ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน : )

Started by พิมพ์พลอย, July 16, 2009, 04:26:34 pm

previous topic - next topic
Go Down

พิมพ์พลอย

[IMG]http://i626.photobucket.com/albums/tt349/aookie/4F0F3EA4-6522-4EBE-971C-F2D9C18626E5-10812-0000081D5FC2E4FC_zps44362e56.jpg[/img]

เนื่องด้วยพักหลังมานี้ เจอคำถามมากมาย
โดยเฉพาะจากเพื่อนเก่าหลายๆ คน ที่ไม่เจอกันนานแล้ว
อาจแปลกใจอยากถามว่า เดี๋ยวนี้ทำไมธรรมะธรรมโมจังเลย?
เจอเรื่องราวหนักหนาอะไรหรือเปล่า จนต้องหันเข้าทางธรรม?
หรือ.. ถามว่าต้องตื่นตีสี่มาเดินจงกรม ไหว้พระสวดมนต์หรือเปล่า?

ก็เลยเป็นที่มาที่ไปของบทความนี้
อยากเขียนอะไรบอกเพื่อนๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ซักหน่อย

*ข้อควรระวัง: มันยาวนะ อาจทำให้ขี้เกียจได้ !!
แค่นี้แหละที่จะเตือน.. ^^!

ปล.ใครที่ทนอ่านได้จนจบมาติดต่อรับรางวัลหลังไมค์ เป็นรอยยิ้มกว้างๆหนึ่งยิ้มนะ อิอิ

^_______________^,,












เมื่อก่อนเป็นคนนึงที่เข้าใจคำว่า "ปฏิบัติธรรม" คลาดเคลื่อนไปมาก
คิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไกลตัว เป็นเรื่องของคนที่เข้าวัดเข้าวา
ต้องนุ่งขาวห่มขาว นั่งหลับตาทำสมาธิ เดินจงกรมกลับไปกลับมา

จริงๆ แล้ว นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง
ภาษาพระท่านเรียกว่า "การทำในรูปแบบ"
ซึ่งมีความสำคัญมาก เหมือนเรามาโรงเรียนเข้าชั้นเรียน
มีเวลาให้กับบทเรียนตลอดชั่วโมงเรียนนั้น
ความรู้ที่ได้ (( ถ้าตั้งใจเรียนและทำถูกวิธีนะ ))
ก็ย่อมจะเข้มข้นและเกิดความแตกฉาน

แต่ในโลกความเป็นจริง ยิ่งสำหรับการใช้ชีวิตชาวเมืองในยุคสมัยนี้
เราจะไปหาเวลามากๆ แบบนั้นได้จากที่ไหนกัน?
คิดแล้วหลายคนก็เลยไม่สนใจมันซะเลยดีกว่า... (( อ้าวว?? ))

ก็วันๆ หนึ่ง ลำพังแค่พาตัวให้ตื่นแต่เช้า ฝ่ารถติดไปถึงที่ทำงาน
ต้องติดต่อพบปะผู้คนมากมาย มีเรื่องให้คิดวุ่นวายตลอดทั้งวัน
กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ เหนื่อยจนแทบจะสลบอยู่แล้ว
ขืนให้ไปนั่งหลับตาทำสมาธินานๆ เป็นชั่วโมงๆ อย่างนั้น
มีหวังได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ก่อนพระพุทธเจ้าแน่ๆ (-"-!!)

ดูๆ แล้ว การทำในรูปแบบให้ต่อเนื่องวันละหลายๆ ชั่วโมงนั้น
จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก.... (( ถึงมากที่สุดดด ))



แต่อยู่มาวันหนึ่ง ความเข้าใจที่ถูกต้องก็โคจรมาเจอกัน ^^,,
ความเข้าใจใหม่นี้ ได้ปรับทัศนคติที่เคยมีต่อการปฏิบัติธรรมโดยสิ้นเชิง
ทำให้ได้รู้ว่า ยังพอจะมีอีกวิธีนึง ที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนั้น
การใช้ชีวิตปกติในแต่ละวัน ธรรมดาๆ ของเรานี่แหละ
ก็สามารถได้ชื่อว่า "ปฏิบัติธรรม" และเกิดการเรียนรู้ได้เหมือนกัน!

4 ปีมาแล้ว ที่ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่แสนนนนน..จะธรรมดาที่สุด
มันธรรมดาซะจนแปลกใจว่า ทำไมมันถึงง่ายดายและใกล้ตัวขนาดนี้นะ?
รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากในหลายๆ เรื่อง เพียงแค่รู้วิธีเปลี่ยนมุมมอง

ความเครียด ความกังวล หล่นหายไปไหนไม่รู้ตั้งหลายกระบุง
จากที่เคยทุกข์นานๆ มันก็ค่อยๆ สั้นลง
จากที่เคยทุกข์เยอะๆ มันก็ค่อยๆ น้อยลง
จากที่เคยทุกข์บ่อยๆ มันก็เว้นระยะ ห่างออกไป

กับเรื่องบางเรื่อง.. ที่เคยจริงจังจะเป็นจะตายให้ได้
บางทีก็รู้สึกคล้ายๆ ว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่นไปเลยซะอย่างนั้น..












ถึงตรงนี้ขอปรับความเข้าใจคำว่า "ธรรมะ" ให้ถูกต้องตรงกันซะหน่อยดีกว่า
ที่จริงแล้ว ธรรมะ ก็คือสิ่งที่ทุกๆ คนบนโลกนี้ต้องประสบพบเจออยู่ทุกวี่วัน
คล้ายกับกฏฟิสิกส์ธรรมดาง่ายๆ อย่าง "กฏแรงโน้มถ่วง" ยังไงยังงั้นเลย
ที่ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ภาษาไหน นับถือศาสนาอะไร
จะเป็นหญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ ก็ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น
เรียกได้ว่า "apply all" โดยไม่เลือกหน้ากันเลยทีเดียว

แม้เราจะอยากเจอ หรือไม่อยากเจอก็ตาม
ธรรมชาติ ก็ดำเนินของเค้าไปอย่างนั้น เป็นจริงอยู่อย่างนั้น
ทุกวัน ทุกเวลา ทุกขณะ ทุกปัจจุบัน



จะว่าไปแล้ว "การปฏิบัติธรรม"
ก็คล้ายๆ การเข้ามาเรียนรู้ "ศาสตร์" อย่างหนึ่ง นั่นเอง
เป็นศาสตร์ที่ถูกค้นพบเมื่อสองพันกว่าปีก่อนโน้นนนนน
โดยเจ้าชายพระองค์หนึ่ง นามว่า "สิทธัตถะ"

ในสมัยนั้น ยังไม่เคยมีใครค้นพบศาสตร์นี้มาก่อน ท่านจึงเป็นคนแรกที่ไปรู้เข้า
แล้วก็ตัดสินใจเอาเคล็ดลับเหล่านั้น มาบอกเล่าเก้าสิบให้บรรดาชนต่างๆ เข้าใจ
และได้ลองศึกษาปฏิบัติตาม จนเห็นผลเป็นลำดับๆ สืบทอดกันมากระทั่งถึงทุกวันนี้

ลักษณะก็ทำนองเดียวกันกับศาสตร์ต่างๆ มากมายที่มีอยู่ในโลกนี้นั่นแหละ

เช่น..
ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของกฏฟิสิกส์ เคมี และชีวภาพ เราก็เรียกว่า.. วิทยาศาสตร์
ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องตัวเลข การคำนวณ และสถิติ เราก็เรียกว่า.. คณิตศาสตร์
ศาสตร์ว่าด้วยการดูแลรักษาแก้ไขสิ่งผิดปกติของร่างกาย เราก็เรียกว่า.. แพทยศาสตร์
ศาสตร์ว่าด้วยการถ่ายทอดความคิด อารมณ์ ในรูปแบบต่างๆ เราก็เรียกว่า.. ศิลปศาสตร์ เป็นต้น

แล้วถ้าใครสนใจ อยากจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านไหน
ก็สามารถเข้าไปศึกษาเรียนรู้ "ศาสตร์" นั้นๆ เพื่อเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

"พุทธศาสตร์" ของเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าเรา ก็เหมือนกัน..

ท่านไม่ได้จำกัดวงว่าจะต้องเป็นชาย เป็นหญิง เป็นฝรั่ง จีน แขก หรือไทย
ไม่ได้จำกัดวงว่าจะต้องนับถือศาสนาพุทธเท่านั้นหรอกนะ
ชาวคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู หรือใครๆ ก็มาศึกษาเรียนรู้ได้
และสามารถรับประโยชน์จากศาสตร์นี้กันโดยถ้วนหน้าด้วย

ซึ่ง.. ประโยชน์สูงสุด หรือผลของการเรียนรู้ศาสตร์นี้จนทะลุปรุโปร่ง
ตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอกสรรพคุณเอาไว้ก็คือ

"สามารถจะพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง"!!

อ๊ะ~ เดี๋ยวก่อน..
อันนี้ท่านไม่ได้บอกให้เราเชื่อตามทันทีนะ ท่านบอกเสมอๆ ว่า
ท่านเป็นแค่ผู้บอกทาง บอกวิธีและชักชวนให้ลองมาเรียนรู้กันดูเท่านั้น
ส่วนใครจะเรียน ไม่เรียน จะทำ ไม่ทำ ท่านก็ไม่เคยก้าวก่ายหรือบังคับ
และผลที่ได้จะเป็นยังไง ก็ให้พวกเราผู้เรียนเป็นคนประเมินเอง เป็นลำดับๆ ไป
ถ้าเห็นผลจริงตามท่านว่า แล้วค่อยตัดสินใจเชื่อตามท่าน อะไรทำนองนั้น..

แต่มีข้อแม้อยู่นิดหน่อย ว่าต้องตั้งใจเรียนให้รู้เรื่อง จับหลักให้ถูกแล้วลองทำดู
ถ้าทำถูก ทำตรง ทำดี ทำพอเหมาะพอควรแล้ว รับรองเห็นผลทุกรายไป!












..สรุปง่ายๆ ได้ว่า..

"พุทธศาสตร์" ก็คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องวิธีการพ้นทุกข์ นั่นเอง
(( สังเกตดีๆ ว่าท่านใช้คำว่า "พ้นทุกข์" ไม่ใช่ "ดับทุกข์" นะ ))
โดยวิธีการที่ว่าคือการเข้ามาสังเกตเรียนรู้กายใจของตัวเอง
จนเกิดความเข้าใจในความจริงที่เป็นสากล*

นั่นคือ "ไม่มีสิ่งใดที่คงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดเวลา,
ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ,
และ..ไม่อยู่ใต้อำนาจการควบคุมของใครได้อย่างแท้จริง"

เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆ จนวันนึงสามารถยอมรับความจริงเหล่านั้นด้วยใจเป็นกลางเมื่อไหร่
ถึงตรงนี้ ก็จะไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ใจได้อีก นั่นคือพ้นไปจากความทุกข์ทางใจ..

ก็จบหลักสูตรโรงเรียนพระพุทธแล้ว!



อันที่จริง *ความจริงที่เป็นสากลที่ว่า ก็คือลักษณะของ ธรรมชาตินั่นเอง
ภาษาพระท่านเรียกว่า "ไตรลักษณ์" หรือ "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" คุ้นๆ กันใช่มั้ย?

เช่น ฝนมันจะตก แดดมันจะออก อากาศมันจะร้อน หรือว่าจะหนาว
พระอาทิตย์มันจะขึ้น จะตก เมฆมันจะมาบังพระจันทร์ หรือท้องฟ้าจะใส
มันก็เปลี่ยนหมุนเวียนไปตามเหตุ เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น
เราไม่ได้อยากจะไปบังคับพระอาทิตย์ให้ต้องขึ้นทางทิศตะวันตก
หรือว่าให้มันไปตกทางทิศตะวันออก ใช่ไหม?

ทำไมเราไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไรกับธรรมชาติเท่าไหร่ล่ะ?
เราเฉยๆ กับมันเพราะว่าเรา "ยอมรับได้" ว่ามันก็ต้องเป็นของมันอย่างนั้นเอง
ถ้าเราไปอยากให้มันเป็นอย่างใจเราสิ มีหวังต้องทุกข์ไปจนตาย

มันก็คล้ายกับ "การปฏิบัติธรรม" นั่นแหละ..

ถ้าเรายอมรับและเข้าใจในความเป็นธรรมดาของสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ไม่ว่าจะเป็นความสุข หรือ เป็นความทุกข์ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ว่าทุกอย่างมันชั่วคราวทั้งนั้น เมื่อมีเหตุมันก็มา เมื่อหมดเหตุมันก็ไป
เราก็จะไม่ทุกข์ใจไปกับความเป็นไปของมันมากเหมือนแต่ก่อน

หลักการมันก็มีอยู่เท่านี้เอง :)



อาการยอมรับสภาพต่างๆ ด้วยใจเป็นกลางแบบนี้
ภาษาพระท่านเรียกว่า "อุเบกขา"
พูดกันแบบชาวบ้านง่ายๆ ก็คือ อาการที่เราเห็นมันจน "ชิน"
เห็นบ่อยๆ จนรู้สึก "เบื่อ" กันไปข้างนึงนั่นล่ะ
เราก็จะเกิดการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งนั้นได้
ว่ามันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง จะไปอะไรกับมันมากมาย

และที่จริงสิ่งต่างๆ เหล่านั้น มันก็ไม่ได้หายไปไหนด้วยนะ
หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าปฏิบัติธรรมปุ๊บแล้วต้องหมดกิเลสปั๊บ
ต้องไม่โลภ ต้องไม่โกรธ ต้องไม่หลง
ต้องนิ่งๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทั้งวันทั้งคืน
เอ่อ.. อันนี้เข้าใจผิดอย่างแรงเลยนะ (_ _\\)












จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรม
เราไม่ได้พยายามไปทำลาย หรือบังคับไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นนะ
เพียงแต่เฝ้าสังเกตและเท่าทันอาการของมันไปตามตรงต่างหาก

เครื่องมือที่ท่านให้เราใช้ก็คือ "สติ" เพื่อระลึกรู้ให้ทันมันนั่นเอง
แรกๆ ก็ต้องจงใจตั้งใจก่อน จะรู้สึกฝืนนิดๆ ติดขัดหน่อยๆ
รู้ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง (( ส่วนใหญ่จะไม่ทัน ><~ ))
ก็เป็นเรื่องธรรมดามากๆ และเป็นกันแทบทุกคนแหละ

เหมือนตอนฝึกหัดขับรถใหม่ๆ เราก็เก้ๆ กังๆ
ไหนจะต้องเข้าเกียร์ ถอนคลัช เหยียบคันเร่ง แตะเบรค
ต้องคอยบังคับรถให้ตรงทาง ดูสัญญาณไฟ รถรอบข้าง ฯลฯ

เมื่อเราฝึกรู้ตัวรู้ใจตัวเองบ่อยๆ นานวันเข้าก็จะเกิดความชำนาญ
สติก็จะไวขึ้น เป็นธรรมชาติมากขึ้น จงใจน้อยลงเรื่อยๆ เป็นลำดับ
ใครที่ขับรถเป็นคงพอนึกออก ตอนขับคล่องแล้วแทบจะเป็นอัตโนมัติเลย
ไม่เห็นจะต้องตั้งใจมากๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว จริงรึเปล่า?



ถ้าฝึกมาถึงตรงนี้ได้
หลายๆ คนก็จะได้เห็นอะไรในอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เห็นว่าจริงๆ แล้ว กิเลสต่างๆ เหล่านั้น "มันไม่ใช่เรา" ซักหน่อยนี่นา
เป็นแค่กลุ่มก้อนอาการอะไรบางอย่าง

.. ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วสุดท้ายก็หายไป ..
(( แต่แล้วเดี๋ยวก็มาใหม่ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้ ทั้งวัน ทั้งคืน )) ^^"



ความทุกข์ ความสุข
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความดีใจ ความเสียใจ ความเฉยๆ
เมื่อมีเหตุครบ มันก็ต้องเกิด และยังคงมีอยู่ของมันอย่างนั้น

แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ
เราจะค่อยๆ รู้สึกได้เองว่า มันห่างออกไป
และเราก็เอามันมาใส่ใจเราน้อยลง ๆๆ และก็น้อยลง
เหมือนต่างคนต่างอยู่ ราวกับไม่ใช่เรื่องของเรา
..ก็เท่านั้นเอง..












ดังนั้น การปฏิบัติธรรม ในมุมมองใหม่
จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่ลึกลับซับซ้อนอีกต่อไป
และมันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของแม่ๆ ป้าๆ ที่เข้าวัด
หรือพวกอกหักรักคุด ตกงาน เพื่อนไม่คบ ฯลฯ

"แต่เป็นเรื่องของคนธรรมดาๆ คนนึง
ที่ขวนขวายจะเรียนรู้วิธีรับมือกับความไม่แน่นอนของโลก
ด้วยความเข้าใจ และอาการยอมรับอย่างมีสติรู้เท่าทัน"



คนที่เข้าใจวิธีที่เป็นแก่นแท้ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนั้น
ย่อมสามารถอยู่ร่วมกันกับคนอื่นได้อย่างกลมกลืนและเป็นธรรมชาติ
ไม่ทำตัวแปลกแยก หรือปลีกวิเวกหนีหายจากสังคมไปไหน
สามารถดำเนินชีวิตปกติธรรมดาไปได้อย่างสมดุล
เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่อยู่ในคลองตามธรรมชาติ
ไม่ใช่ดอกบัวที่เค้าแยกไปไว้ในแจกันดอกไม้

ท้ายที่สุด..
เราไม่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อเอาไว้โอ้อวดใครต่อใคร
แต่เป็นไปเพื่อการทำลายความเห็นผิดๆ ออกไปต่างหาก
อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาพูดไว้เสมอๆ ว่า..



"ปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่ได้อะไรหรอก แต่มันเบาดี" :)


-aookie-
14 มีนา 56

ที่มา: http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10200119845892693
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

May 24, 2013, 07:32:15 pm #526 Last Edit: May 24, 2013, 07:40:10 pm by พิมพ์พลอย
[IMG]http://i626.photobucket.com/albums/tt349/aookie/null_zps218105da.jpg[/img]

อธิษฐานด้วยจิตน้อม...บูชา
วันวิสาขฯเวียนมา......อีกครั้ง
ระลึกถึงพระกรุณา......องค์เอก บุรุษ
เคารพนบธรรมตั้ง......เทิดไว้พระศาสนาฯ


-พิมพ์พลอย-
วิสาขบูชา '๕๖
_/\_
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

ขอเกิดนี้เพื่อได้.........เพียรดู
สักแต่เพียงให้รู้..........จิตใกล้
หวังสร้างนิสัยสู่..........ทางเอก มรรคา 
ธรรมคู่รู้ธรรมหนึ่งได้...จบพร้อมจบจริงฯ




สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะ  ::33::

- พิมพ์พลอย -
7 มิถุนายน 2556
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

[IMG]http://i626.photobucket.com/albums/tt349/aookie/null_zpsb0afeb38.jpg[/img][/URL]

เกิดตายมากี่ครั้ง.......กี่หน
เวียนว่ายวัฏฏ์วุ่นวน...อย่างนั้น
กระทั่งเกิดเป็นคน.....ช่างยาก ยิ่งแล
จุดหนึ่งซึ่งแสนสั้น.....อย่าทิ้งภาวนาฯ


- พิมพ์พลอย -
๒๒ มิถุนายน ๕๖
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

[IMG]http://i626.photobucket.com/albums/tt349/aookie/null_zps1b1f53b6.jpg[/img]

protection*

หากอยู่ในที่แจ้ง......เห็นชัด
ศัตรูย่อมจักเข้าขัด...มุ่งร้าย
วางทีท่ามุมสงัด......นิ่งอยู่ ดูเชิง
ยังอาจพอปัดป้าย....ปิดป้องภัยตนฯ


๒๓ มิถุนายน ๕๖
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

[IMG]http://i626.photobucket.com/albums/tt349/aookie/null_zps65e369c6.jpg[/img]

• กลอนห่อโคลงฯ •

.
.

โคลงฉันท์กลอนกาพย์แก้วแพร้วเพริศกวี
เอกนามนี้เลิศประดิษฐ์ถ้อยโวหาร
ท่านประเสริฐประศาสน์วิชาชาญ
ต่อสืบสานร้อยเรียบล้วนสดุดี


.
.

โคลงฉันท์กลอนกาพย์แก้ว....แพร้วเพริศ
กวีเอกนามนี้เลิศ....ประดิษฐ์ถ้อย
โวหารท่านประเสริฐ....ประศาสน์ วิชา
ชาญต่อสืบสานร้อย....เรียบล้วนสดุดีฯ

.
.

"ร่วมรำลึกวันสุนทรภู่"
๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๖
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

August 22, 2013, 04:23:52 am #531 Last Edit: September 07, 2013, 08:37:55 pm by พิมพ์พลอย
[IMG]http://i626.photobucket.com/albums/tt349/aookie/null_zps0307c4cb.jpg[/img]

ผูกพันดุจมิตรแท้.. ยาวนาน
คลาดเคลื่อนเหมือนหมอกม่าน.. ปิดไว้
จวบจนกุศลการณ์.. ครบเหตุ
ธรรมจึ่งจัดสรรให้.. เพื่อนแท้ร่วมทางฯ


-พิมพ์พลอย-
๑๙ สิงหา '๕๖
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

[IMG]http://i626.photobucket.com/albums/tt349/aookie/null_zps2874c86f.jpg[/img]

เฝ้าริษยารอบข้าง........ทุกคน
คอยเทียบชิงเด่นจน.....นอกหน้า
สนองแรงแห่งตัวตน.....อัสมิ มานะ
ทุ่มสุดแรงไขว่คว้า.......วุ่นว้าหลงทางฯ

พิมพ์พลอย
20.09.13
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

หากเปรียบกับมนุษย์ผู้.....สุดประเสริฐ
ท่านยกย่องว่าเลิศ.........ระดับชั้น
เสียดายหากไม่เปิด........ใจรับ ธรรมา
มิอาจต่างจากพวกนั้น......จบสิ้นทางไทฯ


22.09.13
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย


สามสิบเอ็ดครบถ้วน...บริบูรณ์
ขอสุขน้องเพิ่มพูน...ทุกด้าน
โดยเฉพาะรักเกื้อกูล...ขวัญคู่
อบอุ่นสว่างรอบบ้าน...กรุ่นใกล้ด้วยธรรม


HBD bro. "Nat Wimuttisuk"

p'Aook ( ;
17.10.13
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

October 18, 2013, 03:14:23 pm #535 Last Edit: December 15, 2013, 01:06:18 am by พิมพ์พลอย

(him)
ได้แต่แอบมองไกลไกล อยู่เสมอ
รู้จักเธอ แต่เธอ ไม่รู้จักฉัน
แต่ไม่ว่าที่ใด เวลาใด ในแต่ละวัน
พบว่าเธอฉัน อยู่ใกล้กันตลอดมา

จนวันหนึ่ง ณ เวลาที่เหมาะสม
หลังจากผ่านทุกข์ระทม แทบอ่อนล้า
ก็มาถึง ซึ่งจุดตัดแห่งกาลเวลา
ธรรมจัดสรรส่งเธอมา น่าอัศจรรย์

•--•--•--•--•--•--•--•--•--•

(her)
เหมือนข้างบนดลบันดาล ให้ได้พบ
คนที่ครบ ใช่ทุกอย่าง กว่าเคยฝัน
ศีลศรัทธา สมปัญญา จาคะครัน
เสมอกัน ทั้งโลก-ธรรม กว่าใครใคร

ไม่ต้องย่อ ต้องหย่อน หรือผ่อนลง
ไม่ต้องโน้ม ต้องคง ดำรงไว้
ไม่ต้องยืด ต้องยื่น หรือฝืนใจ
ทุกอย่างล้วนเข้ากันได้ แบบพอดี

•--•--•--•--•--•--•--•--•--•

(us)
ทุกทุกก้าวที่เราสอง ร่วมเดินทาง
จะเป็นไปเพื่อความสว่าง นับจากนี้
หากใครล้ม พร้อมประคองด้วยถ้อยที
เราจะมี แต่การให้ซึ่งกันและกัน

จะไม่ยอมให้คนหนึ่ง ต้องเสียใจ
จะไม่ไปไหน จนกว่าจะเดินไปถึงจุดนั้น
ที่ที่เราสอง ไม่ต้องเจ็บปวดเมื่อแยกจากกัน
ที่ที่นิรันดร์ ตรงนั้น.. ตลอดไป (:


7 sep 13
http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

พิมพ์พลอย

ความทุกข์จากความรัก

หลวงตาม้า สอนว่าความทุกข์จากความรักนั้นมันเป็นพลังงาน ที่เสียเวลายาวนาน บางคนยึดมั่นในรัก ติดอยู่ในภพภูมิ เสียเวลายาวนาน กว่าจะได้เจอกัน และมารอกันอีก หากอีกคนแยกไปก็เกิดการฆ่ากันอีก เกิดเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันอีก หรือเรียกว่าทั้งรักทั้งแค้น ผูกกันไปอีก ยาวนาน นี่คือทุกข์ของความรักที่เจือปน ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง การอธิษฐานแก้ไขในกรรมประเภทนี้ หลวงตา ให้ใช้ กรรมฐาน การฝึกจิต สมาธิ ฝึกให้ขึ้นพรหม (อันมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) จะแก้ไขในเรื่องทุกข์ของความรักนี้ได้ เพราะว่าพรหมไม่มีเพศ จึงหมดเรื่องพวกนี้โดยปริยาย หลวงตากล่าวเน้นว่า "ความรักคือความปรารถนาดีกับทุกๆคน ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร นี่แหละความรักที่แท้จริง"

หลวงตาม้า อธิบายว่า เจ้ากรรมนายเวรโดยตรงต่อเราในชาติปัจจุบัน ก็คือ คนที่รักเราหรือคนที่เรารักมากที่สุดนั่นแหละ ที่งี้เราไม่รู้หรอกว่าเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ที่ไหน หากอยู่เทวดาหรือพรหม เขาก็ไม่เอาเรื่องเราหรอก ถ้าติดอยู่ข้างล่างก็เหมือนติดคุก เขาก็เอาเรื่องเราไม่ได้ ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ที่โลกมนุษย์เรานั้นแหละ หากเราทำกรรมฐานอยู่ แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวรเราเสมอ หากเจ้ากรรมนายเวรเราอยู่ในภูมิที่ลำบาก ถามว่าจะทำอันตรายเราใหม หลวงตาตอบว่าไม่ทำหรอก เพราะว่าเราเป็นตัวบุญอย่างดี ดังนั้นเจ้ากรรมนายเวรที่อันตรายที่สุดคืออยู่ในมนุษย์เรานั้นแหละ (ญาติ ลูก เมีย เรา รวมถึงเพื่อนรักเรา พี่น้อง เจ้านาย หรือคนที่เราไม่ชอบ นี่คือ เจ้ากรรมนายเวรเราในโลกมนุษย์ทั้งนั้น)

การเวียนว่ายตายเกิด ในช่วงที่เกิดเป็นมนุษย์ จะมารับเศษกรรมในอดีต และมาทำเพิ่มใหม่ต่อไปทั้งดีและไม่ดี พอตายไปก็จะไปรับกรรมตอนที่ทำอยู่ในมนุษย์ ทั้งดีและไม่ดี แต่ถ้าเราฝึกจิต โดยการทำกรรมฐานไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้แล้วว่าเราจะเกิดหรือไม่เกิด หรือสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี หลวงตาท่านสอนว่า "พวกเราตายแน่ๆ และเกิดแน่ๆ"

จะเดิน.. นั่ง.. กิน.. แม้แต่ตอนนอน ภาวนาไว้ อย่าได้ขาด..
ปฏิบัติ ทุกลมหายใจเข้าออก ทรงอารมณ์ดีดี
อย่าให้กระแสไม่ดี เข้ามากระทบ...

หากเรานึกในสิ่งดีๆ จิตจะเพิ่มแต่ในสิ่งที่ดีๆ
อย่าจุดประกายในสิ่งที่ไม่ดี เพราะจิตจะเพิ่มในสิ่งที่ไม่ดี
อย่ามัวนึกแต่กรรมเก่าในอดีต มันทำให้เราเศร้าหมอง

การคิดถึงในสิ่งที่ไม่ดี นอกจากกรรมจะเข้าเราเร็ว
ตามสิ่งที่เราคิดแล้ว ยังทำให้เราตายผ่อนส่ง
คือตายเร็วกว่ากำหนดอีกด้วย

ทุกวันนี้เราฝึกไว้เพื่อเตรียมตัวตาย
ถ้าไม่ฝึกไว้ เวลาตาย มันจะเคว้งไม่รู้จะไปไหน
การฝึกสมาธิ ไม่เกี่ยวกับการนั่งนานหรือไม่นาน
แต่เกี่ยวกับว่า ทำแล้วอารมณ์สบายๆใหม

อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...
ไม่มีใครไม่มีทุกข์ เกิดมาก็ทุกข์
เพียงแต่ว่าจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย

ผู้ปฎิบัติธรรม ให้ดูที่จิต อารมณ์ดี จิตสบาย
ไปไหนก็มีแต่คนรัก ทำอะไรก็มีแต่คนช่วยเหลือ
ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่เกินกำลัง

การบันทึกบุญอยู่ที่อารมณ์ หากอารมณ์ดี
ก็จะบันทึกบุญได้ตลอด หากอารมณ์ไม่ดี
จะบันทึกบุญไม่ได้เลย...

อย่าจมอยู่กับความเศร้าหมอง...

ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

. . .

เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

http://twitter.com/pitaploy
http://www.facebook.com/pitaploy
http://www.facebook.com/piimplloy

I'm just the one who has various dreams, trying to learn how to live this miracle life worthily and find the way to end the cycle of birth and death.

Go Up