วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

อาคม ๒๖


 

cover-arkom-Final-Front-72 dpi

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



             กว่าคอนเสิร์ตจะเลิก งานเลี้ยงขอบคุณจะผ่านพ้นเรียบร้อย เวลาก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ไม่มีใครสงสัยการหายตัวของคุณหญิงอัปสร ทั้งท่านรัฐมนตรี และคนใกล้ชิดต่างบอกตรงกันว่า คุณหญิงมีธุระด่วน รีบกลับก่อน

             ท่านรัฐมนตรี ลูกชาย และว่าที่ลูกสะใภ้ต่างแสดงสีหน้าปกติ อยู่จนคอนเสิร์ตเลิก และร่วมงานเลี้ยงตามกำหนดการต่อจนกระทั่งจบ

             หารู้ไม่...ทันทีที่ท่านรัฐมนตรีขึ้นรถ คำสั่งแรกคือ

             ไปโรงพยาบาลด่วน!”



             ท่านธีรนัฐได้รับรายงานจากตำรวจติดตามแล้วว่า คุณหญิงปลอดภัยดี กำลังพักฟื้นอยู่ในห้องผู้ป่วย ไม่มีคนนอกทราบเรื่อง ด้วยความที่อยู่ในงานท่านจึงไม่มีโอกาสซักถามรายละเอียดเพิ่มเติม

             จนถึงช่วงงานเลี้ยงขอบคุณ ท่านรัฐมนตรีเห็นสีหน้าลูกชาย และว่าที่ลูกสะใภ้ผิดปกติ จึงหาโอกาสซักถาม ซึ่งกว่าจะได้คำตอบ งานเลี้ยงก็เกือบจะเลิกแล้ว

             คุณแม่ไม่มีปัญหาครับ...แต่เอื้อมีอาการน่าเป็นห่วง ธีรภูมิบอกด้วยใบหน้าซีดเซียว

             ท่านรัฐมนตรีไม่เข้าใจ แต่ไม่มีเวลาซักถามมากมาย จึงได้แต่คอยเร่งเวลาให้งานเลิกเร็ว ๆ

             แรกสุด นภมารายงานแค่อาการของคุณหญิงอัปสร ซึ่งพอรู้ว่าปลอดภัย ทุกคนก็โล่งอก โดยไม่คิดว่ามีเหตุแปรเปลี่ยน จนกระทั่งธีรภูมิเริ่มสังเกตอาการผิดปกติของนายตำรวจติดตามของบิดาตน ว่ามีท่าทางกระสับกระส่าย สีหน้าเป็นกังวล แอบโทรศัพท์บ่อย ๆ จึงเข้าไปเลียบเคียงถามว่ามีปัญหาอะไร จึงได้รู้เรื่องของเอื้อกานต์

             นภเล่าเรื่องเอื้อกานต์ หลังจากได้ข่าวดี ที่เธอปลอดภัย กลับมาหายใจอีกครั้งแล้ว หากนภบอกข่าวนี้แต่ต้น ตอนที่คิดว่าเอื้อกานต์เสียชีวิต ทีเกื้อแทบคลั่ง คาดว่าคนในครอบครัวคงไม่มีใครรักษาสีหน้า ท่าทางสงบได้แน่

             ที่นภไม่เล่าเรื่องเอื้อกานต์ เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นลูกท่านรัฐมนตรี

             พองานเลิก ทุกคนก็รีบบึ่งไปโรงพยาบาล รัฐมนตรีธีรนัฐขึ้นรถไปพร้อมกับตำรวจติดตาม ส่วนธีรภูมิกับสัตตบงกชขับตามไปอีกคัน




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             การพาคุณหญิงอัปสรมารักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งนี้เป็นความลับ ทุกอย่างถูกเตรียมการณ์เรียบร้อย ล่วงหน้า จึงไม่ฉุกละหุกมากนัก อีกทั้งยังปิดเรื่องจากนักข่าวได้ดี

             ธีรภูมิกับทีเกื้อ คิดผิดไปเรื่องเดียว คือคิดว่าเหยื่อเป็นบิดาตน ไม่ใช่คุณหญิงอัปสร

             ตอนที่ทีเกื้อสงสัยเงื่อนงำนี้ ธีรภูมิก็สงสัยก่อนแล้ว เพราะเขาได้ไปเห็นรูปบ้านสวยริมแม่น้ำหลังเก่าแก่ที่แม่ซื้อมาหลังหนึ่ง พอถามคุณโชติ ทนายความประจำตระกูล จึงรู้ว่าเป็นบ้านของคุณหญิงท่านทรงพล

