ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

ทุติยอัคคิสูตร ว่าด้วยไฟ


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา

[๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี
ก็สมัยนั้นแล อุคคตสรีรพราหมณ์ตระเตรียมมหายัญ โคผู้ ๕๐๐ ลูกโคผู้ ๕๐๐
ลูกโคเมีย ๕๐๐ แพะ ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ ถูกนำเข้าไปผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ
ลำดับนั้น อุคคตสรีรพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาดังนี้ว่า
การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ แม้เราก็ได้ฟังมาว่า
การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ แม้ครั้งที่ ๓ อุคคตสรีรพราหมณ์ก็ได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาดังนี้ว่า
การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.

. พราหมณ์ แม้เราก็ได้ฟังมาว่า
การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.

อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อความทั้งหมดของข้าพระองค์
สมกันกับข้อความของท่านพระโคดม.

เมื่ออุคคตสรีรพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะอุคคตสรีรพราหมณ์ว่า
พราหมณ์ ท่านไม่ควรถามพระตถาคตอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาดังนี้ว่า
การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
แต่ท่านควรถามพระตถาคตอย่างนี้ว่า
ข้าพระองค์ผู้เจริญ ก็ข้าพระองค์ประสงค์จะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดตักเตือนสั่งสอนข้อที่จะพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขตลอดกาลนาน แก่ข้าพระองค์เถิด
ลำดับนั้น อุคคตสรีรพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ประสงค์จะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ
ขอท่านพระโคดมโปรดตักเตือนสั่งสอนข้อที่จะพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขตลอดกาลนาน แก่ข้าพระองค์เถิด.

. พราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ
ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว ย่อมเงื้อศัสตรา ๓ ชนิด อันเป็นอกุศล
มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ศัสตรา ๓ ชนิดเป็นไฉน
คือ ศัสตราทางกาย ๑ ศัสตราทางวาจา ๑ ศัสตราทางใจ ๑
พราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว
ย่อมเกิดความคิดอย่างนี้ว่า ต้องฆ่าโคผู้เท่านี้ตัว ลูกโคผู้เท่านี้ตัว ลูกโคเมียเท่านี้ตัว
แพะเท่านี้ตัว แกะเท่านี้ตัว เพื่อบูชายัญ เขาคิดว่าจะทำบุญ กลับทำบาป
คิดว่าจะทำกุศล กลับทำอกุศล คิดว่าจะแสวงหาทางสุคติ กลับแสวงหาทางทุคติ
พราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว
ย่อมเงื้อศัสตราทางใจข้อที่ ๑ นี้ อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก.

อีกประการหนึ่ง บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว
ย่อมกล่าววาจา (สั่ง) อย่างนี้ว่า จงฆ่าโคผู้เท่านี้ตัว ลูกโคผู้เท่านี้ตัว ลูกโคเมียเท่านี้ตัว
แพะเท่านี้ตัว แกะเท่านี้ตัว เพื่อบูชายัญ เขาสั่งว่าจะทำบุญ กลับทำบาป
สั่งว่าจะทำกุศล กลับทำอกุศล สั่งว่าจะแสวงหาทางสุคติ กลับแสวงหาทางทุคติ
พราหมณ์ เมื่อบุคคลจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว
ย่อมเงื้อศัสตราทางวาจาข้อที่ ๒ นี้ อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก.

อีกประการหนึ่ง บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว
ย่อมลงมือด้วยตนเองก่อน คือต้องฆ่าโคผู้ ลูกโคผู้ ลูกโคเมีย แพะ แกะ เพื่อบูชายัญ
เขาลงมือว่าจะทำบุญ กลับทำบาป ลงมือว่าจะทำกุศล กลับทำอกุศล
ลงมือว่าจะแสวงหาทางสุคติ กลับแสวงหาทางทุคติ
พราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว
ย่อมเงื้อศัสตราทางกายข้อที่ ๓ นี้ อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก.

พราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว
ย่อมเงื้อศัสตรา ๓ อย่างนี้ อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก.

พราหมณ์ ท่านพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟ ๓ กองนี้ ๓ กองเป็นไฉน
ไฟคือราคะ ๑ ไฟคือโทสะ ๑ ไฟคือโมหะ ๑
พราหมณ์ ก็เพราะเหตุไรจึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือราคะนี้
เพราะบุคคลผู้กำหนัดแล้ว ถูกราคะครอบงำย่ำยีจิต ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือราคะนี้
ก็เพราะเหตุไรจึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโทสะนี้
เพราะบุคคลผู้โกรธแล้ว ถูกโทสะครอบงำย่ำยีจิต ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโทสะนี้
ก็เพราะเหตุไร จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโมหะนี้
เพราะบุคคลผู้หลง ถูกโมหะครอบงำย่ำยีจิต ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโมหะนี้
พราหมณ์ ท่านพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟ ๓ กองนี้แล.

พราหมณ์ ไฟ ๓ กองนี้ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ
๓ กองเป็นไฉน คือ ไฟคืออาหุไนยบุคคล ๑ ไฟคือคหบดี ๑ ไฟคือทักขิไณยบุคคล ๑
พราหมณ์ ก็ไฟคืออาหุไนยบุคคลเป็นไฉน
พราหมณ์ คนในโลกนี้ คือมารดาหรือบิดา นี้เรียกว่าไฟคืออาหุไนยบุคคล
ข้อนั้นเพราะอะไร เพราะบุคคลเกิดมาแต่มารดาบิดานี้
ฉะนั้น ไฟคืออาหุไนยบุคคลนี้ จึงควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ
ก็ไฟคือคหบดีเป็นไฉน คนในโลกนี้คือ บุตร ภรรยา ทาส หรือคนใช้ นี้เรียกว่าไฟคือคหบดี
ฉะนั้น ไฟคือคหบดีนี้ จึงควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ
ก็ไฟคือทักขิไณยบุคคลเป็นไฉน สมณพราหมณ์ในโลกนี้
งดเว้นจากความมัวเมาและความประมาท ตั้งอยู่ในขันติและโสรัจจะ ฝึกฝนทำจิตใจให้สงบ
ทำจิตดวงเดียวนั้นให้เย็น นี้เรียกว่าไฟคือทักขิไณยบุคคล
ฉะนั้น ไฟคือทักขิไณยบุคคลนี้ จึงควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ
พราหมณ์ ไฟ ๓ กองนี้แล ควรสักการะ เคารพนับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ
ส่วนไฟที่เกิดแต่ไม้ พึงก่อให้โพลงขึ้น พึงเพ่งดู พึงดับ พึงเก็บไว้ ตามกาลที่สมควร.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อุคคตสรีรพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ
ขอท่านพระโคดมผู้เจริญ โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า
เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้จะปล่อยโคผู้ ๕๐๐ ลูกโคผู้ ๕๐๐ ลูกโคเมีย ๕๐๐
แพะ ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ ให้ชีวิตมัน พวกมันจะได้พากันไปกินหญ้าอันเขียวสด
ดื่มน้ำเย็นสะอาด และรับลมอันเย็นสดชื่น.

ทุติยอัคคิสูตรที่ ๔ จบ


(ทุติยอัคคิสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP