วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๗


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             ทรงกลดก้มศีรษะแสดงความเคารพอาจารย์ เห็นร่างสูงใหญ่ที่หยุดยืนตรงหน้ามีประกายตาทรงพลัง จนเขาต้องก้มหน้า ไม่กล้าสบสายตา ถึงกระนั้นก็ยังมีกระแสพลังหนักหน่วงกดทับลงมา จนรู้สึกตัวลีบแบน แทบคุกเข่าต่อหน้าเพื่อขอความเมตตา

             บอกความผิดของตัวเองมา ประโยคแรกเรียบเบา

             ทรงกลดขบริมฝีปากสะกดกลั้นความอึดอัดที่โดนพลังฝ่ายตรงข้ามกดทับ ก่อนฝืนใจตอบ

             ผมเปิดเผยตัวเอง และใช้เลือดถอนอาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์

             เห็นผลหรือยัง ฮันเตอร์ คิมเหลือบตาดูแผลที่แขนลูกศิษย์

             ครับ

             จะแก้ไขยังไง

             ผมจะฟื้นวิชาคืนมา

             ไม่เกินสามสัปดาห์ คำสั่งเรียบ สั้น

             ทรงกลดนิ่งอั้นชั่วขณะ ก่อนกัดฟันตอบ

             ครับ

             แล้วเหยื่อที่ทำพลาดไป คำถามกึ่งลองใจ

             อาจารย์เคยบอก ถ้าเหยื่อรายไหนเล็ดรอดจากอาคมเราได้ ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่ามันรอบสอง

             นี่เป็นศักดิ์ศรีของผู้หยิ่งผยองในอาคมตนเช่นฮันเตอร์ คิม เขามั่นใจในวิชาตนเองอย่างยิ่ง ลงมือครั้งเดียวต้องประสบผล หากพลาดก็จะไม่มีการลงมือซ้ำสอง ถือว่าเป็นความโชคดีของเหยื่อ

             คุณหญิงอัปสรโชคดี...ที่มีคนยอมตายแทนอย่างเอื้อกานต์!

             ส่วนเหยื่อรายสุดท้าย จะเปลี่ยนใจมั้ย

             ไม่ครับ คำตอบหนักแน่น

             ถึงตอนนี้พลังกดดันของอาจารย์ก็ผ่อนลงจนจางหาย ทรงกลดค่อยกล้าระบายลมหายใจแผ่ว ๆ

             ถึงยังไม่เปลี่ยนใจ แต่จะใช้วิธีเดียวกับรายอื่นไม่ได้อีกแล้ว ฮันเตอร์ คิมเริ่มชี้แนะ

             ทราบครับ

             ในเมื่อทีเกื้อ และตำรวจได้ร่องรอย หลักฐานของเขามากขนาดนี้ รู้กระทั่งการส่งอาคมไปฆ่าคน แล้วป้องกันด้วยเชือกอาคมที่คล้องคอคุณหญิงอัปสร ทรงกลดคงไม่สามารถใช้วิธีเดิมได้อีก

             สิ่งหนึ่งที่ทีเกื้อและพวกตำรวจยังไม่รู้...การฆ่าคนด้วยอาคมมีหลากหลายรูปแบบ สามารถใช้วิธีต่าง ๆ นานา ทั้งทางตรงและทางอ้อม

             ที่ผ่านมา เขาต้องการแก้แค้นเงียบ ๆ แบบไร้ร่องรอย ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้จับได้ จึงใช้วิธีเหล่านั้น ตอนนี้พวกตำรวจรู้ว่าใครเป็นคนร้าย รูปใบหน้าของ คิม ถูกส่งกระจายไปทั่ว ทั้งตำรวจ สายสืบต้องไล่ล่าตามเสาะหา... อาจารย์จึงให้เขาถอดหน้ากากคิมออกไป ใช้ใบหน้าเดิมของตนเองเพื่อลดปัญหาเหล่านี้

             ส่วนวิธีฆ่าเหยื่อรายสุดท้าย มันอาจไม่ซับซ้อน เสียเวลาเท่าเหยื่อรายก่อน ๆ เพียงแต่เขาต้องใช้เวลาฟื้นฟูพลังให้กลับมาคงเดิมเร็วที่สุดเท่านั้น



             ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปฝึกฟื้นฟูพลังเสีย ฮันเตอร์ คิมวางกระดาษแผ่นหนึ่งบนราวสะพาน

             ทรงกลดรีบหยิบมาดู นัยน์ตาเบิกกว้างชั่วครู่ ก่อนสงบราบเรียบอย่างทำใจยอมรับได้

             วิธีฝึกมันทรมาน และโหดอยู่สักหน่อย แต่มันช่วยเร่งให้ได้ผลเร็วที่สุด อาจารย์พูดราวรู้ใจ

             ผมฝึกได้ครับ

             ดี พูดจบฮันเตอร์ คิมหันหลัง เตรียมจากไป

             เดี๋ยวครับ ชายหนุ่มร้องเรียกอาจารย์

             จะถามถึงวิธีถอนอาคมให้คุณหมอคนนั้นใช่มั้ย อาจารย์ถามโดยไม่หันกลับมามอง

             ครับ ทรงกลดรับคำเสียงแผ่ว

             ฉันเคยบอกว่ายังไง คำถามย้ำ จงใจให้อีกฝ่ายทบทวน

             อาคมนี้...ไม่เหลือทางรอด!”