             เขาฉุกใจ ตรวจเช็คธุรกิจของแม่ย้อนหลังห้าหกปี ได้ทราบว่า แม่ก็เข้าร่วมประมูล และได้สัมปทานโปรเจ็กต์ใหญ่มาด้วยเหมือนกัน

             วันนี้ทั้งวันเขากระสับกระส่าย พยายามโทรหาทีเกื้อเพื่อปรึกษาหารือ แต่ก็พลาด จนเรื่องราวล่วงเลยมาถึงนี่

             โชคดีเมื่อมาถึงโรงพยาบาล ได้พบคุณหญิงอัปสรอาการปกติ นอนหลับพักผ่อน ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง ทุกคนถอนใจอย่างโล่งอก มองหน้ากันพลางพากันไปดูอาการเอื้อกานต์ที่อีกห้องหนึ่ง



             ทันทีที่เปิดประตู ก้าวเข้าห้องคนป่วย ความรู้สึกของคนมาเยี่ยมก็ผิดแผกจากการเพิ่งเข้าห้องคุณหญิงอัปสรลิบลับ บรรยากาศห้องนี้หม่นมัว เซื่องซึม อิดโรยอย่างบอกไม่ถูก

             ทุกคนเห็นทีเกื้อนั่งอยู่ข้างเตียง นัยน์ตามองร่างพี่สาวโดยไม่เลื่อนสายตาไปไหน กระทั่งได้ยินเสียงคนเข้ามาในห้อง ก็ไม่คิดเหลียวหน้ามาดู ราวกับทั้งโลกไม่มีสิ่งใดสำคัญอีกแล้ว

             ท่านธีรนัฐบอกให้นภ และตำรวจติดตามอีกคนออกไปรอนอกห้อง จากนั้นก็เดินเข้าไปหาลูกชาย ตั้งใจไถ่ถาม ปลอบโยน

             เกื้อ...เป็นยังไงบ้าง

             ทีเกื้อไม่ตอบ ไม่ขยับตัว ไม่แสดงสีหน้า แววตารับรู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้อง

             เกื้อ... ธีรภูมิพูดบ้าง

             อีกฝ่ายยังไม่เหลียวหน้ามอง จิตใจอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด ต่อให้ได้ยินเสียงเรียก ต่อให้รู้ว่ามีคนอื่นในห้องก็ไม่สนใจ ไม่เห็นความสำคัญ

             พ่อกับพี่ชายถอนใจเฮือก หันหน้าไปมองสัตตบงกช ให้หญิงสาวลองเรียกทีเกื้อดูบ้าง

             สัตตบงกชเห็นท่าทางทีเกื้อตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาในห้อง ดูลักษณะอาการเอื้อกานต์ที่นอนอยู่บนเตียง ก็เข้าใจจิตใจคนเฝ้าไข้ดีว่ากำลังเป็นห่วง กลัดกลุ้มขนาดไหน

             หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธสายตาสองชายต่างวัย ขนาดพ่อกับพี่ชายเรียกขานเองแท้ ๆ ทีเกื้อยังไม่ขานรับ กับตัวหล่อน ปกติเขาก็เลี่ยงที่จะพูดคุยอยู่แล้ว เวลานี้มีหรือจะเอ่ยปากด้วย

             พอสัตตบงกชปฏิเสธ สองพ่อลูกก็เลี่ยงไปยืนข้างเตียงเอื้อกานต์ เห็นสภาพคุณหมอสาวเหมือนกำลังนอนหลับ ใบหน้ามีรอยสีเทาจาง ๆ ผิดจากปกติ ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวช้า เดี๋ยวเร็ว เครื่องตรวจวัดต่าง ๆ ก็บอกตัวเลขแปลก ๆ อธิบายยาก

             ท่านธีรนัฐจับมือลูกสาวมาบีบเบา ๆ อย่างต้องการให้กำลังใจ

             เอื้อ...ได้ยินพ่อมั้ยลูก เสียงเรียกขานอ่อนโยน เท่าที่คนเป็นพ่อคนหนึ่งจะมีให้ลูก เป็นอะไรไป...ทำไมไม่บอกกัน

             เอื้อ... ธีรภูมิเรียกบ้าง พี่ขอโทษ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย...รีบตื่นมาไวไวนะ ทุกคนเป็นห่วง

             ทีเกื้อแค่ผงกศีรษะขึ้นมองหน่อยเดียวก็นิ่ง ไม่พูดจาอะไร ธีรภูมิคิดจะถามที่มาที่ไปของเรื่อง แต่ดูแล้วยากที่จะให้ทีเกื้อยอมเปิดปากเวลานี้

             เราไปหาคุณหมอที่ดูแลเอื้อดีมั้ยครับ เผื่อจะรู้อะไร แล้วจะได้หาทางช่วยถูก ธีรภูมิเสนอ

             ก็ดีนะ แต่ไม่รู้ดึกป่านนี้ยังจะอยู่หรือเปล่า

             ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงน่าจะมีคนพอรู้อยู่บ้าง

             สองพ่อลูกปรึกษากัน ก่อนละจากเตียง เตรียมออกจากห้อง ทีเกื้อขยับปากนิดนึง เหมือนต้องการจะพูดอะไร แล้วก็นิ่ง กลับสู่ลักษณะเดิม

             หนูดีอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะ เป็นเพื่อนเจ้าเกื้อมันสักเดี๋ยว ธีรภูมิบอกหญิงสาวพลางส่งยิ้มให้

             หญิงสาวไม่ทันเอ่ยปากขัด สองพ่อลูกก็ออกจากห้องไปแล้ว



             หลังท่านรัฐมนตรีกับบุตรชายออกจากห้องคนป่วย เหลือแค่ทีเกื้อซึ่งนั่งนิ่งเป็นหุ่น กับสัตตบงกชที่กำลังยืนเคว้ง ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

             สุดท้ายหญิงสาวก็หาทางออกให้กับตนเอง ด้วยการเดินไปที่เตียงเอื้อกานต์ ยิ้มให้กับใบหน้าที่หลับสนิทนั้น จับมือขึ้นมาบีบเบา ๆ

             หนูดีมาเยี่ยมพี่เอื้อค่ะ...เป็นยังไงบ้าง...ทำไมถึงมานอนอยู่แบบนี้ เสียงอ่อนโยน มีรอยยิ้มและความอบอุ่นอยู่ในน้ำเสียง

             เหลือบตามองชายหนุ่มที่นั่งนิ่ง เขายังไม่ขยับตัวแสดงทีท่ารำคาญ ขับไล่ หล่อนจึงคุยกับเอื้อกานต์ต่อ

             พี่เอื้อมีอะไรให้หนูดีช่วยบ้างหรือเปล่า...หนูดีเป็นห่วง...หนูดีอยากช่วย...

             ถึงคำพูดจะบอกว่าเอื้อกานต์ ความหมายกลับส่งถึงอีกคน

             ทีเกื้อเงยหน้าขึ้นสบตาสัตตบงกช ในดวงตามีคำพูดจาหลายพันคำ เพียงแต่ยากที่จะเอ่ยปาก

             สัตตบงกชสบตาคู่นั้นแล้วพูดอะไรไม่ออกอีก ไม่กล้าขยับเข้าใกล้ และไม่คิดจะถอยหนี ความเงียบ บรรยากาศอึดอัดก่อตัวขึ้นระหว่างสองคนอย่างเชื่องช้า

             ประตูห้องคนป่วยเปิดออก สองหนุ่มสาวหันไปมองพร้อมกัน นภเยี่ยมหน้ามายิ้ม แล้วเปิดประตูเข้ามาดื้อ ๆ โดยไม่รู้ว่าตนเองได้เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์อึดอัดแบบไม่รู้ตัว

             เป็นไงบ้างวะไอ้ที...หมอเอื้อปลอดภัยอย่างนี้ กูโล่งใจจริง ๆ

             ทีเกื้อได้จังหวะ ลุกจากเก้าอี้ไปหาเพื่อน

             เออ... เป็นคำแรกที่ทีเกื้อเอ่ยปาก ตั้งแต่สัตตบงกชเข้ามาในห้อง โทษที...ที่กูเกือบยิงมึง

              นภหัวเราะอย่างไม่ถือสา

             ช่างเถอะ เพื่อนกัน คนเราถ้าอยู่ในอารมณ์นั้น ใครมันก็บ้ากันได้ทุกคนนั่นแหละ

             ทีเกื้อล้วงหยิบกุญแจรถยื่นให้นภ

             ในรถกูมีกระเป๋ากล้องของคิม...ผู้ต้องสงสัย...ฝากมึงเอาไปให้ท่านรองฯ ด้วย ในกระเป๋ามีเอกสารสำคัญหลายชิ้นที่กูอยากให้มึงเอาไปส่งถึงมือท่านด้วยตัวเอง

             อะไรวะ ทำไมมึงไม่ไปพบท่านเอง จะได้รายงานเรื่องด้วย นภสงสัย แต่ก็รับกุญแจนั้นมา

             กูไม่มีอารมณ์จะเจอใคร แต่เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะข้อมูลในนั้นสามารถชี้บอกได้ว่า ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป และเบื้องหลังการฆาตกรรมปริศนาครั้งนี้คืออะไร...เรื่องอื่นกูรายงานท่านรองฯหมดแล้ว แค่ได้เอกสารในกระเป๋านั่น ท่านก็จะสรุปคดีได้เอง

             ทีเกื้อตบไหล่เพื่อนหนัก ๆ เป็นการจบบทสนทนา ไม่พูดอะไรอีก

             นภมองดูหน้าเพื่อน แล้วเหลียวมองหญิงสาวบนเตียง ชักรู้สึกว่าอาการเอื้อกานต์หนักกว่าที่คิด จิตใจเริ่มหวั่นไหว หวาดกลัว ยิ่งทีเกื้อเป็นแบบนี้เขายิ่งเป็นห่วง กังวลใจ แต่ก็รู้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือช่วยผ่อนแรงเพื่อน ให้ทีเกื้อได้มีเวลาดูแลเอื้อกานต์เต็มที่



             ห้องกลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง หลังจากนภออกไป ทีเกื้อก็ไปยืนริมหน้าต่าง หันหลังให้สัตตบงกช แสดงท่าทาง เว้นระยะห่างชัดเจน

             หญิงสาวเห็นการกระทำเช่นนั้นก็เข้าใจ...เวลาที่คนเราอ่อนแอที่สุด ย่อมต้องการคนสำคัญที่สุดมาอยู่ข้าง ๆ คน ๆ นั้นใช่ว่าใครก็เป็นได้ ต้องเป็น คนที่ใช่ และสามารถเยียวยาจิตใจแก่เขาได้เท่านั้น

             สำหรับทีเกื้อ คนที่สามารถอยู่ใกล้ ช่วยปลอบประโลม ให้กำลังใจเขาได้ดีที่สุด กลับไม่อาจอยู่ข้างกายเขาได้ หนำซ้ำยังเป็นบุคคลต้องห้ามเสียด้วย

             สิ่งที่เขาพอจะกระทำ คือผลักไสคน ๆ นั้นให้ไกลห่าง ไม่เช่นนั้น หากหัวใจอ่อนแอขึ้นมา เขาจะไม่ยอมปล่อยเธอตลอดกาล

             เพียงแค่เห็นแผ่นหลัง การกระทำ ก็เข้าใจความรู้สึกซึ่งกันและกัน สัตตบงกชสะเทือนขึ้นมาในอก อยากเข้าไปโอบกอดปลอบเขา ทีเกื้อดูโดดเดี่ยว เดียวดายจับใจ เขาไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ทั้งที่หัวใจเรียกร้องขนาดนั้น

             ยิ่งไม่พูดจา ไม่มองหน้า แสดงทีท่าผลักไสเท่าไหร่ ยิ่งบอกว่าหัวใจดิ้นรน ร่ำร้อง เรียกหา

             สัตตบงกชตอบไม่ถูก ทำไมตนเองเข้าใจทีเกื้อขนาดนี้ เข้าใจโดยเขาไม่พูดจาสักคำ เข้าใจโดยเขาไม่แสดงออกท่าทางอะไรสักนิด

              อาจเพราะครั้งหนึ่งเคยเปิดหัวใจแก่กัน ความรัก ความสนิทสนมในวันนั้น ไม่ได้มีแค่ความหวือหวาแบบหนุ่มสาววัยรุ่นทั่วไป แต่มันเป็นการเปิดโอกาสให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้หัวใจของกันและกัน ต่อให้เวลาผ่านมานานวันแค่ไหน ก็ยังไม่เคยลืมเลือน

             น้ำตาเอ่อล้น ไหลคลอดวงตาคู่สวยของสัตตบงกช ถึงเข้าใจความรู้สึกเขาขนาดนี้ ก็ยังไม่มีคำพูดจาปลอบโยน ไม่สามารถโอบกอด มอบไออุ่นจากหัวใจ เพราะรู้นานแล้ว คำปลอบโยนสำหรับทีเกื้อมันไม่จำเป็น

             เวลาพี่เศร้า ไม่สบายใจ...ขอแค่มีใครสักคน มองพี่อยู่ห่าง ๆ ก็พอแล้ว

             ครั้งหนึ่ง เขาเคยบอกเธอเช่นนั้น

             วันนี้...เธอสามารถทำให้เขาได้หรือไม่?

             ในห้องคนป่วย ถูกคลี่คลุมด้วยความเงียบงัน ไม่มีสรรพเสียงใดเล็ดรอด นอกจากร่างเอื้อกานต์ที่นอนสงบบนเตียงแล้ว ก็มีร่างสูง ๆ ของทีเกื้อยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองความเวิ้งว้างเบื้องนอก และร่างบอบบางของสัตตบงกช ที่กำลังยืนมองแผ่นหลังของเขา ด้วยใบหน้านองน้ำตา...




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             พวกมันมาอีกแล้ว เหล่าอสุรกายที่แห่กันมาร่ำร้อง ทวงชีวิต ทวงความแค้น ความยุติธรรม แต่ละตนดูน่าสะพรึงกลัว ชวนสะอิดสะเอียน บางร่างไฟลุกท่วม บางร่างเขียวซีด นัยน์ตาเหลือกโพลงเหมือนปลาตาย เสียงวี้ด ๆ นั้นฟังบาดหู... บาดลึกถึงความรู้สึกภายใน

             ทรงกลดนึกถึงบทสวดขับไล่ แล้วเปล่งเสียงออกมาชัดเจนไม่ติดขัด แม้จะอยู่ในความฝัน

             น่าแปลก พวกมันยังสามารถดาหน้าเข้ามาอย่างฮึกเหิม ไม่เกรงกลัว สีหน้าสีตากระเหี้ยนกระหือรือที่มุ่งเข้ามาจู่โจม หวังเอาชีวิต

             ทรงกลดรู้สึก พลังแห่งมนต์เสื่อมถอย ไม่อาจต้านทานฝูงปีศาจเหล่านี้ได้เหมือนเคย ปีศาจตนหนึ่งกางกรงเล็บแหลมยาวแล้วตะปบเข้าที่แขนเขาเต็มแรงโดยหลบไม่ทัน บังเกิดความเจ็บปวด แผดร้อนขึ้นมาทันที



             ทรงกลดสะดุ้งเฮือก ตื่นจากความฝัน เหงื่อไหลโทรมหน้า ยกมือขึ้นปาดเหงื่อออก แล้วรู้สึกเจ็บที่ท่อนแขน

             กดสวิตซ์ไฟที่หัวเตียง แสงสว่างส่องให้เห็นผิวเนื้อตรงท่อนแขนถูกกรีดด้วยของมีคมบางอย่าง เป็นทางยาว มีเลือดไหลซึมสีแดงฉาน

             ทางรอยเลือดสีแดง ตัดกับท่อนแขนสีขาวซีดเผือดกระทบสายตา จนเกิดความกลัวขึ้นมา หัวใจเต้นรัวเร็ว ดังโครมครามอย่างที่ไม่เคยเกิดมานานแล้ว

             เป็นครั้งแรก นับจากก้าวมาสู่เส้นทางนี้ ที่ทรงกลดเกิดความกลัวขึ้นมาจับจิตจับใจ

             อาจารย์เคยเตือนเรื่องปีศาจ ทวงชีวิต นานแล้ว มันเป็นสิ่งที่เขาควรระวัง หากอาคมยังแข็งแกร่ง พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่น่าเป็นห่วง

             ทว่าเมื่อใดอาคมอ่อนด้อย การทวงแค้นจะมาในรูปแบบเกินคาดหมาย

             เช่นคืนนี้...ทรงกลดไม่เคยคิด...ความฝัน...จะมีผลต่อร่างกายจริง ในขณะตื่นขึ้นมาด้วย




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             ธีรภูมิขับรถมาส่งสัตตบงกชถึงบ้าน ระหว่างทางสองคนพูดจาน้อยคำ แทบเรียกว่าไม่พูดเลยก็ได้ ต่างฝ่ายตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเอง

             อาการป่วยของเอื้อกานต์ สภาพหุ่นไร้ชีวิตของทีเกื้อวนเวียนในสมองคนทั้งสอง

             ภาพแผ่นหลังของทีเกื้อติดในความรู้สึกสัตตบงกชจนยากจะถอน ลบไม่ออก สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด เหมือนอะไรบางอย่างที่คอยเสียดแทง ล่อหลอกให้กลัดกลุ้ม กระวนกระวายใจ อยากทำอะไรบางอย่าง แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างขัดขวางไว้

             ตลอดทางที่นั่งด้วยกันมาในรถ สมองหญิงสาวสับสน คิดทบทวนบางเรื่องไปมาไม่รู้กี่รอบ ชั่งใจ ชั่งน้ำหนักความผิดถูก สมควร ไม่สมควรไม่รู้กี่ครั้ง จนกระทั่งรถจอดถึงหน้าบ้านก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ มัวคิดหมกมุ่นจนไม่รู้ตัวว่าควรลงจากรถได้แล้ว

             ธีรภูมิลงจากรถแล้วอ้อมอีกฝั่งไปเปิดประตูให้หญิงสาว ซึ่งเจ้าตัวยังนั่งนิ่ง นัยน์ตามองเหม่อข้างหน้าอย่างไม่รู้สึกตัว

             หนูดีจ๊ะ ถึงบ้านแล้ว เขาเตือนเบา ๆ กระแสเสียงอ่อนโยน

             หญิงสาวรู้สึกตัว รีบสะพายกระเป๋าลงจากรถ

             ขอบคุณมากค่ะพี่ภูมิ พูดพลางเตรียมตัวเข้าบ้าน

             คุยกันก่อนได้มั้ย เขาบอกเบา ๆ หญิงสาวเงยหน้าแปลกใจ

             คะ... หล่อนใช้สายตาแทนคำถาม

             ธีรภูมิยิ้มน้อย ๆ ก่อนพูดเข้าประเด็น

             ถ้าหนูดีอยากดูแลเกื้อ...พี่ก็อนุญาตนะ...ทำอย่างที่อยากทำเถอะ

             สัตตบงกชสะดุ้งเฮือก ตัวชาวาบเหมือนเด็กโดนจับผิดได้

             รอยยิ้มของธีรภูมิยังอ่อนโยนเช่นเคย แสดงออกถึงความเมตตาจากหัวใจ ไม่ใช่การประชดประชัน

             เอ่อ...ทำไม... เป็นคำถามที่เหมือนไม่ใช่คำถาม

             สัตตบงกชไม่แน่ใจ ธีรภูมิล่วงรู้ความสัมพันธ์ของหล่อนกับทีเกื้อหรือไม่ หรือตนเองทำอะไรไม่งาม ผิดสังเกต จนเขาสังเกตเห็น จึงต้องมาพูดแบบนี้

             ธีรภูมิถอนใจ นึกเรียบเรียงคำพูด...จะให้เขาบอกอย่างไร...พูดตรง ๆ ว่าล่วงรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้วอย่างนั้นหรือ?

             เขารู้...และรู้สึกละอายใจที่เข้าไปแทรกกลางความรักของคนทั้งคู่

             เขารู้...และเข้าใจ ต่อให้ตนเองไม่เข้าไปแทรก เส้นทางความรักของสองคนก็ยากบรรจบกันอยู่ดี

             ชายหนุ่มระบายลมหายใจแผ่ว ๆ ก่อนเลือกคำพูดที่ชัดเจน และบอกความรู้สึกตนเองอย่างตรงไปตรงมา

             เกื้อเป็นน้องชายที่พี่รักมาก พี่รู้ว่าน้องชายพี่เป็นคนยังไง รู้ว่าเขารักใคร... และรู้ว่าตอนนี้เขาต้องการใครมากที่สุด

             สัตตบงกชอึ้ง พูดไม่ออก ไม่คิดว่าธีรภูมิจะล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับทีเกื้อแบบนี้

             ถ้าเขารู้ แสดงว่าคนที่บอกคือทีเกื้อ

             หากทีเกื้อบอกเรื่องนี้กับธีรภูมิ แสดงว่าเขารัก และไว้ใจพี่ชายคนนี้จริง ๆ

             เมื่อทีเกื้อไว้ใจเขาขนาดนี้ ตัวหล่อนเองมีอะไรต้องปิดบังอีก...

             ธีรภูมิคงสังเกตความสัมพันธ์นี้มานานแล้ว จนถึงคืนนี้ เขาเห็นทีเกื้อจงใจไม่พูดกับทุกคน และหันหลังให้กับผู้หญิงคนเดียวที่เขาไม่ควรเสียมารยาท

             ระหว่างทางสัตตบงกชก็แสดงอาการสับสน ตัดสินใจไม่ตก ลังเลจนธีรภูมิสังเกต รับรู้ได้ มาถึงเวลานี้เขาจึงช่วยเหลือ คลี่คลายปัญหาให้หล่อน โดยไม่ต้องพูดจามากความ

             พี่ภูมิคะ...หนูดี สัตตบงกชพูดไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี

             ใบหน้าธีรภูมิยังเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม คำพูดต่อมาเต็มไปด้วยน้ำใส ใจจริง

             พี่รักหนูดีเหมือนน้องสาวมาตั้งแต่อยู่ที่โน่น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง...พี่เห็นหนูดีเป็นน้องที่พี่รักไม่น้อยไปกว่าเอื้อ หรือเกื้อ...

             คิดดูสิ ทำไมพี่ถึงเลือกจะแต่งงานกับหนูดี ทั้งที่พี่สามารถอยู่เฉย ๆ ไปก่อนก็ได้ หรือที่จริง คุณแม่ก็ยังมีผู้หญิงที่เหมาะสมมาให้พี่เลือกอีกตั้งเยอะ

             แต่เพราะพี่รู้ปัญหาของหนูดี พี่ก็เลยอยากช่วย อยากคลี่คลายปัญหาให้น้องสาวที่น่ารักของพี่ อยากให้หนูดีมีรอยยิ้มอย่างที่เดิมที่พี่เคยเห็น ไม่อยากให้น้องสาวที่พี่รัก ต้องไปอยู่กับคน ที่อาจทำร้ายหนูดีไปตลอดชีวิต

             ถึงวินาทีนี้ สัตตบงกชไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากโผเข้ากอดธีรภูมิเต็มแรง แล้วสะอื้นไห้ ระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหลายทั้งปวงที่มี ให้สลายไปพร้อมกับน้ำตา และเสียงสะอื้นครั้งนี้




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




             เที่ยงคืน

             ทรงกลดเดินริมสะพานด้วยอาการเคล็ดยอกเล็กน้อย ฤทธิ์หมัดทีเกื้อยังทำให้เขาเจ็บแปลบไม่หาย ขนาดเจ้าตัวเหลือเรี่ยวแรงไม่ถึงครึ่ง ยังทำเขาเจ็บขนาดนี้ แสดงว่าความโกรธแค้น เจ็บใจที่มีมันเกินระงับได้

             แขนข้างที่โดนรอยกรีดจากในฝันยังคงอยู่ เจ็บรุ่ม ๆ แม้จะใส่ยา พันแผลเรียบร้อย หลังจากได้นอนพักผ่อนเต็มที่ตลอดวัน สติสมองทรงกลดก็แจ่มใส ฉับไวขึ้น

             เวลานัดเที่ยงคืน เขามาถึงบนสะพานตอนเที่ยงคืน มองหาอาจารย์ท่ามกลางคนเดินผ่านไปมา รถรายังวิ่งขวักไขว่ จนคนเดินน้อยลง คนที่มองหายังไม่เห็น

             ทรงกลดยืนรอที่กลางสะพาน มั่นใจว่าอาจารย์จะมาถึงในเวลาไม่ช้า เขาเชื่อว่าอาจารย์ต้องมีวิธีรักษาเอื้อกานต์ และขณะนี้เขากำลังนึกหาวิธีให้อาจารย์ยอมรับปากช่วยหญิงสาวคนรัก

             นาน...เหมือนไม่นาน เขามองเห็นร่างสูงใหญ่ หุ่นเกินมาตรฐานคนไทยเดินมาช้า ๆ แต่งตัวเรียบ ๆ ไม่ต่างจากคนทั่วไป ระยะทางที่ไกล แสงสว่างไม่มากพอมองเห็นใบหน้านั้นไม่ชัดเจนนัก

             กระทั่งร่างสูงใหญ่เดินมาใกล้ มองเห็นจอนผมหงอกขาว แต่ใบหน้าเรียบตึง เป็นใบหน้าจืด ๆ ธรรมดามองเห็นในคนทั่วไป

             ทรงกลดรู้ อาจารย์ใส่หน้ากากหนัง...เป็นอีกใบหน้าหนึ่งของอาจารย์

             ฮันเตอร์ คิม




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




บทที่ ๒๓



             ฮันเตอร์ คิม!

             การที่เขานัดทรงกลดมาพบบนสะพานตอนเที่ยงคืน ไม่ได้หมายความว่าตนเองจะมาตอนเที่ยงคืน ดังนั้นทรงกลดจึงต้องรออาจารย์อยู่นาน กว่าจะได้พบ

             ทั้งที่จริงฮันเตอร์ คิมไม่ได้หลบไปไหน เขารออยู่บนสะพานตั้งแต่ก่อนทรงกลดมาถึงด้วยซ้ำ ทรงกลดกลับเดินผ่านโดยไม่รู้จัก กระทั่งคนเป็นอาจารย์แกล้งเดินเฉียดให้เห็น ทรงกลดก็ไม่รู้ตัว

             ที่ไม่รู้ เพราะฮันเตอร์ คิมไม่ได้มาในรูปลักษณ์เดิมที่คุ้นตา

             ถึงอย่างนั้น กระแสความเป็นอาจารย์ก็ยังอยู่ เหตุที่ทรงกลดจับกระแสนี้ไม่ได้ เพราะพลังเขาถดถอย เหลือไม่ถึงครึ่ง

             คนเป็นอาจารย์จึงหยุดคิด พิจารณาลูกศิษย์ตนเองอยู่พักใหญ่

             เขาควรทำอย่างไรกับศิษย์คนนี้ดี?



             ฮันเตอร์ คิมพบลูกศิษย์คนนี้บนเครื่องบิน รูปลักษณ์ที่หล่อ โดดเด่นสะดุดตาของทรงกลดไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ

             พลังแฝงบางอย่างในตัวผู้ชายคนนี้ต่างหาก ที่ดึงดูดสายตา สัญชาตญาณเขา

             พลังแฝงนั้น มันยิ่งใหญ่พอจะสร้างสรรค์โลกทั้งใบ หรือไม่ก็ทำลายให้ดับดิ้นในพริบตา เป็นพลังที่แปลก มีทั้งขาวสะอาด สุกสว่างด้วยความดีงาม เต็มไปด้วยลมหายใจแห่งการต่อสู้ ขณะเดียวกัน ก็มีพลังด้านมืดอันแกร่งกร้าวของความโกรธแค้น อาฆาต พลังเกลียดชังรุนแรง เทียบได้กับระเบิดลูกใหญ่ ทำลายล้างโลกครึ่งใบในพริบตา

             พลังแฝงอันประหลาด และขัดแย้งในตัวเองเช่นนี้ ทำให้ฮันเตอร์ คิมอยากศึกษา เรียนรู้ อยากรู้จักผู้ชายคนนี้อย่างไม่เคยเกิดกับใครมาก่อน

             มันเป็นความกระตือรือร้น กระหายของคนมี วิชา ชั้นยอด แล้วพบกับคน ๆ เดียวในโลก ที่สามารถรับถ่ายทอดวิชาอันมหัศจรรย์ของตนเองได้

             ก่อนฮันเตอร์ คิมจะคิดวางแผนดึงทรงกลดมาเป็นลูกศิษย์ เขาก็เห็นนิมิตขึ้นมากะทันหัน นิมิตนั้นบอกชัดเจนถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

             ...เครื่องบินลำนี้จะระเบิด!...

             นิมิตฮันเตอร์ คิมเกิดไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งจะถูกต้อง เชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นิมิตลักษณะเช่นนี้ช่วยชีวิตเขาหลายครั้ง ทำให้ตัดสินใจไม่ผิดพลาด

             น่าแปลก ที่ครั้งนี้นิมิตเกิดขึ้นระหว่างเครื่องกำลังบินพ้นน่านฟ้าไทย ไม่ได้เกิดก่อนขึ้นเครื่อง

             ฮันเตอร์ คิมหลับตา สำรวมจิต เพ่งย้อนกลับไปที่นิมิตนั้นอีกครั้ง ดูรายละเอียดและเวลาที่เหลือ จากนั้นใช้เวลาอีกเล็กน้อย ใคร่ครวญ หาทางเอาตัวรอด

             เขาเห็นเครื่องบินลำนี้ถูกวางระเบิดไว้ที่หัวเครื่อง เวลาเหลือไม่ถึงห้านาที ไม่มีทางปลดชนวน หรือยับยั้งได้ทัน ฮันเตอร์ คิมมองหาทางรอดของตนเองเจอแล้ว เพียงแต่มีบางสิ่งค้างคาใจ...

             ชายผู้มีพลังแฝงอันประหลาด ขัดแย้งคนนั้น...คนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ชั้นเลิศของเขาในอนาคต

             ฮันเตอร์ คิมไม่เชื่อเรื่องเหตุบังเอิญ เขารู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างชักจูง โยงใยให้เขากับชายคนนั้นมาขึ้นเครื่องบินลำเดียวกัน หนำซ้ำยังเป็นเครื่องบินที่จะระเบิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

             นิมิตของเขาไม่มาให้เห็นตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง แสดงว่าต้องการให้เขาขึ้นเครื่องลำนี้ และไม่ใช่ขึ้นมาเพื่อรับความตาย แต่ขึ้นมาเพื่อพบ และช่วยเหลือใครบางคน

             คนที่สะดุดสัญชาตญาณ ความรู้สึกฮันเตอร์ คิมตั้งแต่แรกเห็น...

             ...ทรงกลด...

             ทรงกลดเป็นลูกศิษย์ชั้นยอด อาจารย์คนไหนได้ไปย่อมเหมือนได้รับของมีค่า วิชาต่าง ๆ ที่ตนเองร่ำเรียน ค้นคว้า ตระเวนศึกษามาสี่สิบกว่าปี ทรงกลดใช้เวลาแค่สี่-ห้าปีก็เรียนรู้ รับการถ่ายทอดไปได้เกือบหมด

             ทว่าเวลานี้ความแข็งแกร่งแห่งอาคมที่ทรงกลดมี ได้ลดลง ถดถอยไปกว่าครึ่ง ไม่อาจรับรู้กระทั่งอาจารย์ตนเองเดินผ่าน หรือยืนอยู่ใกล้ ๆ แถมที่แขนยังมีรอยแผลซึ่งได้รับจากพวก ทวงแค้น เสียอีก

             คนเป็นอาจารย์เช่นเขาย่อมเสียใจ ผิดหวัง

             เขาควรทำอย่างไรต่อลูกศิษย์คนนี้ดี?



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




- - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -   - - -




สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP