วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
อาคม ๑๖
นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
บทที่ ๑๔
วันนี้เอื้อกานต์ทำงานใจไม่อยู่กับเนื้อตัว นึกห่วง กังวลสารพัด จิตใจที่เคยสงบ เป็นสุข เนื่องจากไม่ค่อยเก็บทุกข์มาใส่ตนก็เปลี่ยนไป ใจวางเฉยเรื่องบิดาตนไม่ได้ ต่อให้ความสัมพันธ์ห่างเหิน ความผูกพันเบาบาง ถึงอย่างไรพ่อก็ยังเป็นพ่อ...ไม่สามารถมองเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดให้เหมือนเป็นเรื่องนอกตัวได้
หญิงสาวกลับมานั่งห้องพักแพทย์ ตั้งสติ ลำดับงานที่ต้องทำในช่วงบ่าย รู้สึกสมองตื้อ ฟุ้งซ่าน สมาธิไม่ยอมอยู่กับงานตรงหน้า ใจคอยแต่จะหนีไปคิด กังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น
สูดลมหายใจลึก ๆ จ้องผนังสีขาว ระลึกเปรียบเทียบกับดวงตะวันตอนเช้า ที่ตนเองเคยใช้เป็นเครื่องมือฝึกสมาธิ หวังให้ใจสงบ ระงับความอึงอลในหัว... ทำได้ชั่วขณะก็ยอมแพ้ ใจยังดิ้นพล่าน ๆ ไม่ยอมนิ่ง ไม่ยอมเข้าสู่ความสงบอย่างที่ต้องการ
ไม่เข้าใจว่าขนาดฝึกฝนเกือบทุกวัน จนคิดว่าการฝึกสมาธิไม่ใช่เรื่องยาก การบังคับใจให้สงบเป็นเรื่องไม่เกินกำลัง ทำไมเวลานี้ ใจถึงไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ยอมเป็นไปอย่างต้องการ
ยอมแพ้...เปิดกระเป๋า หางานอื่นมาทำ
มือหยิบเอกสารปึกบาง ๆ ฉบับหนึ่งออกมา โดยหน้าแรกเป็นภาพของอดีตรัฐมนตรีทรงพล!
ทีเกื้อค้นข้อมูล และสำเนาเอกสารเหล่านี้มาเพื่อใช้ประกอบทำคดี เขาน่าจะยังไม่ได้อ่านทั้งหมด หรืออย่างน้อยเอกสารเล่มนี้ก็ยังไม่ได้เปิดอ่าน แค่ดูหัวเรื่องหน้าแรกแล้วให้ทางห้องสมุดสำเนาทั้งชุดมาให้
เอื้อกานต์เชื่อว่า ถ้าน้องชายได้เปิดอ่าน และดูเนื้อหา ภาพประกอบภายในอย่างละเอียด เขาคงไม่ยอมวางทิ้งไว้บนโต๊ะให้หล่อนหยิบไปอ่านแน่ ๆ หรือไม่ ตอนที่เขารู้ว่าพี่สาวอ่านเอกสารทั้งหมดนั้น ก็คงมีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้น คงไม่ทำท่าทีเฉย ๆ อย่างที่เป็น
เพราะด้านในรายละเอียดของเอกสารฉบับนี้ มีเรื่องราวของครอบครัวท่านทรงพลประกอบอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีภาพของภรรยาและบุตรชายคนเดียวเป็นกรอบเล็ก ๆ อยู่
จนถึงทุกวันนี้ เรื่องเดียวที่ทีเกื้อเป็นห่วงจะกระทบใจเอื้อกานต์มากที่สุด คือเรื่องของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ได้หัวใจของหล่อนไป...ทั้งที่ตอนเขายังมีชีวิต และเสียชีวิตไปแล้ว
“พี่กลด” หรือ ทรงกลด คือผู้ชายคนนั้น
เอื้อกานต์พบทรงกลด หลังเขาเรียนจบ ทำงานเป็นผู้ช่วยทนายความในสำนักงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และกำลังเรียนเนติฯ ในภาคที่สอง ความที่เป็นรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยเดียวกันจึงคุ้นเคยกันง่าย
หญิงสาวยอมรับว่าสะดุดตากับรูปลักษณ์ของเขา ทรงกลดเป็นผู้ชายเข้าขั้นหล่อจัด รูปร่างสูงสมส่วนอย่างนายแบบ โครงหน้าหล่อคมเหมือนแขกขาว นัยน์ตาสวย จมูกโด่ง ผิวขาวจัด ขนาดเอื้อกานต์ไม่ค่อยสนใจเรื่องรูปร่างหน้าตาผู้ชาย ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตนเองเผลอมองเขานานกว่าปกติยามเมื่อแรกเห็น
ผู้ชายหน้าตาดีขนาดนี้ส่วนมากมักหลงตัวเอง เจ้าชู้ สำอาง ไม่ค่อยมีสมอง จับจด มีผู้หญิงมาติดพันมากมาย แต่ทรงกลดทำให้เอื้อกานต์ลบอคติเดิมที่เคยมีไปหมด
ทรงกลดเป็นผู้ชายมีมันสมอง เขาเรียนจบนิติศาสตร์ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สอบเนติฯ ภาคแรกด้วยคะแนนดีเยี่ยม เชื่อว่าเขาน่าจะจบเนติฯ ด้วยคะแนนลำดับต้น ๆ และอนาคตคงสามารถสอบเป็นผู้พิพากษาได้ตั้งแต่อายุยังน้อยคนหนึ่ง
เขาเป็นคนง่าย ๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ราคาถูก ขับรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ ห่างไกลจากคำว่าสำอางเป็นช่วงตัว
เอื้อกานต์มีโอกาสรู้จัก ใกล้ชิดเขาตอนไปออกค่ายอาสา...
ด้วยความที่เป็นนักศึกษาแพทย์ หญิงสาวจึงมีโอกาสตามรุ่นพี่ไปออกค่ายอาสาช่วยดูแล รักษาผู้ป่วยตามชุมชนห่างไกล ส่วนทรงกลดเคยเป็นอดีตประธานค่ายอาสาฯ แม้จะเรียนจบ ทำงานแล้ว แถมยังมีภาระเรียนเนติฯ เขาก็ยังมาช่วยรุ่นน้องทำงานตามโอกาสอำนวยแทบไม่ขาด
เส้นทางของสองหนุ่มสาวถูกชักพาให้เข้าใกล้กัน ด้วยกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ช่วงออกค่ายด้วยกัน เอื้อกานต์ได้รู้จักทรงกลดในอีกมุมมองหนึ่ง เห็นความเป็นผู้นำ มีน้ำใจของเขา ได้พบว่าถึงเขาจะหน้าตาดี แต่ไม่ใช่คนเจ้าชู้ หลงตัวเอง อาจมีผู้หญิงมาติดพัน ให้ความสนใจ เขาก็พยายามรักษาระยะห่างไว้อย่างเหมาะสม ไม่มากเกิน ไม่น้อยไป
“ถ้ายังไม่รู้สึกว่าใช่...พี่ก็ไม่อยากให้ความหวังใคร” เขาเคยบอกต่อเธอในคราวนั้น
เอื้อกานต์ตอบไม่ถูกว่าความสัมพันธ์หลังกลับจากออกค่ายแล้วมันพัฒนาไปอย่างไร แบบไหน รู้ตัวอีกทีหล่อนก็สนิทสนม คุ้นเคยกับเขามากกว่าผู้ชายทั่วไป คุยโทรศัพท์กันบ่อย มีเรื่องได้เจอหน้ากันประจำ จนทีเกื้อผิดสังเกต เอ่ยปากทัก
“เฮ้ย...พี่กลดนี่ เขาคิดยังไงกับเอื้อน่ะ”
“คิดยังไง เขาก็เป็นรุ่นพี่ธรรมดา” หล่อนตอบไม่เต็มปากนัก
“ธรรมดาแน่เหรอ...” ทีเกื้อรู้ทันความรู้สึกพี่สาว
“เขาไม่เคยมาจีบเอื้อนะ เกื้ออย่าไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ”
หญิงสาวรีบดักคอ เพราะที่ผ่านมา หากมีผู้ชายคนไหนให้ความสนใจเอื้อกานต์เกินกว่าปกติ ทีเกื้อจะเป็นด่านแรกเข้าไปสกรีน...ซึ่งเขาจะสกรีน ตรวจเช็คแบบไหน วิธีใดก็ตอบยาก สุดท้ายผู้ชายเหล่านั้นก็มักจะถอยห่าง ไม่ก็หยุดอยู่ในจุดเดิม ไม่กล้าล่วงล้ำเกินความเป็นเพื่อนเข้ามาอีก
ทีเกื้อไม่พูดอะไร...ผ่านไปสองสามสัปดาห์ เขาก็บอกพี่สาวง่าย ๆ
“ผ่าน!”