             รู้แล้วจะถามทำไม ขนาดใช้เลือดตัวเองถอนอาคมจนวิชาเสื่อมขนาดนี้ แล้วก็ยังไม่สำเร็จ...คิดว่ายังมีวิธีอื่นอีกหรือไง

             ผมเชื่อว่าอาจารย์ต้องมี เป็นครั้งแรกที่ทรงกลดกล้าพูดเช่นนี้กับคนเป็นอาจารย์

             แทนที่ฝ่ายตรงข้ามจะโกรธ หันกลับมาสั่งสอน ฮันเตอร์ คิมกลับยิ้มแปลก ๆ

             ถ้าอย่างนั้น แกก็ต้องฟื้นฟูวิชา และฝึกพลังให้ได้อย่างน้อยเท่ากับ หรือมากกว่าฉันเสียก่อน...แกถึงจะรู้ว่ามีวิธีถอนอาคมอย่างอื่นอีกมั้ย

             น้ำเสียงนั้นบอกชัดถึงการท้าทาย ดวงตาฮันเตอร์ คิมฉายแววประหลาด กึ่งยินดี กึ่งหมายมาดขึ้นมาชั่วแวบก่อนจางหาย ไร้ความรู้สึกดังเดิม

             ทรงกลดมองเงาหลังของอาจารย์ที่เดินหายลับไปกับความมืด ก่อนทบทวนคำพูดสุดท้ายนั้น

             ฝึกพลังให้ได้อย่างน้อยเท่ากับ หรือมากกว่าฉันเสียก่อน...

             เขารู้ อาจารย์กำลังท้าทาย...แล้วสิ่งใดล่ะ ที่อยู่เบื้องหลังการท้าทายครั้งนี้?

             ชายหนุ่มหยิบกระดาษที่เขียนเคล็ดการฝึกฟื้นฟูพลังขึ้นมาดู อ่านทบทวนจนจำได้ขึ้นใจ แล้วฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ปล่อยให้ปลิวตามลมลงไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง

             เขาฝึกวิชากับอาจารย์มาเกือบห้าปี ช่ำชองในแง่มุม เคล็ดวิชาต่าง ๆ ทำให้สังเกต ตีความเคล็ดฟื้นฟูวิชาที่ได้มาใหม่นี้กระจ่างแจ้งภายในเวลาไม่กี่นาที

             วิธีการฝึกฟื้นฟูพลังนี้มันเสี่ยง และหนักข้อเอาแรง แต่ถ้าทำสำเร็จ พลังที่เขามีจะรุดหน้ารวดเร็ว...เร็วจนอาจทัดเทียมอาจารย์ได้ไม่ยาก

             ทรงกลดเคยเห็นอาจารย์แสดงฝีมือมาแล้วว่าร้ายกาจขนาดไหน พลังที่มีดุจสัตว์ร้ายเชื่องเชื่อที่สามารถสั่งการได้ทุกเรื่อง

             ฉะนั้น...หากเขาสามารถสั่งพลังที่มี ให้มันพลิกขั้วกลับด้าน ย่อมเกิดพลังอีกแบบที่แม้แต่ฮันเตอร์ คิมก็ไม่อาจคาดถึงได้

             ขณะขบคิดตีความเข้าใจในเคล็ดวิชาเช่นนี้ ทรงกลดก็ฉุกใจ เกิดสังหรณ์ขึ้นมา...จะเป็นอย่างไร หากเขามีพลังสูงสุดจนพลิกขั้ว กลับด้านมันมาช่วยเอื้อกานต์ได้?

             สิ่งที่เป็นผลข้างเคียงกับอาคมร้าย...มักเป็นสิ่งร้ายเกินคาดเสมอ




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เสียงโทรศัพท์มือถือทีเกื้อสั่น ส่งสัญญาณเรียกเข้า เขามองมันอย่างเฉยชา ช่วงเวลานี้ไม่มีอารมณ์รับสายใครทั้งนั้น ปล่อยให้มันสั่นจนเงียบหายไปเองตลอด

             น่าแปลก ที่สิ่งมาพร้อมกับการสั่นเรียกเข้านี้ คือกระแสเรียกร้อง ดึงดูดอันคุ้นเคย

             ทีเกื้อหยิบมันมาดูหมายเลข เห็นเป็นเบอร์เครื่องสาธารณะ ขณะจะกดเบอร์ทิ้ง กระแสเรียกร้องนั้นกลับรุนแรงขึ้น รุนแรงจนรู้สึกถึงตัวตนปลายสายชัดเจน

             ทรงกลด!

             นายตำรวจหนุ่มรีบกดรับทันที

             มีอะไร? เขากรอกเสียงอย่างมั่นใจว่าใครโทรมา

            ไม่ต้องห่วงเอื้อ... เสียงทรงกลดหนักแน่น ชัดเจน พี่หาวิธีช่วยได้แล้ว

             ยังไง หัวใจทีเกื้อเต้นเร่า ยินดี

             ขอเวลาไม่เกินสามสัปดาห์

             ทำไมต้องนานขนาดนั้น

             ขอร้อง...เชื่อพี่...อย่างน้อย ก็ขอให้เชื่อ...ความรัก ที่พี่มีต่อเอื้อ...

             ทีเกื้ออึ้ง กระแสความรู้สึกอีกฝ่ายชัดเจน...ชัดเจนจนเขาไม่รู้จะต่อว่าอีกฝ่ายอย่างไร

             พี่จะทำยังไง น้ำเสียงทีเกื้ออ่อนลง

             พี่บอกตอนนี้ไม่ได้ แต่ขอเวลาให้พี่หน่อย ฝากดูแลเอื้อด้วย พี่จะรีบกลับมาช่วยให้ทัน

             ในคำพูดทรงกลด มีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ เป็นความรู้สึกหวาดกลัว ปนเปแข็งใจ มุ่งมั่น

             พี่กลดจะทำอะไรน่ะ ทีเกื้อรับความรู้สึกนี้ได้

             อีกฝ่ายเงียบ ในความเงียบ คลื่นแห่งนิมิตจูนติดกัน ทีเกื้อเห็นภาพวูบวาบ แยกแยะรายละเอียดไม่ออก เป็นเวลาสองสามวินาที

             นิมิตที่ไม่รู้ความหมายนี้ทำให้ขนลุกเกรียว

             อย่านะ...พี่กลด...อย่าทำ ทีเกื้อหลุดปากห้ามปราม อย่างไม่เข้าใจตนเอง

             เขาไม่รู้ทรงกลดตั้งใจทำอะไร แต่รู้สึกชัด ถึงผลการช่วยเหลือเอื้อกานต์ครั้งนี้ จะทำให้ทรงกลดมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับตนเอง

             เสียงวางสาย ตามมาด้วยความเงียบงัน...เงียบจนเสียดแทงเข้าไปในใจ ทีเกื้อลดโทรศัพท์วางลงบนตัก มองฝ่าความมืดไปยังพี่สาวที่นอนบนเตียงด้วยแววตาปวดร้าว

             ทรงกลดกำลังทำอะไรเขาไม่รู้...รู้แค่หากทรงกลดเดินตามเส้นทางวิธีนั้น มันจะส่งผลร้ายเกินเยียวยา แก้ไข

             แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้...ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว

             หากทีเกื้อเป็นทรงกลด...เขาจะยอมทำหรือไม่?




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             สัตตบงกชแต่งตัวเสร็จ ออกจากห้อง เตรียมตัวไปทำงาน เห็นคุณปทุมมา มารดาตนตื่นแต่เช้านั่งดูรายการทีวีที่ห้องรับแขก

             หญิงสาวมองภาพในจอทีวี แล้วเข้าใจว่าทำไมมารดาถึงสนใจ

             คนที่มาเป็นพิธีกรแทนหนูดีของแม่นี่ ไม่ได้เรื่องเลยนะ ขนาดทำมาเกือบปีแล้วยังไม่ค่อยมีคนชอบสักเท่าไหร่ ดูสิ เห็นมั้ย...มีเอสเอ็มเอสบอกว่าคิดถึงหนูดีด้วย อยากให้กลับมาเป็นพิธีกรอีก

             สัตตบงกชดูรายการทีวีตรงหน้า อดคิดถึงงานที่ตัวเองเคยทำไม่ได้ งานที่ชอบ งานที่ได้ใช้ความรู้ ความสามารถที่ร่ำเรียนมาให้เกิดประโยชน์เต็มที่ งานที่ทำแล้วรู้สึกตนเองเป็นนกอิสระ กางปีกบินเต็มฟ้า

             ผิดกับวันนี้ นกตัวนั้นอยู่ในกรงทองขนาดใหญ่ ฝังเพชร เต็มด้วยของมีค่า...ขาดแคลนแค่อย่างเดียว...

             ...ความสุข...

             เออ...จริงด้วย วันก่อนแม่เจอคุณธนัช โปรดิวเซอร์รายการนี้ เขาบอกว่าปีหน้าจะได้เวลาจากทางช่องตอนสี่ทุ่ม เขาอยากจะทำรายการประเภททอล์กโชว์วาไรตี้ เลยให้มาชวนหนูดี ว่าอยากกลับมาเป็นพิธีกรอีกมั้ย

             หญิงสาวกำลังจะตอบมารดา อีกฝ่ายกลับพูดต่อโดยไม่สนใจฟังลูกสาว

             แต่แม่ตอบเขาไปแล้วล่ะว่า หนูดีคงมาทำงานด้วยไม่ได้หรอก เพราะปลายปีนี้ก็จะแต่งงานแล้ว

             ใจสัตตบงกชห่อเหี่ยวลงมาทันที แล้วค่อยพยายามใจกล้า ลองถามบางคำถามออกไป

             สมมุตินะคะแม่...สมมุติว่าหนูดีไม่ได้แต่งงานกับพี่ภูมิ...แม่จะว่าอะไรมั้ย?

             ต๊าย! ได้ยังไงลูก

             ขนาดย้ำว่าเป็นเรื่องสมมุติ คุณปทุมมายังขึ้นเสียงสูงซะขนาดนั้น

             รู้หรือเปล่า ยายคุณหญิงนั่นบอกว่า...ถ้าไม่มีงานแต่งงาน สมบัติที่เธอไถ่ถอนมาน่ะ จะไม่คืนให้เราสักชิ้น...คิดดูสิลูก...ขืนเป็นอย่างนั้น เราจะทำยังไง ทั้งอับอายขายหน้าคนเขา ทั้งบ้านก็ไม่มีจะอยู่

             สัตตบงกชพยายามใจเย็น พูดต่อ

             ก็ลองสมมุติดูน่ะค่ะ...ถ้าหนูดีไม่ได้แต่งงานกับพี่ภูมิ แล้วคุณหญิงท่านยึดบ้าน ยึดสมบัติเก่าของเรา...เราก็ยอมให้เธอยึดไป แล้วย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ กันก็ได้...สมบัติเก่าเหล่านั้น ยังไงเราก็ไม่มีปัญญาไปไถ่ถอนมาอยู่แล้ว...ในเมื่อคุณหญิงท่านเป็นคนไถ่ถอนมาได้ แล้วไม่คืนให้เรา...เธอก็ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่คะ

             ตายแล้ว...คิดอะไรอย่างนี้ล่ะลูก...อย่าลืมนะว่าบ้านหลังนี้เป็นสมบัติตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่า แล้วที่ดินกลางเมืองแบบนี้ ราคาแพงจะตาย แม่ไปขายฝากเขาในราคาไม่ถึงครึ่ง ตั้งใจหาเงินมาไถ่ถอนอยู่แล้ว...ขืนยายคุณหญิงแกมายึดไป ก็เท่ากับแกซื้อบ้านเราในราคาถูก ๆ สิลูก

             สัตตบงกชไม่อยากพูด ที่แม่จำเป็นต้องขายฝากบ้านหลังนี้ในราคาไม่ถึงครึ่งของราคาจริง ก็เพราะร้อนเงินขนาดหนัก เจ้าหนี้พนันมาทวงหนี้ ขู่จะฆ่า...ยังดีที่คุณหญิงมีแบ็คดี จึงสามารถไถ่ถอนมาได้ในราคาสมน้ำสมเนื้อ ลำพังมารดาตนไม่มีทางหาเงินสดบวกดอกเบี้ยมหาศาลมาไถ่ถอนได้แน่ ๆ

             ตอนนี้เราก็ไม่มีหนี้ไม่มีสินอะไรแล้ว ถ้าหนูดีไปทำงานพิธีกรอย่างเดิม รายได้ก็พอเลี้ยงแม่ได้สบาย เราอยู่กันสองคนแม่ลูกแบบไม่มีภาระ หน้าตาอะไรอย่างนี้ไม่ดีหรือจ๊ะ

             สบายที่ไหนล่ะลูก...เมื่อก่อนแม่ใช้เงินเป็นคุณนาย สบายกว่านี้เยอะ ลูกก็เป็นคุณหนู มีข้าทาสบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง...ดูตอนนี้ เรามีอะไรเหลือบ้าง...แต่ถ้าลูกได้แต่งงานกับคุณภูมิ ชีวิตวันเก่า ๆ ของเราจะกลับมา

             สัตตบงกชถอนใจยาว มองเห็นว่าแม่ยังไม่อาจรับความจริงในปัจจุบันได้

             อดีตอันรุ่งเรืองของครอบครัวหมดไปแล้ว ตั้งแต่พ่อตาย และความสุขวันเก่าจะไม่กลับมา...แม้ว่าหล่อนจะแต่งงานกับดอกเตอร์ธีรภูมิก็ตาม




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ออกจากบ้าน จุดหมายของสัตตบงกชไม่ใช่คฤหาสน์ท่านรัฐมนตรี หรือที่ทำเนียบ แต่เป็นโรงพยาบาลที่คุณหญิงอัปสร และเอื้อกานต์พักรักษาตัว

             ถึงอาการของคุณหญิงจะไม่น่าเป็นห่วง แต่เธอก็สลบไสลมาวันกับคืนนึงแล้ว สัตตบงกชจึงมีหน้าที่มาดูแล คอยรายงานอาการคุณหญิงให้ท่านรัฐมนตรีทราบ

             มาถึงโรงพยาบาลตอนสาย เวลาไล่เลี่ยกับธีรภูมิ ทั้งคู่พากันไปดูอาการคุณหญิงที่ห้องก่อน เห็นว่ายังหลับอยู่ ได้รับรายงานจากพยาบาลพิเศษที่เฝ้าไข้ว่า...คุณหญิงฟื้นแล้ว ตื่นมาตอนเช้ามืด สภาพยังอ่อนเพลีย สติสัมปชัญญะยังไม่เข้าที่ จำเหตุการณ์ก่อนมาโรงพยาบาลไม่ได้ จากนั้นเธอได้รับยา และนอนหลับไปอีก คาดว่าจะตื่นราว ๆ เที่ยง

             พอรู้ว่าคุณหญิงอัปสรรู้สึกตัว ฟื้นอย่างปลอดภัย สัตตบงกชก็รีบโทรบอกท่านรัฐมนตรี จากนั้นสองหนุ่มสาวก็ยืนดูพร้อมกับซักถามอาการจากพยาบาลพิเศษอีกพักใหญ่ จึงค่อยออกไปยังห้องผู้ป่วยอีกห้องหนึ่ง



             บรรยากาศห้องเอื้อกานต์แตกต่างจากห้องคุณหญิงอัปสร ห้องนี้ไม่มีพยาบาลพิเศษมาเฝ้า มีเพียงชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายนั่งกึ่งเอนนอน หลับตาอยู่บนเก้าอี้ยาวข้างเตียง

             ใบหน้าเขาซีดคล้ำ หนวดเคราขึ้นเป็นไรเขียว เสื้อผ้าที่ใส่ดูไม่แตกต่างจากสองวันก่อน ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกตัวทันทีที่ประตูห้องเปิด

             ว่าไงเกื้อ ธีรภูมิทักทาย

             ทีเกื้อมองหนุ่มสาวที่มาเยี่ยมคนป่วยด้วยแววตาสงบเฉย ไม่แสดงกิริยาทางบวกหรือลบ

             ธีรภูมิเห็นน้องชายเป็นอย่างนี้ก็แอบถอนใจ พาสัตตบงกชไปดูเอื้อกานต์ที่เตียง

             เป็นไงบ้างเอื้อ...พี่มาเยี่ยมนะ ธีรภูมิพูดกับร่างที่นอนนิ่ง ก่อนหันไปถามคนเฝ้าไข้ หน้าตาเอื้อสดใสขึ้นนี่ ตื่นขึ้นมาบ้างหรือยัง

             อาการนิ่งเฉยของนายตำรวจหนุ่มแทนคำตอบชัดเจน

             ธีรภูมิเห็นท่าทางแบบนั้นก็อดรนทนไม่ไหว เดินไปนั่งข้าง ๆ แกล้งทำเป็นดมกลิ่นเสื้อน้องชาย แล้วดึงแขนเสื้อขึ้นมาดู

             เกื้อ...ตั้งแต่เอื้อเข้าโรงพยาบาล เราได้กลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างหรือเปล่า

             ทีเกื้อมองพี่ชาย แววตาเหมือนจะบอก...ถ้ารู้ว่าเขาใส่เสื้อตัวเดิมแบบนี้ แล้วยังจะถามทำไม?

             ไอ้บ้าเอ๊ย...ห่วงตัวเองบ้างเถอะ ถ้าเอื้อมันฟื้นขึ้นมา แล้วเห็นเราเป็นแบบนี้ เดี๋ยวมันได้บ่นหูชาแน่

             คำพูดธีรภูมิ กระตุ้นให้ทีเกื้อนึกถึงเมื่อหลายวันก่อน เขาตามคดีของคิมจนไม่มีเวลาสนใจตัวเอง กลับบ้านก็นอนพับ ไม่อาบน้ำอาบท่า...เอื้อกานต์ก็บ่นเขาแบบนี้

             พอนึกถึงเรื่องนี้ได้ สีหน้าเขาก็คลายลง แววตามองธีรภูมิบอกถึงอาการรับรู้มากขึ้น

             ผมไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก เขาพูดขึ้นมาประโยคแรก

             ธีรภูมิถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

             เฮ้อ...ยังดีที่พูดได้ พี่คิดว่าเราเป็นใบ้ไปแล้ว...เมื่อวานมาหาก็ไม่ยอมพูดจาทั้งวัน...เอางี้ เดี๋ยวพี่จะเฝ้าเอื้อให้ เกื้อกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนเถอะไป๊

             ไม่ต้องหรอก ผมอยู่ได้ ทีเกื้อตอบง่าย ๆ

             เออ...แกทนเหม็นตัวเองได้...แล้วจะให้เอื้อมันต้องนอนทนดมกลิ่นเน่าของแกไปด้วยเหรอ

             ธีรภูมิพูดใส่ ติดตลก สีหน้าทีเกื้ออ่อนโยนกว่าเดิม แต่ก็ยังปฏิเสธชัดเจน

             ไม่ต้องหรอก ผมจัดการตัวเองได้...พี่รีบไปทำงานเถอะ เขาพูดกึ่งไล่

             ไม่ไป...ลูกเศรษฐีซะอย่าง ไม่ต้องทำงานก็มีตังค์ใช้ ธีรภูมิยังรักษาอารมณ์ขัน

             เอางี้...ถ้าเกื้อไม่กลับบ้าน เดี๋ยวพี่กลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านมาให้...เออจริงสิ เอื้อเขานอนแบบนี้ มีความจำเป็นต้องใช้อะไรบ้างหรือเปล่า พี่จะได้จัดของมาให้พร้อมกันเลย

             อย่าเลย รบกวนเปล่า ๆ ทีเกื้อยืนยันปฏิเสธ

             เฮ้ย...เราเป็นอะไรกันวะ ธีรภูมิชักฉุน แกไม่ใช่น้องของพี่เหรอ เอื้อไม่ใช่น้องของพี่หรือไง เรื่องแค่นี้ ทำไมต้องมาเกรงใจกัน...เอากุญแจห้องมาเดี๋ยวนี้เลย

             โดนอีกฝ่ายดุเอาอย่างนี้ ทีเกื้อค่อยเงียบเสียง เอื้อมมือหยิบคีย์การ์ดห้องที่คอนโดฯให้

             เออ...แค่นี้แหละ ธีรภูมิรับคีย์การ์ดแล้วหันไปมองสัตตบงกช หนูดีจ๊ะ ไปที่ห้องเกื้อกับพี่หน่อยสิ จะได้ช่วยจัดของใช้จำเป็นให้เอื้อ...พี่ไม่รู้ว่าผู้หญิงเขาต้องใช้อะไรบ้าง

             พี่ภูมิ!” ทีเกื้ออุทานอย่างตกใจ ไม่คิดว่าพี่ชายจะให้หญิงสาวตามไปด้วย อย่าให้เขาไปเลย...รบกวนเปล่า ๆ อีกอย่าง สายแล้วเขาต้องรีบไปทำงานให้คุณพ่อด้วยนี่

             ใครว่า ธีรภูมิบอกยิ้ม ๆ เลขาคุณพ่อมีตั้งหลายคน...ตอนนี้หนูดีเขามีหน้าที่ติดตามลูกชายรัฐมนตรี รู้ไว้ซะ

             ทีเกื้อพูดไม่ออก สมองตื้อ นึกหาทางห้ามหญิงสาวไปบ้านตนเองไม่ได้

             สัตตบงกชไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่ขยับตัวออกจากเตียง เตรียมพร้อมไปกับธีรภูมิโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

             ธีรภูมิมองหนุ่มสาวทั้งสองแล้วแอบอมยิ้มในใจ...ไม่อยากพูดว่า...หน้าที่ติดตามลูกชายรัฐมนตรีของหนูดีน่ะ...น่าจะเป็นลูกชายคนเล็ก...ไม่ใช่คนโต




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ประตูห้องเปิด สัตตบงกชมองเข้าไปในห้องชุดของสองพี่น้องด้วยแววตาคุ้นเคย หล่อนเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง เมื่อตอนเพิ่งกลับจากต่างประเทศ ก่อนบอกเลิกกับทีเกื้อ

             ภายในห้องจัดตกแต่งแตกต่างจากเดิมบ้าง แต่ยังคงความรู้สึกอบอุ่น สบายตาเช่นเดิม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับน้อยชิ้น ดีไซน์สวย จัดวางลงตัว ใช้งานคุ้มค่า บอกรสนิยมเจ้าของบ้านได้ดี

             หญิงสาวก้าวเข้ามาพร้อมกับซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ อีกครั้ง ก่อนรับรู้ว่าวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หล่อนไม่มีสิทธิเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

             เสียงของธีรภูมิปลุกหล่อนจากภวังค์

             หนูดีเข้าไปดูที่ห้องเอื้อให้ทีนะจ๊ะ จัดของใช้จำเป็นมาเลย เดี๋ยวพี่จะเข้าไปที่ห้องเจ้าเกื้อ เอาเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวไปให้มันเปลี่ยนซะหน่อย

             ธีรภูมิพูดพลางนำหญิงสาวขึ้นบันไดไปยังชั้นที่เป็นห้องนอนสองพี่น้อง ดอกเตอร์หนุ่มเปิดห้องเอื้อกานต์ให้สัตตบงกชเข้าไปจัดของ ส่วนตนเองเข้าไปในห้องทีเกื้อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

             เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ สัตตบงกชจัดของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าเกือบเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเรียกจากธีรภูมิ

             หนูดีจ๊ะ มาดูอะไรหน่อยสิ

             หญิงสาวไปตามเสียงเรียก แล้วหยุดตรงหน้าประตูห้องทีเกื้อ มองภายในห้องนั้นอย่างลังเล ไม่แน่ใจ

             ธีรภูมิหันมาเห็นจึงกวักมือเรียก

             เข้ามาสิ เจ้าของห้องเขาไม่อยู่ ไม่ต้องกลัวหรอก

             นี่เป็นครั้งแรกที่สัตตบงกชเข้าห้องส่วนตัวของผู้ชาย แถมผู้ชายคนนั้นสำคัญต่อความรู้สึกหล่อนอย่างยิ่ง

             ห้องทีเกื้อเป็นระเบียบกว่าที่คิด อาจเพราะเอื้อกานต์ให้แม่บ้านมาดูแล ทำความสะอาดเป็นประจำ เตียงนอนคลุมผ้าตึง ตู้เสื้อผ้าแบบติดผนัง โต๊ะทำงานวางข้าวของเป็นระเบียบ ยกเว้นของชิ้นหนึ่งซึ่งโดดเด่น สะดุดตาจากชิ้นอื่น

             ...รูปและกรอบรูปเก่าใบหนึ่ง...

             สัตตบงกชเข้าไปหยิบมันขึ้นมาดูอย่างเลื่อนลอย...รูปของเด็กหนุ่มวัยรุ่น ผมเกรียน หน้าตาคมคาย นัยน์ตาคมดุ ถ่ายคู่กับสาวน้อยแสนสวย รอยยิ้มสว่างไสว ดวงตาแจ่มจรัสคล้ายตะวันยามเช้า

             รูปถ่ายนี้มีอายุเกินสิบปีแล้ว เขายังคงเก็บรักษามันอย่างดี

             ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกหน้าอกสัตตบงกชช้า ๆ

             เกื้อมันไม่ได้วางรูปนี้โชว์บนโต๊ะหรอกนะ ธีรภูมิบอกเบา ๆ พี่เจอมันในตู้...อยู่ในกล่องใบนี้

             ดอกเตอร์หนุ่มวางกล่องไม้ใบขนาดย่อมลงบนโต๊ะ พร้อมเปิดฝามันออกโดยหญิงสาวไม่ได้ร้องขอ

             ทุกสิ่งที่อยู่ภายในปรากฏแก่สายตา สัตตบงกชหยิบมันขึ้นมาดูทีละชิ้นอย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นสิ่งของบอบบางอันล้ำค่า

             กระดาษห่อช็อกโกแลตแท่งแรกที่เธอให้เขาในวันวาเลนไทน์ปีที่เพิ่งรู้จักกัน นอกจากนี้ยังมีกระดาษห่อช็อกโกแลตวาเลนไทน์ในปีที่สอง ปีที่สาม...เรียงซ้อนอย่างเป็นระเบียบ สวยงาม

             การ์ดอวยพรปีใหม่ ของขวัญวันเกิด และตุ๊กตาตำรวจตัวน้อย ที่เธอพยายามตัดเย็บแบบบิด ๆ เบี้ยว ๆ ให้เขาในวันที่สอบเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อยฯสำเร็จ

             ตุ๊กตาตัวนั้นถูกบรรจุใส่ขวดแก้วเล็กใสไม่ต่างจากของสำคัญ ล้ำค่า ทุกสิ่งที่เคยมอบให้กัน ทุกคำพูดที่เขียนลงการ์ดแต่ละใบ รูปที่ถ่ายคู่กันทุกใบ ความทรงจำอันงดงามทุก ๆ ชิ้น ทีเกื้อไม่เคยทิ้งขว้าง หนำซ้ำยังเก็บรักษาอย่างดียิ่ง หวงแหนยิ่งกว่าของล้ำค่าจนถึงทุกวันนี้

             น้ำตาหยดลงบนกล่องทีละหยด ก่อนหญิงสาวจะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ แล้วฟุบหน้าร้องไห้บนโต๊ะอย่างสุดกลั้น ร่างบอบบางสะอื้นจนตัวโยน ร้องไห้ด้วยความรู้สึกทั้งมวลในจิตใจ ความรัก ความเจ็บปวดพลุ่งพล่านในหัวอก อดีตย้อนทวน ยิ่งทรมานหัวใจให้ปวดร้าว

             ธีรภูมิยืนมองหญิงสาวนิ่ง ๆ ไม่คิดเข้าไปปลอบโยน ปล่อยให้เธอร้องไห้ ปล่อยให้เธอซึมซับความรู้สึกของผู้ชายคนนั้นอย่างเต็มที่

             เมื่อน้ำตาเหือดแห้ง...หวังว่าเธอคงจะได้รู้จักหัวใจตนเอง




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             สถานที่นั้นเป็นโรงงานเก่า ทิ้งร้าง ภายนอกรกเรื้อด้วยวัชพืชและเศษวัสดุต่าง ๆ ภายในมีหลังคาสูง โล่ง แดดส่องผ่านรูรั่วใหญ่ ๆ และช่องลมลงมา

             ทรงกลดเดินตัวเปล่า กิริยามั่นคง สงบนิ่ง มองทุกสิ่งรอบตัวด้วยแววตาราบเรียบ ไร้ความรู้สึก

             นับจากวันนี้ จะเป็นวันฝึกฝน ฟื้นฟูวิชาแบบเข้มข้น ซึ่งต้องทำให้ได้ภายในสามสัปดาห์...

             ชายหนุ่มเดินลงชั้นใต้ดินด้านล่าง คุ้นเคยเส้นทาง สถานที่นี้ฮันเตอร์ คิมจัดเตรียมไว้ให้เป็นที่ฝึกฝน มีอุปกรณ์ของจำเป็นทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ เขามีหน้าที่เพียงเอาตัว และวิชาที่มีมารื้อฟื้น เพื่อให้ก้าวหน้ากว่าเดิม

             ชั้นล่างค่อนข้างมืด มีเพียงแสงตะเกียงวับแวมส่องอยู่ปลายทาง ชายหนุ่มเดินตามแสงนั้นไปจนเจอห้องกว้างห้องหนึ่ง ซึ่งด้านในก็ยังมีห้องกระจกซ้อนอยู่อีกชั้น

             ทรงกลดมองเห็นสิ่งที่อยู่ในห้องกระจกด้านในราง ๆ พอเดาได้ว่ามันคืออะไร?

             เขาผลักประตูเข้าห้อง พบอาหาร น้ำดื่มเตรียมไว้ให้บนโต๊ะ ถัดไปเป็นเตียงไม้เล็ก ๆ ใช้นอนพักผ่อน ซึ่งเจ้าตัวรู้ว่าคงแทบไม่ได้ใช้งานมันเท่าไหร่ในช่วงสามสัปดาห์นี้

             ถัดไปอีกไม่เกินห้าก้าวก็มองเห็นห้องกระจกใส และสิ่งที่กองอยู่เต็มพื้นห้องนั้น

             ห้องกระจกไม่กว้างมากนัก รอบด้านติดกระจกใส มีประตูบานเลื่อนติดล็อก บนเพดานมีช่องระบายอากาศ ทำให้อากาศถ่ายเท พอจะหายใจสะดวก

             สิ่งที่ไม่น่าสะดวกคือเจ้าพวกที่กองอยู่บนพื้น...

             อสรพิษนับร้อยถูกขังรวมไว้ในห้องกระจก ทุกตัวมีพิษ ดุร้าย เลื้อยไปมาอย่างพยายามหาทางออก บางตัวชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อชวนพรั่นใจ

             นี่คือห้องฝึกอาคม...สถานที่ ๆ ฮันเตอร์ คิมจัดเตรียมให้ลูกศิษย์คนเดียว

             ทรงกลดถอนใจด้วยความนึกพรั่น รู้ว่าห้องนี้มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนอาคมอย่างมหาศาล แต่หากพลาดพลั้งเพียงนิดเดียว นั้นหมายถึงชีวิตต้องดับดิ้นโดยไม่มีใครช่วยเหลือ

             ฮันเตอร์ คิมสร้างสถานที่ฝึกฝนเช่นนี้เพื่อวัดใจเขา และเสี่ยงหวังผลโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

             หากฝึกไม่สำเร็จ...ก็ตาย!

             ตั้งแต่อาจารย์ช่วยชีวิตเขาจากเครื่องบินระเบิดลำนั้น ทรงกลดก็ต้องผ่านการทดสอบ วัดใจเช่นนี้หลายครั้ง แต่ละครั้งแทบเอาชีวิตไม่รอด...

             เวลาเกือบห้าปี...เหมือนเนิ่นนาน...ราวห้าสิบปี...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP