฝนสมาธิ จิตใจด้วยวิธีการต่าง ๆ ผ่านอุปสรรคความยากลำบากนานา จนแข็งแกร่ง เปลี่ยนแปลงตนเองจนกลายเป็นคนใหม่ แทบลืมความเป็นทรงกลด เหลือแค่เป้าหมายที่ต้องทำให้บรรลุความสำเร็จเท่านั้น

             เวลาผ่านไปเกือบห้าปี กว่าเขาจะกลับมาแผ่นดินเกิด เพื่อทวงชีวิต ทวงความยุติธรรมกับผู้อยู่เบื้องหลังการตายของพ่อเขาทุกคน



             ทรงกลดถอนใจ...เวลาหลายปีที่ผ่านมา คิดว่าจะลืมอดีตได้ ฝังความเป็นลูกชายรัฐมนตรี ว่าที่ผู้พิพากษา และสลัดทิ้งความรักอันงดงามไปกับการระเบิดของเครื่องบินลำนั้นแล้ว

             ที่ไหนได้...แค่เห็นหน้าเอื้อกานต์ในวันแถลงข่าวที่โรงพยาบาล ใจเขาก็แทบกระโจนไปหา หัวใจร่ำร้องขอเพียงมองเธอห่าง ๆ ก็ยังดี

             กระทั่งเผชิญหน้ากัน เขาแสดงสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงไร้ความรู้สึก หัวใจกลับเป็นตรงกันข้าม อยากเข้าไปกอด อยากบอกความจริง อยากให้เธอรู้ว่าเขายังอยู่ ไม่ห่างไปไหนเลย

             ทรงกลดไม่อาจรู้...ตราบใดใจยังเกาะเกี่ยวกับความแค้น เขาก็ไม่อาจฝังความรักได้...จิตใจที่มุ่งหน้าผูกเวรกับศัตรู ย่อมไม่อาจปลดโซ่ตรวน พันธนาการหัวใจได้เช่นกัน

             ใจคนเป็นเช่นนี้ ไม่สามารถเลือกที่จะยึดเหนี่ยว...หรือเลือกสลัดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งออกไปได้...อย่างที่ตนต้องการ

             เพราะรักขนาดนี้ เขาจึงยอมเสี่ยง ฝืนทำสิ่งที่อาจารย์เคยเตือนให้ระวัง

             ...ใช้เลือดล้างอาคม...

             ทั้งที่รู้ ทำแล้วจะเกิดผลร้าย เขาก็กล้ากระทำ โดยไม่หยุดคิด ลังเลสักนิด ไม่แม้กระทั่งจะนึกเสียใจภายหลัง!

             เวลาเกือบห้าปีที่ทุ่มเท ฝึกฝนเกือบล้มประดาตาย แทบสลายหายไปในช่วงเวลาไม่กี่นาที



             ทรงกลดมองห้องกระจกตรงหน้า สูดลมหายใจยาวลึก แล้วระบายออกเบา ๆ เดินตรงไปยังประตูเลื่อน แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความรู้สึกตัว ริมฝีปากขยับพึมพำมนตรา อาคมที่เคยฝึกฝน

             มือจับบานประตูกระจก เห็นอสรพิษร้ายชูคอขู่ฟ่อ จิตใจบังเกิดความกลัว ครั่นคร้ามขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะสงบราบเรียบด้วยคำสวดบริกรรม

             บานประตูเปิด งูร้ายสี่ห้าตัวทำท่าจะพุ่งออกมาจากห้องนั้น ทว่ามันกลับชะงักงันแค่หน้าประตู ไม่กล้าล่วงล้ำออกมา

             ทรงกลดก้าวขาเข้าไปภายใน ขบวนงูเลื้อยลี้หลีกเป็นทาง ประตูถูกปิดตามหลัง อากาศในห้องปลอดโปร่งเหลือเชื่อ

             ตรงกลางห้องมีแท่นยกสูงจากพื้นประมาณหนึ่งคืบ งูพิษจำนวนหลายสิบตัวบ้างนอนขด บ้างนอนเกี่ยวก่ายรัดพันกัน ชายหนุ่มเดินตรงยังแท่นนั้น ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน มีรัศมีบางอย่างแผ่ออก เป็นอำนาจอาคมที่กระจายออกมากดข่มฝูงอสรพิษไม่ให้กล้าเข้ามาใกล้

             ทรงกลดจ้องตาอสรพิษบนแท่น พวกมันรีบเลื้อยหนีลงมาราวกับเผชิญกระแสพลังกดดัน รุนแรงจนไม่อาจอยู่ได้

             แท่นว่าง...ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ จิตใจผ่อนคลายลง เผลอขาดสติ คำบริกรรมขาดช่วง งูพิษรอบตัวยกหัว ชูคอ แผ่แม่เบี้ย ดาหน้าล้อมกรอบ ขึ้นมาบนแท่นอย่างรวดเร็ว

             ทรงกลดได้สติ ขับบทสวดอีกครั้ง จิตกลับมีสมาธิ ไม่กล้าปล่อยให้เผลอ รัศมีอาคมขยายตัวออก ฝูงงูค่อยหุบแม่เบี้ย ยอมถอยร่น

             เขารู้ งูเหล่านี้ได้รับการฝึกฝน กรอกยาบางอย่างจากฮันเตอร์ คิม มันจึงดุร้ายกว่างูธรรมดานับสิบเท่า และไวต่ออาคมสิ่งแปลกปลอม

             ตลอดเวลาที่เขาฝึกทบทวน ฟื้นฟูพลังในนี้ หากเผลอไผล ขาดสติจนทำให้รัศมีอาคมขาดช่วง หมดกำลัง ฝูงอสรพิษนับร้อยเหล่านี้จะแห่เข้ามาจู่โจมทันที โดยไม่ให้ตั้งตัว

             ฉะนั้น แทบทุกขณะจิตที่ฝึกฝน ฟื้นฟูกำลัง ต้องประคอง รักษากำลังสมาธิให้ต่อเนื่อง ขาดช่วงไม่ได้เด็ดขาด จนกว่าจะถึงเวลาพัก ออกมากินดื่ม พักผ่อนข้างนอก

             ผลดีคือ เขาจะสามารถฟื้นฟูวิชาได้แบบก้าวกระโดด หากพลาด...ผลร้ายที่เกิดคือ...งูพิษเหล่านี้ จะไม่มีความเมตตาปราณีต่อเขาแน่นอน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ฮันเตอร์ คิมอยู่ชั้นใต้ดินโรงงานเช่นเดียวกับทรงกลด หนำซ้ำยังลอบสังเกตการกระทำของลูกศิษย์ตนตั้งแต่แรก

             เขาอยากรู้ ทรงกลดสามารถผ่านการฝึกฝน จนฟื้นฟูวิชาอาคมกลับคืนมาได้หรือไม่?

             ถ้าได้...มันคือการก้าวกระโดดครั้งใหญ่

             ถ้าพลาด...หมายถึงชีวิต

             นี่เป็นการเสี่ยงครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง ซึ่งเขากล้าวางเดิมพันโดยไม่ลังเล

             ตั้งแต่แรกที่รู้จักกัน ฮันเตอร์ คิมก็มีเรื่องให้เสี่ยงกับทรงกลดหลายครั้ง

             เริ่มจากช่วยชีวิตชายแปลกหน้าคนนี้จากเครื่องบินที่กำลังจะระเบิด

             ลำพังตัวเขาเอง ให้แอบไปเอาร่มชูชีพมาสวม แล้วกระโดดหนีก่อนเครื่องระเบิด ไม่ใช่เรื่องยากเลย พอต้องมาแบกพาผู้ชายตัวโต ๆ อีกคนเอาชีวิตรอดด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