หลังจากนั้นพี่กลดก็เข้ามาพูดจา เปิดเผยความรู้สึก บอกความสัมพันธ์ชัดเจน...สองหนุ่มไม่เคยบอกว่ามีการพูดคุย เจรจาอย่างไร ทีเกื้อเข้าไป “สกรีน” แบบไหน ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น
พอคบกันจริงจัง เอื้อกานต์รู้จักเขามากขึ้น เห็นความเป็นคนมุ่งมั่น จิตใจดี ใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ เขาบอกว่ามีความฝันอยากเป็นผู้พิพากษาอย่างพ่อ
เอื้อกานต์จึงได้ฟังเรื่องครอบครัวจากปากของเขา ได้รู้ว่าพ่อของพี่กลดเป็นคนต่างจังหวัด เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพ ต้องใช้ความมานะ พยายามมากมายกว่าจะเรียนจบ มุ่งมั่นตั้งใจจนสอบได้เป็นผู้พิพากษา เป็นตัวอย่างให้ลูกชายคนเดียวอย่างเขาได้ดำเนินรอยตาม
รู้จักกันมาเป็นปี ๆ จนเอื้อกานต์เรียนจบแพทย์ กำลังเป็นแพทย์ฝึกหัด พี่กลดก็เรียนจบเนติฯ กำลังเก็บเคสให้ครบ เพื่อจะได้มีโอกาสสอบเป็นผู้พิพากษา เขาก็มาชวนเอื้อกานต์ ทีเกื้อไปพักที่บ้านริมทะเลกับพ่อแม่เขา เพื่อทำความรู้จักกัน
“อะไรนะพี่กลด ไปพักบ้านริมทะเลสองวันหนึ่งคืน กับพ่อแม่พี่...ไม่เอาหรอกเอื้อกลัว” สาวมั่นอย่างหล่อนก็มีเรื่องให้กลัว เพราะเข้าใจการที่ผู้ชายชวนไปพบพ่อแม่นั้นหมายความว่าอย่างไร
“กลัวอะไร พ่อแม่พี่ไม่ใช่ผีซะหน่อย ใจดีมาก ไม่ดุสักนิด” เขาทำสีหน้าจริงจังเพื่อให้หล่อนเชื่อใจ
“อย่าเลย...เอาไว้โอกาสหน้าเถอะ” หญิงสาวอยากยืดระยะเวลาอีกสักนิด เพราะทรงกลดเองก็ยังไม่รู้จักครอบครัวหล่อนดีพอเช่นกัน
“โอกาสไหนจ๊ะ...เราคบกันมาเป็นปี ๆ แล้ว ถ้าพี่ไม่พาเอื้อไปให้พ่อแม่รู้จัก ก็ถือว่าพี่ไม่ให้เกียรติเอื้อเลยนะ” เขาชัดเจนทั้งความรู้สึกและการกระทำ
“แต่เอื้อยังไม่พร้อม...” ขณะพูดก็ตอบตนเองไม่ถูกว่าไม่พร้อมเรื่องอะไร
ทรงกลดยิ้มให้ทั้งปากและนัยน์ตา ความอ่อนโยนของเขาสัมผัสถึงใจ อยู่ใกล้กันขนาดนี้ยิ่งทำให้หัวใจหล่อนเต้นแรง ทำตัวไม่ถูก หาเหตุผลอื่นปฏิเสธไม่ได้
“เอื้อไม่ใช่ไม่พร้อมหรอก...แต่เอื้อรักพี่มากเกินไป” เขาพูดอย่างเข้าใจ “เอื้อกลัวว่าจะทำตัวไม่ถูกไม่ดีพอตอนอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของพี่...กลัวว่าถ้าเอื้อทำอะไรพลาดไป พ่อแม่อาจจะไม่ชอบเอื้อ”
ชายหนุ่มพูดราวกับเข้าไปนั่งอยู่กลางใจเธอ
“แต่รับรอง...ไม่ต้องกลัว” ทรงกลดยิ้มสวย รอยยิ้มของเขาทำให้หัวใจหล่อนมีดอกไม้บาน มีเรี่ยวแรง กำลังใจบอกไม่ถูก “พี่รับรองว่าพ่อแม่ต้องรักเอื้ออย่างที่พี่รัก...พี่เล่าเรื่องของเอื้อให้ท่านฟัง จนท่านรู้จักเอื้อมากกว่าที่เอื้อคิดซะอีก ไม่แน่นะ ถ้าท่านได้เจอเอื้อ ท่านอาจจะลืมพี่ไปเลยก็ได้ เพราะท่านอยากได้ลูกสาวมานานแล้ว...รู้ไหม...เอื้อน่ะ เป็นผู้หญิงที่ใครเห็นก็หลงรักได้ง่าย ๆ และเป็นลูกสาวที่พ่อแม่ทุกคนต้องรักและภูมิใจแน่ ๆ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเขา หรือความจริงใจที่หล่อนสัมผัสเต็มหัวใจ น้ำตาถึงได้ไหลรินมาช้า ๆ ถึงอย่างนั้น เอื้อกานต์ก็ยังหาข้ออ้างข้อสุดท้าย
“แล้ว...ถ้าเอาเจ้าเกื้อไปด้วย คะแนนของเอื้อจะไม่ตกไปหรือคะ...ไอ้หมอนี่มันทำเสียเรื่องมาหลายครั้งแล้ว”
พี่กลดหัวเราะอารมณ์ดี ซับน้ำตาให้เบา ๆ รอยยิ้มที่สว่างเหมือนดวงตะวันจุดใส่ดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง
“โธ่เอ๊ย...เอื้อไม่รู้อะไร...ถ้าไม่ใช่เพราะเกื้อ พี่คงไม่มีโอกาสได้รักเอื้อมากขนาดนี้หรอก”
สุดท้ายเรื่องที่คิดว่ายากก็กลับเป็นง่าย แต่การเดินทางพักผ่อนครั้งนี้ก็ยังมีเรื่องประหลาดใจรออยู่
ทรงกลดมักเล่าให้ฟังว่าพ่อเคยเป็นเด็กวัด ชีวิตเริ่มต้นมาจากศูนย์ บากบั่นเล่าเรียน ขยัน อดออม ฝ่าฟันจนได้มาเป็นผู้พิพากษา ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านธรรมดาไม่ได้ทำงานอะไร
เอื้อกานต์จึงมักวาดภาพครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง ฐานะค่อนข้างดี กินอยู่ง่าย สมถะ อบอุ่น แต่พอมาเจอตัวจริง ถึงกับพูดไม่ออก ความจริงห่างไกลจากภาพที่วาดไว้มากพอสมควร
พ่อของเขาคือ นายทรงพล เคยเป็นผู้พิพากษาจริง แต่ปัจจุบันได้รับเชิญจากคณะรัฐบาลให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ส่วนมารดาเป็นแม่บ้าน ไม่ได้ทำงานอะไร แต่มีเชื้อสายตระกูลเก่าแก่ แถมยังเป็นทายาทคนเดียวที่มีมรดกทรัพย์สินมหาศาล
พ่อของเขาเป็นผู้พิพากษาที่ฝ่าฟันลำบาก สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยสมองและสองมือก็จริง แต่แม่ของเขาคือทายาทมรดกพันล้าน คนทั้งสองได้พบ และรักกัน มีทายาทเพียงคนเดียวคือทรงกลด!
“พี่ไม่เคยโกหกเอื้อเลยนะ” เขารีบแก้ตัวเมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“ค่ะ...เอื้อก็ไม่ได้ว่าอะไร” หล่อนตอบเสียงแข็ง
“ไม่ว่า แต่ทำไมไม่ยิ้มเลยล่ะ...เกื้อมันยังสะกิดเตือนพี่ตะกี้เลยว่า...ระวังพายุมา”
“ค่ะ...เจ้าเกื้อมันเข้ากับพ่อแม่พี่ได้ดีนะคะ บอกมันแล้วกันว่าจะมาเป็นลูกบ้านนี้ก็ได้ เอื้อไม่ว่า...”
ทรงกลดหัวเราะเบา ๆ
“พี่ดีใจที่เอื้อโกรธขนาดนี้...เพราะว่าโกรธมาก แสดงว่ารักพี่มาก”
“ไม่โกรธค่ะ...เอื้อบอกแล้วไงว่าไม่โกรธ...”
หญิงสาวยืนยันคำเดิม ชายหนุ่มยังยิ้มใส แววตาเหมือนเด็กหนุ่มกำลังง้อแฟนสาว น้ำเสียงที่พูดอบอุ่น อ่อนโยน จนหัวใจคนฟังไม่อาจฝืนมีโทสะต่อไปได้
“ถ้าพี่อยากจะปิดเรื่องนี้ ก็คงไม่คะยั้นคะยอให้เอื้อมาที่นี่หรอก ที่พี่อยากให้เอื้อมารู้จักพ่อแม่ของพี่ ก็เพราะพี่ต้องการแสดงให้เห็นว่าตัวพี่ไม่มีอะไรปิดบังเอื้ออีกแล้ว”
คำพูดท้ายของเขาทำให้เอื้อกานต์ย้อนกลับมาดูตัวเอง
เขาเปิดเผยทุกอย่างให้หล่อนรู้...แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของคนรักตัวเองเป็นใคร มีฐานะระดับไหน
พี่กลดแสดงให้เห็นว่า เขารักเธอดัวยความเป็นตัวเธอแท้ ๆ ไม่มีเหตุผลอื่นเลย
เส้นทางความรักกำลังเดินทางไปอย่างราบรื่น สวยงาม โลกกลับแสดงความจริงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ แน่นอน
ทรงกลดกำลังจะมีสิทธิสอบผู้พิพากษาครั้งแรก ที่บ้านเขาก็เกิดเรื่อง ท่านรัฐมนตรีทรงพล โดนกล่าวหาในคดียาเสพติดในเรือนจำ และยังโดนข้อกังขา เกี่ยวกับเงินสดจำนวนร้อยกว่าล้าน ที่มีโจรไปขโมยมาแล้วถูกตำรวจจับได้
กระแสข่าวรุนแรง พายุลูกใหญ่โหมซัดใส่ครอบครัวของเขาโดยที่เอื้อกานต์ไม่สามารถช่วยอะไรได้
จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง เขามาบอกลา...สีหน้าอิดโรย ดวงตาหมอง อมทุกข์ผิดเคย
“พี่ต้องตามไปดูแลคุณพ่อคุณแม่...ท่านทั้งสองไม่มีใคร...เอื้อเข้าใจพี่นะ”
“ค่ะ...แต่ทำไมเราไม่สู้คะ”
“สู้...พวกพี่สู้ทุกทางแล้ว แต่ฝ่ายนั้นเล่นเราหนักเหลือเกิน เขาวางแผนจะเอาพ่อเข้าคุกให้ได้ ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ เขาออกหมายจับ หรือมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศมาจะยิ่งทำอะไรไม่ได้”
“เข้าใจค่ะ” เอื้อกานต์พูดหนักแน่น ไม่พิรี้พิไร “เอื้อจะรอพี่กลด...ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเอื้อจะรอพี่กลดคนเดียว”
ทรงกลดดึงหล่อนมากอดแนบแน่น สองร่างสั่นสะท้าน ความจริงใจถ่ายทอดจากใจสู่ใจ...ทั้งคู่รู้ดี จากกันวันนี้ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พบกันอีก
น้ำตาไหลพรากกลบนัยน์ตาเอื้อกานต์ขณะที่ทรงกลดกล่าวคำพูดสุดท้าย
“พี่สัญญา...เมื่อไหร่ที่พ่อแม่ปลอดภัย พี่จะกลับมาหา...พี่จะกลับมาหาเอื้อแน่นอน”
มันเป็นการล่ำลา จากกันด้วยน้ำตา คำสัญญามาจากจิตใจซื่อตรง มั่นคง ทว่า...โลกไม่เคยตามใจผู้คน คำสัญญาใช่ว่าจะเป็นจริงทุกครั้งเสมอไป
เครื่องบินลำที่รัฐมนตรีทรงพล และครอบครัวโดยสารไปด้วยกัน เกิดระเบิด ไม่มีผู้รอดชีวิต สิ่งที่เหลือกลับมาคือโถเถ้ากระดูกของสามคน พ่อแม่ลูก
ทรงกลดเสียชีวิต หัวใจเอื้อกานต์ตายตามไปกับเขา...ช่วงเวลานั้น หากไม่มีทีเกื้อคอยอยู่ใกล้ ดึงกลับมาสู่ความจริง เธอคงตอบตนเองไม่ถูกว่าชีวิตวันนี้จะเป็นเช่นไร
ห้าปีผ่านไป บัดนี้มีคดีที่เกี่ยวพันถึงครอบครัวของเขา ทำให้อดไม่ได้ที่จะหยิบแฟ้มสำเนาเหล่านั้นมานั่งอ่าน...ยิ่งอ่านเรื่องราวของเขาและครอบครัว ก็รู้สึกเหมือนเดินย้อนสู่วันเก่า ๆ เอ่ยทักทายกับผู้ชายคนเก่าที่ยังหลบเร้นอยู่ในหัวใจ
ถามว่าหัวใจยังเจ็บปวดหรือไม่?
หัวใจวันนี้ไม่ทุกข์ทรมานเช่นวันวาน มีแค่รอยกระเพื่อมเล็ก ๆ ให้รู้สึก... เมื่อวานเอื้อกานต์จึงบอกกับทีเกื้อด้วยความรู้สึกปกติว่า ได้อ่านข้อมูลของท่านทรงพลหมดแล้ว...
ความสูญเสียในวันนั้น ทำให้หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้...เวลาที่รู้ว่าบิดาตนคือเหยื่อรายต่อไป ใจมันเป็นห่วง กังวลบอกไม่ถูก ไม่อยากให้ตนเองพบกับความสูญเสียเช่นนั้นอีก
ครั้งก่อน เอื้อกานต์ไม่สามารถช่วยทรงกลดและครอบครัวเขาได้ มาคราวนี้ ทีเกื้อก็บอกให้อยู่ห่าง ๆ ทั้งที่หล่อนก็เป็นลูกของพ่อคนหนึ่ง
ถึงจะเชื่อฝีมือน้องชาย ใจก็อดเป็นห่วง กังวลไม่ได้ มันกระวนกระวายเหมือนมีไฟสุมรุมไม่ขาดสาย
ชั่วขณะหนึ่งมีเสียงในใจผุดขึ้นมา
“พ่อยังไม่เป็นไรสักหน่อย ทุกข์ใจล่วงหน้าไปทำไม”
สติเกิด ความฟุ้งซ่าน กังวลใจทั้งหลายดับพรึบ ใจโล่งว่างขึ้นมาชั่วขณะ...ความที่จิตคุ้นชินกับการฝึกสมาธิ สายตาจึงทอดมองกระดาษขาวตรงหน้า วางใจเบา ๆ ร่างกาย จิตใจผ่อนคลายมีความสุข แล้วจิตก็ค่อย ๆ เข้าสู่ความสงบโดยไม่จำเป็นต้องจงใจ บีบคั้น
พอจิตตั้งมั่น เห็นภาพรวมของใจที่ผ่านมาครึ่งค่อนวัน คาดไม่ถึงมันจะเก็บทุกข์ได้นานขนาดนั้น เทียบกับความสงบที่เกิดขึ้นโดยไม่จงใจ บังคับ ทำให้เกิดความเข้าใจง่าย ๆ
ชีวิต จิตใจเป็นสิ่งไม่เที่ยง เปลี่ยนแปรไม่เรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุดพักผ่อน ความสุข ความทุกข์ ก็แค่อะไรบางอย่างที่ผ่านเข้ามา แล้วก็จะเวียนจากไป
จิตใจ...ไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับ ควบคุมให้เป็นไปได้อย่างต้องการ
มันเป็นไปตามเหตุ และปัจจัยของมัน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
บ่ายโมง
ท่านรัฐมนตรีจะต้องเดินทางไปทำเนียบแล้ว แต่รถประจำตำแหน่งยังจอดสนิท ไม่สามารถเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ได้
“ท่านไปไหน?” คุณหญิงอัปสรถามสัตตบงกช เลขาที่คอยติดตาม
“ไม่ทราบค่ะ หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ท่านก็บอกหนูดีว่าขอพักงีบสักครึ่งชั่วโมงที่ห้องทำงาน แล้วให้ไปปลุกท่านตอนเที่ยงสี่สิบห้า แต่พอเข้าไปก็ไม่พบท่านเลย” หญิงสาวตอบละเอียด
“ระหว่างนั้นเห็นท่านออกจากห้องทำงานมั้ย”
“ไม่เห็นค่ะ” ตอบทั้งที่ใจรู้สึกหวั่น
“นอกจากเธอแล้วมีตำรวจติดตามคนอื่นนั่งอยู่หน้าห้องด้วยหรือเปล่า”
“มีผู้กองนภค่ะ” สัตตบงกชตอบ
“ครับ” นภช่วยเสริม “แต่ผมแวะไปเข้าห้องน้ำครู่นึง ไม่ได้นั่งหน้าห้องตลอดเหมือนคุณหนูดี”
“อะไรกัน” คุณหญิงเริ่มโมโห “นั่งอยู่หน้าห้องตลอดแบบนี้ ท่านไปตอนไหนไม่รู้ได้ยังไง”
“ผมกับตำรวจติดตามจะตามหาท่านเดี๋ยวนี้ครับ” นภพูดจบก็พยักหน้ากับตำรวจติดตามคนอื่น เป็นเชิงบอกให้รีบออกมา
เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนทีเกื้อโทรมาบอกว่า รัฐมนตรีธีรนัฐ คือเป้าหมาย เป็นเหยื่อรายต่อไป และจากนั้นไม่นาน ท่านรองฯ ก็โทรมาถามรายละเอียดของท่านรัฐมนตรีในเวลาปัจจุบัน
หลังจากนภรายงานท่านรองฯ ทางโทรศัพท์เสร็จ ก็ได้รับคำสั่งให้ปิดข่าวเรื่องนี้ไว้ก่อน กันความวุ่นวายเกินจำเป็น ท่านรองฯ จะเข้าพบเพื่อรายงานเรื่องนี้กับท่านรัฐมนตรีที่ทำเนียบตอนบ่ายด้วยตัวเอง
พอเกิดเหตุท่านธีรนัฐหายตัวจากห้องทำงาน นภก็ไม่แน่ใจว่าควรบอกให้คนอื่นรู้ดีหรือไม่?
ยังไม่ทันที่เขาและเหล่าตำรวจติดตามจะออกจากตัวตึก ทุกคนก็เห็นท่านรัฐมนตรีเดินขึ้นบันไดเข้ามาเอง
“ไปไหนมาคะคุณ ฉันกำลังจะให้ลูกน้องออกตามหาอยู่” คุณหญิงอัปสรออกมาพอดี จึงซักไซ้
“ผมออกไปเดินเล่น ผ่อนคลายที่สวนหลังบ้าน” ผู้เป็นสามีตอบเสียงอ่อน
“อ้าว...ไปตอนไหน เห็นหนูดีเขาบอกว่าไม่เห็นคุณออกจากห้องเลย”
“ผมออกมาตอนหนูดีกำลังก้มหน้าก้มตาตรวจค้นเอกสารการประชุมอยู่น่ะสิ ไม่มีอะไรหรอก เรื่องเล็กน้อย ทำเป็นตื่นเต้นไปได้” พูดพลางยิ้มน้อย ๆ ให้ทุกคน
“เอ้า...ไปกันได้หรือยัง เดี๋ยวผมเข้าประชุมไม่ทันนะ”
จากนั้นท่านก็หันกลับลงบันได เดินขึ้นรถประจำตำแหน่งด้วยท่าทางสบาย ๆ คณะผู้ติดตามเร่งขึ้นรถแทบไม่ทัน
คุณหญิงอัปสรมองตามท้ายรถคณะด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ตอบไม่ถูกว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร...คล้ายมีบางอย่างกระตุ้นเตือน...แต่เตือนเรื่องอะไร หล่อนไม่สามารถตอบได้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
คิมกลับมาถึงห้องเช่าในเวลาเย็น...
งานวันนี้ราบรื่น เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จิตใจหนักอึ้งมาหลายวันค่อยผ่อนคลาย เชื่อว่าอีกไม่นานพิธีกรรมจะสามารถเริ่มได้ ซึ่งครั้งนี้จะเร็วกว่าครั้งก่อนหลายวันทีเดียว
เมื่องานนี้สำเร็จ จะเหลือเป้าหมายสุดท้ายเท่านั้น
เวลาย่นลง หดสั้นเข้ามาเรื่อย ๆ
พอคิมก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ขึ้นมาถึงชั้นของห้องตนเอง เขาชะงักเท้า สัญญาณบางอย่างแล่นมากระทบใจ มันไม่ใช่สัญญาณอันตราย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดี
หยุดยืนที่หัวบันได กวาดสายตามองตรงไปข้างหน้า รอบตัว และมองขึ้นไปยังชั้นบนที่สูงกว่า ทั้งหมดนี้ไม่พบเงาผู้คน ไม่มีใครซุกซ่อนเร้นกาย ซุ่มดักทำร้าย
แม้จะเชื่อสายตา ประสาทสัมผัสทั้งปวงของตน คิมยังกังวลในสัญญาณนั้นอยู่ เขาก้าวเท้าตรงไปยังหน้าห้อง ร่างกายอยู่ในอาการเตรียมพร้อม หากมีเหตุผิดปกติ เกินคาด เขามั่นใจสามารถรับมือได้อย่างมีสติ ไม่มีปัญหา
ถึงหน้าประตู เขายืนนิ่ง รอบกายไม่มีร่องรอย เงาคนประสงค์ร้าย
สิ่งที่คิมมองเห็นมันร้ายกาจกว่ามีคนเป็น ๆ มาดักซุ่มเสียอีก
หน้าประตูนั้น มีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ติดไว้ ในนั้นมีข้อความเขียนว่า...
“มาแล้วไม่เจอ...ออกมาพบกันหน่อยได้มั้ย จะรอที่หน้าห้าง...จนกว่าห้างจะปิด...ทีเกื้อ”
คิมถอนใจเฮือกใหญ่ คาดไม่ถึงผู้กองหนุ่มคนนี้จะพบรังปัจจุบันของเขาเร็วขนาดนี้ หนำซ้ำยังกล้าเขียนจดหมายนัดพบท้าทาย แทนการดักซุ่มรออย่างเคย
อาจเป็นเพราะทีเกื้อรู้ ต่อให้ซุ่มรอเขาก็ต้องรู้ตัว เสียเวลาไล่ล่ากันเปล่า ๆ สู้เขียนจดหมายนัดพบ วัดใจกันไปเลยดีกว่า ว่าเขาจะกล้าหรือไม่
วิธีที่นายตำรวจคนนี้ใช้ มันเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง จะมีคนร้ายที่ไหนกล้าเดินเข้าไปหาตำรวจตรง ๆ ยกเว้นคนร้ายนั้นจะมั่นใจว่าตำรวจไม่มีหลักฐานเอาผิดตนเองได้
คิมเอื้อมมือดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมา มองดูมันอย่างชั่งใจ...
เขาควรไปตามคำเชิญชวนหรือไม่?
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ห้างสรรพสินค้าที่ทีเกื้อนั่งรอคิม อยู่ไม่ห่างจากซอยห้องเช่าสักเท่าไหร่ ถัดจากห้างไม่ไกลเป็นตึกสำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งมีโลโก้ธนาคารตัวใหญ่ติดที่ชั้นบนสุดของตึก สามารถมองเห็นจากห้องของคิมได้
ทีเกื้อใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะหาห้องเช่านั้นพบ แต่ใช้เวลาขบคิดแผนท้าทายไม่นานเลย
จากการไล่ล่า และสัมผัสที่สื่อถึงกันได้ ชายหนุ่มคิดว่าคนประเภทนี้ต้องไม่ใช่คนขี้ขลาด หนำซ้ำมีอัตตาสูง ยิ่งไล่เขายิ่งหนี สู้เชิญมาคุยกันตรง ๆ ง่ายกว่า
ใกล้เวลาห้างปิดเต็มที นายตำรวจหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ยาวหน้าห้างอย่างไม่เดือดร้อนใจ มองผู้คนเดินผ่านไปมาเป็นการผ่อนคลาย ดูความหลากหลายของคนที่ต่างจุดหมายกันด้วยความเพลิดเพลิน
จนสายตาปะทะเข้ากับชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมสูง ใบหน้าเรียบ ๆ ไม่สะดุดตา ทว่ายามนี้ทีเกื้อกลับเห็นเขาดูเด่นกว่าทุกคนรอบตัว ความโดดเด่นเกิดจากท่วงท่า กิริยามั่นใจ ดูสง่า มีอำนาจแผ่จากข้างใน
อำนาจของชายคนนี้คือพลังสีดำครอบเป็นม่านบาง ๆ ให้คนมีสัมผัสพิเศษอย่างทีเกื้อรู้สึกได้ พลังเช่นนี้ ทำให้เขามั่นใจ ไม่หวั่นเกรงใคร เพราะเชื่อว่าผู้อื่นต่างหาก ควรกลัวเกรงเขา
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สามารถติดตามข่าว "อาคม" ได้ที่เแฟนเพจสำนักพิมพ์คำต่อคำ
http://facebook.com/wordforwordbooks
< Prev | Next > |
---|