             กระทั่งรอดชีวิต หนีออกจากป่า ลอบเข้าเมืองไทย ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่แปลกที่มันทำให้เขารู้สึกสนุก น่าตื่นเต้น เพิ่มรสชาติแก่ชีวิตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

             ฮันเตอร์ คิมช่วยทรงกลดสืบเบื้องหลังคดีท่านทรงพล รวมถึงเหตุระเบิดบนเครื่องบินจนได้ความจริงกระจ่าง

             เขาสามารถเปิดโปงแผนชั่วของคนเหล่านั้นตามความคิดของทรงกลดได้ แต่ไม่รู้สึกอยากกระทำ

             มันมีเหตุผลอยู่สองข้อ...

             ข้อแรก...ต่อให้เปิดโปงสำเร็จ พวกนั้นดิ้นไม่หลุด จนด้วยหลักฐาน พยานต้องได้รับโทษตามกฎหมาย เขาก็รู้สึกว่ากฎหมายที่มียังอ่อนเกินไป ไม่สามารถลงโทษพวกมันให้สาสมแก่ความผิดที่ได้กระทำ อีกทั้งเขาเชื่อว่า คนที่มีอิทธิพล อำนาจระดับนี้ย่อมสามารถหลบหนีความผิดออกไปเสวยสุขนอกประเทศได้ไม่ยาก กฎหมายไม่สามารถลากตัวมาลงโทษได้สำเร็จ

             ส่วนข้อสอง...เป็นข้อสำคัญยิ่ง

             เขาต้องการได้ทรงกลดมาเป็นลูกศิษย์ โดยใช้เรื่องการแก้แค้นมาเป็นแรงจูงใจ!

             ฮันเตอร์ คิมสาธิตวิชาของตน ด้วยการสังหาร โจรกระจอก ที่แอบเข้าไปขโมยของในบ้านท่านทรงพล แล้ววกกลับมาใส่ความว่าบ้านท่านมีเงินสดจำนวนนับร้อยล้าน

             วิธีสังหาร...แค่มองหน้าพวกโจรกระจอกนั้น ผ่านรูปถ่ายในหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่นาน...พวกมันก็เสียชีวิต ตามธรรมชาติ ภายในคุกอย่างไม่มีร่องรอยให้สืบสาว

             ทรงกลดเห็นแล้วย่อมทึ่ง ต้องการร่ำเรียนมัน เพื่อแก้แค้นศัตรูที่เหลือด้วยตนเอง

             ฮันเตอร์ คิมกระหยิ่มใจ อยากรู้ว่าชายคนนี้จะมีศักยภาพขนาดไหน จึงทุ่มเททั้งเวลา ความสามารถ ทรัพย์สินอิทธิพล พาทรงกลดตระเวนไปทั่วโลก เพื่อให้ได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ และหลบซ่อนจากสายตาศัตรูผู้มีอำนาจล้นฟ้าในเวลานั้น

             จนถึงเวลาที่ทรงกลดพร้อมแล้ว เขาจึงพากลับมาดำเนินงานตามแผน...ซึ่งมันประสบผลสำเร็จน่าชื่นชมทุกราย กระทั่งมาถึงรายล่าสุด ทรงกลดกลับสะดุดขาตัวเอง แทบทำทุกอย่างพังลงในพริบตา

             ฮันเตอร์ คิมจำเป็นต้องหาโจทย์ใหม่มาทดสอบลูกศิษย์ของตน...โจทย์ล่าสุดนี้สำคัญยิ่ง เพราะมันจะทำให้เขาพิสูจน์ว่า...ดูคนผิดหรือไม่?




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             คุณหญิงอัปสรหลับ ๆ ตื่น ๆ หลายครั้ง แต่ละครั้งยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่ จนครั้งนี้ เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับสติ ความทรงจำมากกว่าทุกคราว เห็นชายผู้เป็นสามีนั่งอยู่ข้างเตียง พร้อมกับลูกชาย ว่าที่ลูกสะใภ้ยืนอยู่ใกล้ ๆ

             ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เจ้าตัวจำไม่ได้ว่าถามประโยคนี้ทุกครั้งที่รู้สึกตัว

             จำงานคอนเสิร์ตได้มั้ย...คุณไม่สบายตอนอยู่ในงานนั้นสามีบอก

             คุณหญิงหลับตา ความทรงจำไหลทวน กระจ่างชัดเจน ทั้งความรู้สึกแสบร้อนจากภายใน ความทุกข์ทรมานแทบทนไม่ไหว ความฝันอันชวนคั่งแค้น เจ็บปวด

             และ...การหลุดออกมาดูตนเองรอดชีวิต จากการช่วยเหลือของเอื้อกานต์

             เด็กนั่นอยู่ไหน? จู่ ๆ คุณหญิงก็เอ่ยขึ้น

             เด็กนั่น...เป็นใครหรือคุณ? ท่านธีรนัฐถามเสียงอ่อน แปลกใจกับคำถาม น้ำเสียงภรรยา

             เด็กนั่น...ที่เป็นหมอ... คุณหญิงตะขิตตะขวงใจที่จะเอ่ยคำว่า ลูกคุณ ต่อคนนอกอย่างเช่นสัตตบงกช

             ความที่อยู่ร่วมกันมาหลายสิบปี ท่านรัฐมนตรีจึงเข้าใจความหมายของภรรยา

             เอื้อน่ะหรือ? เสียงเอ่ยถึงลูกสาวอ่อนโยนแฝงความเป็นห่วง

             คุณหญิงพยักหน้า รอฟังคำตอบ

             เอื้อกำลังป่วย นอนอยู่อีกห้องนึง

             ทำไม...เพราะอะไร คุณหญิงเร่งเร้า ถามกระชั้น

             ท่านรัฐมนตรีแปลกใจ ไม่คิดว่าภรรยาจะสนใจลูกนอกสมรสของเขาขนาดนี้

             เอื้อ...เขา... คนเป็นสามีกำลังพยายามหาคำตอบ คุณหญิงก็สวนมาก่อน

             เพราะช่วยฉันใช่มั้ย...เด็กนั่นเลยป่วย

             ทุกคนเงียบ แปลกใจกับคำถามคุณหญิง...ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นระหว่างการรักษา ยื้อชีวิตคุณหญิง ไม่มีใครคิดว่า เอื้อกานต์จะเอาตัวเองเข้าแลก ช่วยชีวิตคุณหญิงด้วยวิธีที่หมอธรรมดาทำไม่ได้

             คนอื่นนอกจากทีเกื้อ จะเข้ามาเห็นห้องฉุกเฉินในสภาพพังระเนระนาด หมอ พยาบาลในห้องสลบไสล จำเหตุการณ์ที่เกิดไม่ได้ ส่วนเอื้อกานต์หยุดหายใจไปพักใหญ่ แล้วกลับมามีชีวิตราวปาฏิหาริย์

             ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหมอ พยาบาลถึงสลบไสล ความทรงจำขาดหาย ลบเลือน และไม่มีใครรู้ว่า เหตุใดเอื้อกานต์ถึงมีอาการกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปเช่นนี้

             คนที่รู้เหตุผลทั้งหมดคือทีเกื้อ...แต่คนอย่างเขา มีหรือจะพูดเรื่องเหล่านี้ออกไป ขนาดคนเป็นพี่ชาย เพื่อนฝูงที่สนิทสนมกัน ยังทำได้แค่ง้างปากให้เขาคุยตอบโต้ได้แค่คำต่อคำเท่านั้น

             ความเงียบของทุกคนในห้องทำให้คุณหญิงเงียบตาม...เงียบและนิ่งเฉย ไม่ยอมเปิดปาก พูดจาอะไรอีก สมองมีความคิดสับสน ฟุ้งซ่านเต็มหัวไปหมด

             พักผ่อนเถอะครับแม่...อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย ธีรภูมิจับมือมารดามาบีบเบา ๆ สัมผัสที่ได้รับมันเย็นเฉียบ

             แม่นอนอยู่นี่มากี่วันแล้ว คุณหญิงถามลูกชาย

             แค่สองสามวันเองครับ ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม หวังให้มารดาคลายใจ

             คุณหญิงพึมพำอย่างคนกำลังมึนในความคิด ก่อนถอนใจยาว แล้วหลับตาลงอีกครั้ง...



             ออกจากห้องพักคุณหญิง ทั้งสามก็มาที่ห้องเอื้อกานต์ ซึ่งเป็นครั้งแรก ที่เข้ามาในห้องนี้แล้วไม่พบทีเกื้อนั่งเฝ้าพี่สาวอย่างเคย

             อ้าว...เกื้อไปไหนแล้ว คนเป็นพ่อเอ่ยถึงลูกชาย

             สงสัยออกไปหาอะไรกินมั้งครับ...ผมมาทีไรก็เห็นเกื้อมันเฝ้าเอื้ออยู่นี่ตลอด ไม่เห็นมันมีอะไรเก็บไว้กินเลย ว่าจะซื้ออะไรมาฝากมันก็ลืมทุกที...หนูดีจ๊ะ...ยังไงถ้ามากับพี่คราวหน้า ช่วยเตือนกันหน่อยนะ

             ประโยคท้ายพูดกับหญิงสาวคู่หมั้น

             ค่ะ สัตตบงกชรับคำ

             ท่านรัฐมนตรีเดินไปดูอาการบุตรสาว เห็นสภาพทั่วไปยังทรงอยู่ในลักษณะเดิม อดถอนใจด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

             หมอเขาหาทางรักษาได้หรือยัง...ทำยังไงเอื้อถึงจะฟื้นสักที

             เท่าที่ทราบ หมอเขาก็มาตรวจทุกวันครับ แต่ดูแล้วคงจนปัญญากัน จะกระตุ้นแบบไหนคงลองกันหมดแล้ว ตอนนี้น่าจะงมหาสาเหตุกันอยู่

             มันจะเกี่ยวกับเรื่องโดนเล่นของ คุณไสยอะไรนั่นหรือเปล่า ท่านรัฐมนตรีตั้งข้อสงสัย

             ผมก็ไม่แน่ใจครับ...บอกตามตรง ตอนที่เอื้อกับเกื้อพูดถึงเรื่องการเล่นงานเหยื่อด้วยอาคม คุณไสยอะไรกันน่ะ ผมก็ยังลังเล ไม่ค่อยปักใจเชื่อเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จนมาเห็นอาการคุณแม่วันนั้นนั่นแหละ

             จริงสิ หรือว่าเอื้อเขาช่วยแม่เราจนโดนคุณไสยเข้าตัวเอง คนเป็นพ่อฉุกใจ คิดถึงคำพูดภรรยาเมื่อครู่

             นัยน์ตาธีรภูมิสว่างวาบ

             ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็น่าจะเป็นเหตุที่เกื้อมันไม่ยอมบอกอะไรใครเลย แถมยังมานั่งเฝ้า ไม่ยอมห่างเอื้อแบบนี้

             แล้วเราจะช่วยเอื้อยังไงดี นี่เป็นปัญหาที่คนเป็นพ่อห่วงมากที่สุด



             สัตตบงกชฟังสองพ่อลูกคุยกันด้วยความงุนงง จับใจความได้บางส่วน ไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เพราะเรื่องราวที่พ่อลูกทั้งหลายพูดคุย ปรึกษากัน หล่อนไม่เคยมีโอกาสเข้าร่วม รับรู้ด้วย

             ขณะที่คนในห้องกำลังคุยกันอยู่ด้วยความวิตก กังวลใจ นายตำรวจหนุ่มคนเฝ้าไข้ก็มาถึงหน้าประตูแล้ว ได้ยินทุกคำพูดชัดเจน

             เกื้อ ธีรภูมิเห็นร่างสูง ๆ ของน้องชายก่อนใคร

             ทีเกื้อเดินเข้าห้องด้วยกิริยาเฉย ๆ ไม่แสดงปฏิกิริยาต่อคำพูด ความสงสัยของคนเหล่านั้น...สำหรับเขา มันไม่จำเป็นอีกแล้วที่จะสืบสาวสาเหตุอาการป่วยของเอื้อกานต์ สิ่งเดียวที่เขากำลังค้นหา รอคอยคือวิธีปลุกพี่สาวให้ฟื้นตื่น กลับคืน

             เป็นยังไงบ้างเกื้อ คนเป็นพ่อเอ่ยถาม

             ผมสบายดี...ครับ เขาเว้นช่วงนิดนึง ก่อนทิ้งคำลงท้าย

             ผอม หน้าซีดแบบนี้นะสบายดี ธีรภูมิท้วง แล้วกินอะไรมาหรือยัง...คราวหน้าพี่จะไม่ลืมซื้อของกินมาฝากให้

             ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงผมหรอก ทีเกื้อเลือกตอบประโยคท้าย

             เกื้อ...ที่เอื้อเป็นแบบนี้ เพราะไปช่วยคุณหญิงเขาใช่มั้ย คนเป็นพ่อถามลูกชาย

             ทีเกื้อสบสายตาบิดาตรง ๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

             คุณหญิงเขาฟื้นขึ้นมาแล้วใช่มั้ยครับ เขาเลี่ยงโดยการตั้งคำถามแทนการตอบ

             ฟื้นแล้ว...เขาถามถึงเอื้อด้วย พ่อเลยสงสัย

             เขาฟื้นแล้ว หายเป็นปกติก็ดีแล้วครับ...ไม่ต้องห่วงเอื้อหรอก ผมดูแลได้ คำพูดตัดรอนความห่วงใยชัดเจน

             ท่านรัฐมนตรีถอนใจ เห็นแววตาดื้อดึงของลูกชาย ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์จะมาซักถามอะไรต่อ

             เดี๋ยวพ่อจะเข้าที่ทำเนียบแล้ว แต่หนูดีเขายังอยู่ดูแลคุณหญิงที่นี่...ถ้าเกื้อขาดเหลือ ต้องการอะไรก็บอกเขาได้นะ ยังไงก็คนครอบครัวเดียวกัน

             ทีเกื้อสบสายตาสัตตบงกชชั่วแวบ รับรู้ถึงความเป็นห่วง กังวลจากดวงตาคู่นั้น จึงรีบหลบ ตอบรับเรียบ ๆ

             ครับ

             ท่านรัฐมนตรีได้ยินเช่นนั้นก็หันไปยิ้มกับว่าที่ลูกสะใภ้

             ยังไงพ่อก็ฝากเอื้อกับเกื้อด้วยนะลูก

             ค่ะ หญิงสาวตอบรับสั้น ๆ

             ธีรภูมิหันมายิ้มให้กำลังใจ พร้อมกับพยักหน้าเอาใจช่วย

             สัตตบงกชเหลือบมองชายหนุ่มที่จงใจเบือนหน้าไม่ยอมสบตาหล่อนอีก เริ่มเข้าใจแล้วว่า ยิ่งเขาแสดงท่าห่างเหิน เย็นชาเท่าไหร่ จิตใจเขายิ่งไม่อาจตัดรอน ลืมเลือนหล่อนได้เท่านั้น

             เวลานี้...เธอสามารถ ทำอะไรเพื่อผู้ชายคนนี้ได้บ้าง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP