Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - ทานตะวัน

1
มันง่ายพอๆกับที่มันยากเลยนะคะ เราฝึกไปเรื่อยๆ ล้มลุกคลุกคลาน แต่ถ้าเดินไปเรื่อยๆ สักวันก็ต้องถึงฝั่งจนได้แหละ

หนังสือ "วิถีแห่งความรู้แจ้ง" มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป บางครั้งที่บ้านอารีย์หรือวัดหลวงพ่อก็มีแจกค่ะ(ถ้ายังไม่หมดนะคะ) หลวงพ่อเขียนขึ้นมาสำหรับคนที่อยู่ห่างไกลไม่มีโอกาสได้สอบถามได้ค้นคว้าหาคำตอบจากหนังสือเองตั้งแต่สมัยท่านยังเป็นฆราวาส ให้ประโยชน์มากๆเลยค่ะ ไว้เป็นคู่มือได้เลย

คุณAngelเป็นคนขยันและมุ่งมั่นดีจังเลย อนุโมทนานะคะ
2
ขอบคุณค่ะ คุณAngel

เมื่อก่อนเราก็เคยฝึก "กรรมฐาน" อย่างคุณangelนี่แหละค่ะ แบบเดียวกันเป๊ะเลย :)
ฝึกมาสิบปีได้ แต่ช่วงหลังๆรู้สึกว่าการ "กำหนด" เป็นการจำกัดสภาวะจิตมากเกินไป เพราะจริงๆแล้วจิตสามารถรับรู้ได้ไวกว่าการกำหนดเสียอีกหลายเท่า

ก็สับสน รู้สึกว่ามันมาถึงทางตัน และน่าจะมีทางอื่นที่ไม่จำกัดธรรมชาติของจิตอยู่บ้างนะ

เผอิญได้มากฝึกรู้กายรู้ใจลงเป็นปัจจุบันด้วยจิตที่เป็นกลาง รู้อย่างธรรมชาติ สักแต่ว่ารู้ ไม่แทรกแซง ดีก็ได้ไม่ดีก็ได้ เลยรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้เห็นความจริงเกี่ยวกับกายใจได้มากๆเลย พอเห็นบ่อยครั้งๆเข้าจิตมันก็เริ่มเข้าใจการทำงานของใจว่าใจมันทำงานของมันเอง มีเหตุให้มันเกิด มันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ วิธีนี้ช่วยให้หลายๆครั้งเราไม่ต้องไปยึดติด และการกระทำที่ไม่ดีหลายๆอย่างก็ค่อยๆซาลงไปของมันเอง

แล้วก็มาทราบในภายหลังว่าที่ก่อนหน้านี้ทำเป็นสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนา
ที่ผ่านมาเราเอาแต่บังคับ เอาแต่จดจ่อ เพ่งดู เพราะอย่างนี้จึงไม่เห็นความจริงเกี่ยวกับกายใจ(ที่โดยธรรมชาติแล้วทำงานเอง) ได้แต่บังคับใจบังคับกายให้ดี ไม่ให้ทำชั่ว แต่พอช่วงเลิกบังคับก็เหมือนหินทับหญ้าที่ถูกเอาออก กิเลสพุ่งได้ง่ายๆเพราะโดนกดไว้นาน

ถ้าสังเกตให้ดีๆวิทยากรในสำนักเหล่านี้บางท่านมีอัตตาไม่น้อยทีเดียวค่ะ(อันนี้พูดตามเนื้อผ้า ไม่ได้มีเจตนาจาบจ้วงครูบาอาจารย์นะคะ) และนั่นก็เป็นเหตุให้เรากังขามากๆว่าคนปฏิบัติภาวนาทำไมยิ่งอัตตาสูงขึ้น

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราศึกษากายใจเพื่อให้ท้ายที่สุดเห็นว่าตัวเราก็ไม่มี ใจเราก็ไม่ใช่ของเรา สุดท้ายเราก็จะสลัดทุกสิ่งไม่ยึดเหนี่ยวไว้อีก นั่นคือการพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง

เราเรียนธรรมะเพื่อที่จะ "ไม่เอา" ไม่ให้ติดดี และขณะเดียวกันก็ไม่ให้ทำชั่ว

ในพระไตรปิฎกนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่อจิตมีโทสะ ให้รู้ว่าจิตมีโทสะ (อันนี้ยกตัวอย่างอันเดียวนะคะ) ท่านสอนว่าให้ "รู้"
แต่ของเดิมที่เราฝึกกันมาเขาบอกให้ "กำหนดลงไปว่าโกรธหนอๆๆ ดูมันไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาย" เท่ากับเป็นการบังคับทางอ้อมให้ความโกรธดับ บางทีมันดับก็ไม่ใช่เพราะเราบังคับมันได้ แต่เป็นเพราะเราดับเหตุ คือ เราไปจดจ่อกับสิ่งอื่นแทน ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ทำให้เราโกรธมันเลยดับไป แล้วมันก็หายโกรธได้เหมือนกัน

สิ่งที่ต้องทำคือรู้ใจที่โกรธ แต่ไม่ให้มันออกไปทางกายทางวาจา ถ้ามันไม่หายโกรธ เราไม่ชอบที่มันไม่หาย ก็ให้รู้ทันลงไปอีกว่าใจไม่ชอบที่มันไม่หาย อยากหายก็ให้รู้ลงไปอีกว่าอยากหาย

อยากให้คุณ Angel ลองฟังซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ดูค่ะ www.wimutti.net/pramote

เชื่อว่าจะได้พบคำตอบหลายๆอย่างจากซีดี

และอ่านหนังสือ "วิถีแห่งความรู้แจ้ง ๑-๒" ประกอบด้วยก็จะดีค่ะ

ต้องลองทำเองแล้วจะเข้าใจค่ะ พระพุทธเจ้าเองท่านก็ท้าให้พิสูจน์เหมือนกัน ท่านว่าใครจะว่ายังไง(ไม่ว่าจะหนังสือบอก หรือครูบอก คนที่เรารักบอก)ก็อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์

แล้วจะพบว่าทำเองแล้วรู้เอง อย่างที่บทสวดอิติปิโสท่อนที่สองบอกเป๊ะเลยค่ะ
_/\_ 

3
ขอบคุณมากค่ะเพื่อนๆ _/\_

เดินจงกรมธรรมชาติเคยลองพยายามมาเป็นปี(และก็ยังลองอยู่) แต่ไม่เคยรอดเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะจิตอ่อนกำลังหรือเปล่า (ซึ่งก็พยายามแก้ไขด้วยการทำในรูปแบบไว้ - แต่ก็ยังไม่แข็ง) เดินแบบรู้ตัวได้ไม่เกินสิบวิ แล้วก็โดนโมหะซัดซะน่วม :(

คุณแม่จัสมินคะ เราว่าคุณแม่เก่งกว่าเยอะค่ะเรื่องเลี้ยงน้องโดยไม่ระเบิดโทสะเนี่ย ::01::

เรื่องนั่งสมาธินั้นหลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าถ้าเหนื่อยๆมานั่งมันก็หลับเป็นธรรมดา ถ้าคุณแม่หลับ แนะนำให้เดินดีกว่าค่ะ ให้กายขยับแล้วมันจะรู้สึกตัวได้ง่าย จะกระฉับกระเฉงขึ้นหนอย (ไม่งั้นอย่างหลายๆคนนั่งสมาธิแล้วก็ติดซึมบ้าง ติดง่วงบ้าง ติดฟุ้งบ้าง) คุณแม่ลองทำวันละสิบนาทีดูก่อนสักสองสามวันก็ได้ค่ะ

รูปแบบไหนก็ทำให้เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา อยู่ที่วิธีการดู เลือกให้เหมาะกับจริตและสถานการณ์น่าจะเอื้อประโยชน์ได้ดีกว่านะคะ ::33::
4
 :) ขอบคุณทุกท่านค่ะ _/\_

ช่วงนี้ก็เดินจงกรมได้ราวๆครั้งละอย่างต่ำ 15-20 นาที พยายามจะเดินเวลาอยู่ข้างนอกให้เป็นการเดินจงกรมด้วย แต่ก็เสียท่าให้กับการหลงไปคิดโดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ :'(

ส่วนเรื่องสัตว์เลี้ยง ช่วงนี้ไม่โดนเราตีเลยค่ะ คุณJittaให้คำแนะนำไว้ดีมากๆเลยค่ะที่ว่าเขาเกิดมาในอัตภาพที่ไม่เอื้อต่อความคิดอ่านเหมือนคนก็เลยรู้สึกสงสารเขาขึ้นมา(มากๆ) เลยเลิกสนิทเลยค่ะ โกรธก็รู้ทันใจ ยั้งมือทัน ::01:: พอเราไม่ขี้โมโห ไม่ระเบิดโทสะก็รู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กน่ารักขึ้นอีกเยอะ (แปลกดีค่ะ เปลี่ยนตัวเอง โลกก็เปลี่ยน) แล้วก็รู้สึกว่าเขาว่าง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน (อาจจะเพราะเราไม่รู้สึกปี๊ดแตกเหมือนเมื่อก่อนล่ะมั้งคะ)
ขอบคุณคุณJittaมากๆค่ะ

สามีโดนบ่นน้อยลง เราเองก็รู้ตัวบ่อยขึ้นเวลาบ่น บางทีมันก็ยังอยากจะบ่น แต่ก็จะเป็นการรู้ตัวตามมาบ่อยๆ น่าจะลดนิสัยนี้ได้ทีละหน่อยๆค่ะ

เรื่องอื่นๆก็ยังเรื่อยๆมาเรียงๆอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ทอดทิ้ง
ตอนนี้เขียนความตั้งใจปะกำแพงไว้ให้เห็นบ่อยๆจะได้ไม่ลืมค่ะ 8)



6
คุณแม่จัสมินยังอยู่ไหมคะ ตามมาฟังเรื่องราวค่ะ

เรื่องนั่งสมาธิ ไม่ต้องหลับตาก็ได้นะคะ เพราะเราเอาแค่ดูลมหายใจไปสบายๆ
แต่ถ้ายังหลับอยู่ดีเพราะเหนื่อยหรือง่วงก็ไปนอนได้
บางทีจะมีแบบง่วงเพราะกิเลสมันพาให้เราไม่สนใจการปฏิบัติก็มี ถ้ารู้ทันจะหายค่ะ

หลายๆคนนั่งสมาธิไม่ได้เลยค่ะ อ.สุรวัฒน์ท่านก็นั่งไม่ได้เหมือนกัน ท่านก็ต้องหาวิธีอื่นที่เหมาะสมกับตัวเองในการฝึกดูกายใจ

แต่ละคนจะมีวิธีต่างกันไปค่ะ บางคนกระดิกนิ้วเอา บางคนท่องพุทโธ

สำหรับดิฉันเองใช้วิธีเดินจงกรมเอา เพราะว่านั่งสมาธิแล้วฟุ้งมาก ไม่ก็หลับ ท่องพุทโธก็รู้สึกเป็นส่วนเกิน สวดมนต์ก็ยังฟุ้ง เลยต้องใช้วิธีเคลื่อนไหวร่างกายเอาด้วยการเดินจงกรมเอาน่ะค่ะ

คุณแม่จัสมินลองดูนะคะว่าตัวเองเหมาะกับแบบไหน

แล้วมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ เพื่อนๆรอติดตามกันเยอะเลย
7
ดีใจด้วยค่ะ น่าชื่นชมมากๆเลย

เมื่อก่อนเราก็เลิกยากเหมือนกันค่ะ แต่ตั้งใจไว้ว่าจะรักษาศีลห้าแล้วก็เลยเลิก แต่เคยกลับไปดื่มครั้งนึง เสียใจที่ผิดสัจจะและก็ไม่กลับไปดื่มอีกเลย

หลายๆครั้งเราสังเกตว่าเวลาที่อยากกินอยากดื่มอะไรเนี่ย ถ้าเราไม่เห็นมัน หรือถ้าเราไม่ไปนึกถึงมัน มันก็ไม่อยากขึ้นมา

ถ้าสังเกตให้ดีๆอีกจะเห็นว่าจริงๆแล้วมันเป็นที่ "ใจ" ที่เกิดความอยากค่ะ แต่จริงๆกายเราไมได้อยากหรอก ::115::

ลองดูกายใจตามไปด้วยนะคะ น่าจะช่วยเสริมได้อีกแรงนึง ขอให้ทำสำเร็จสมความมุ่งหวังค่ะ
8
คุณwanrawee เท่มากเลยค่ะ
เห็นแล้วอยากทำให้ได้อย่างนี้บ้าง ;)

แล้วมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ
อนุโมทนาและขอบคุณที่มาเป็นแรงบันดาลใจให้ค่ะ ::33::
9
อ่านแล้วรู้สึกปลาบปลื้มยินดีอนุโมทนาไปด้วยค่ะ  _/\_

ขอบคุณที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้หลายๆคนเลย (อย่างน้อยก็สำหรับเรา :D) หลายๆคำพูดที่คุณกล่าวมาเกิดจากการได้เห็นจริงจากกายใจตัวเอง ซึ่งน้อยคนนักที่จะเห็น และได้รู้ ได้เข้าใจตัวเอง

ยินดีด้วย และขอให้หัดเดินใหม่ไปสบายๆทุกๆวันนะคะ  ::33::
10
ขอบคุณเพื่อนๆผู้แสนดีทุกท่านค่ะ _/\_ ทั้งคุณพิม คุณsitnn คุณAngel คุณpanapien คุณwanrawee อุตส่าห์มาช่วยติดตามคนท่าดีทีเหลวอย่างนี้ ::115:: (เฮ้อ อยากเอาปี๊บคลุมหัว) ขอโทษด้วยนะคะ ทำได้ไม่ดีนัก :(

อาจจะคาดหวังในตัวเองมากไปหน่อย บางวันทำบางข้อไม่ได้แล้วมันรู้สึกว่า "เราเสียสัจจะแล้ว เราไม่เอาไหน" มันเลยเสียกำลังใจ จะมาโพสต์ว่าทำสำเร็จแล้วก็ไม่ได้อีก เลยหนีไปเลย :'( (แล้วกัน) อายค่ะ แต่ก็ดีที่เพื่อนๆตามตัวกัน และให้กำลังใจ เลยรู้สึกว่าจะตกม้าตาย เราก็ใช่ว่าจะต้องตกม้าตายตลอดนี่นา ตราบใดที่ยังไม่ท้อมันก็ยังมีหนทาง แต่ถ้าท้อแล้วยอมแพ้เลยเราก็จะแพ้ไปตลอดจริงๆ

เพราะฉะนั้นต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านมากเลยค่ะ ทำให้ได้คิดมากๆเลยว่าการติเตียนไม่ให้ประโยชน์ได้เท่ากำลังใจ และอีกหน่อยถ้าใครท้อหรือทำอะไรไม่สำเร็จ เราจะให้กำลังใจด้วยเมตตาเหมือนที่เพื่อนๆให้เราอย่างนี้ (โอ๊ะ ก้อนอะไรจุกคอ...)

ตอนอ่านถึง"อย่าท้อนะคะ" ของคุณ panapien เหมือนได้ยินเสียงประกอบด้วยเลย ;) เหมือนเข้าไปอยู่ในหัวใจ รู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาให้ฮึดเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

เอาล่ะค่ะ ขอส่งการบ้านและปรับเปลี่ยนบางส่วนให้เหมาะสมนะคะ
๑. เดินจงกรมวันละสองช.ม.เป็นอย่างน้อย
- จากประสบการณ์พบว่าจะตั้งใจมากไปหน่อย(แบบว่าสองช.ม.นี้ฉันต้องดีให้ได้ - ซึ่งแค่ตั้งต้นมันก็ผิดแล้ว) แล้วก็คาดหวังผล เลยกลายเป็นว่าเพ่งโดยไม่รู้ตัวบ้าง หรือหลงสร้างสภาวะเป็นกลางขึ้นมาบ้าง
- แต่พอเดินสักแต่ว่าเดิน เดินเอาตามฉันทะที่มี ตามกาลเทศะแล้ว รู้สึกว่าเดินสบายๆเป็นธรรมชาติกว่า ไม่กดข่ม ไม่ค่อยมีตัวนิ่งๆอยู่ เพราะฉะนั้นขอเปลี่ยนเป็นว่าจะเดินจงกรมทุกวันแล้วกันนะคะ วันละอย่างน้อยที่สุดก็ ๕ นาที ถ้าเดินได้มากกว่านั้นก็อนุโมทนากับตัวเอง(ได้หรือเปล่า?)

ถามเพื่อนๆที่ทำในรูปแบบนิดนึงนะคะ วันไหนไปเที่ยวตจว. หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยนี่ มีลืมทำในรูปแบบกันบ้างหรือเปล่าคะ เราจะตกม้าตายก็ตรงนี้ทุกที

๒. ไม่บ่นสามี
- สัปดาห์ก่อนบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยค่ะ เพราะกำลังอากาศร้อน กำลังคิดหาทาง กำลังสับสน บ่นเสร็จก็มานั่งเสียใจ ทำไมเราปล่อยให้ความ"อยากบ่น"มันครอบงำ เรากำลังคิดค่ะเนี่ยว่าเราน่าจะพกเทปกาวอย่างดีสักม้วน ไว้ปิดปากตัวเองซะบ้าง
- แต่การมาตั้งสัจจะ มันทำให้เราฉุกคิดนะคะ อย่างน้อยเวลาที่เราบ่นเรื่องเล็กๆ มันจะได้คิดแล้วบ่นน้อยลงกว่าเดิม บางทีก็อดทน ไม่บ่นเลย ถ้าไม่ได้ตั้งสัจจะเลยมันคงบ่นยาว บ่นนาน บ่นบ่อยๆ
- ก็ยังตั้งใจว่าจะไม่บ่นสามีค่ะ เอาเท่าที่ทำได้ ทีละเล็กทีละน้อย สะสมไป รู้ตัวให้ทันได้บ่อยๆ อนุสัยมันคงอ่อนกำลังลงบ้าง :D

๓. ไม่ตีไอ้ตัวเล็กที่ชอบขับถ่ายนอกกรงเอย ซนจนข้าวของเละเทะเอย
- อดไม่ได้ค่ะ แม้จะเข้าใจว่ามันเป็นสัตว์นิสัยอย่างนี้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันต้องตีให้หลาบจำ (ไอ้ตัวเล็กของเราไม่ใช่หมานะคะ) เขาแนะนำกันว่าให้เลี้ยงในกรงเพราะสัตว์ประเภทนี้ซนมากๆ (เช่น คุ้ยตู้หนังสือเรา โดยเข้าไปผลักโยนเอาหนังสือออกมาทั้งชั้น พอเสร็จแล้วก็ไปก่อความวุ่นวายอย่างอื่นต่อไป ห้ามก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง - ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นขนาดนี้ไม่งั้นคงไม่เลี้ยงแต่แรก) แต่เราก็สงสารน่ะค่ะ ใครๆก็อยากมีอิสระ แต่พอปล่อยออกมาทีไร คนปวดหัวคือเรา คนที่จะแผดเสียงดุคือเรา ต้องมาคอยห้ามโน่นนี่ วิ่งไล่กันเป็นพัลวัน ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเลิกดุเลิกตีมันได้ยังไง
- พยายามคิดว่ามันเป็นของมันอย่างนี้ เราเองนี่แหละที่ยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้
- แต่ต่อให้ยอมรับ แต่เราก็ยอมรับไม่ได้ที่มันพังข้าวของให้เราต้องมานั่งจัดนั่งวางใหม่อยู่ดี
- ทำไงดีน้า...

๔. จะพยายามไม่เผลอเอ่ยถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดี แม้จะแค่อยากระบายก็ตาม
- ข้อนี้ได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วแต่ความคุกรุ่น
- ถ้าเป็นช่วงที่ความหดหู่ หรือโทสะไม่ครอบงำใจเราทั้งหมดแล้วเราจะหยุดทันนะคะ แต่ถ้าเรารู้ตัวตอนมันแผ่ซ่านไปแล้วนี่ "หลุด" สนิท
- แต่ก็จะพยายามเอาใหม่ค่ะ เอาแค่ว่าจะไม่เอ่ยถึงคนอื่นในทางไม่ดี แต่ถ้าเป็นการระบายเพราะอัดอั้นตั้นใจ อันนี้อาจยอมละเว้นให้ได้ แล้วถ้าอันแรก(ไม่เอ่ยถึงคนอื่นในทางไม่ดี)แกร่งขึ้น เดี๋ยวอันหลัง(ไม่เอ่ยในทางไม่ดี แม้จะระบาย)คงทำได้ขึ้นมาบ้างเป็นลำดับ

๕. จะพยายามไม่จมกับความหดหู่ ด้วยการหันมาทำสิ่งที่ทำให้ใจสว่าง
- ถ้ารู้ตัวว่าหดหู่อยู่ หลายๆครั้งทำได้นะคะ  :)
- จะทำต่อไปค่ะ อันนี้ไม่ยอมเลิกแน่ๆ อยากให้อนุสัยส่วนนี้เบาบางลง และเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่มองโลกในแง่ดีค่ะ

๖. จะอ่านหนังสือเตรียมสอบภาษาให้ได้ทุกวัน(ยอมเว้นให้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์) - ปีนี้ฉันต้องสอบผ่านให้ได้!
- โอ๊ย ตายแล้ว ข้อนี้ลืมไปเลย ??? พอดีมีเรื่องวุ่นๆเรื่องอื่นๆ เรื่องนี้เลยกลายเป็น last priority ไปเสียงั้น
- เอาใหม่ค่ะ จะอ่านหนังสือให้ได้ทุกวันค่ะ! เสาร์อาทิตย์จะพกศัพท์ไว้ท่องถ้าไม่มีหนังสือนะคะ

ข้อเจ็ดที่ว่าจะไม่ย่อหย่อนนั้น...
- ไม่ได้เจตนาจะย่อหย่อน แต่ว่ามันพลาดพลั้งไป (แก้ตัว)
- และสุดท้ายพอกำลังใจเหี่ยว เลยย่อหย่อนจนได้... (ยอมรับ)
- ข้อนี้ขอตัดทิ้งนะคะ เอาเป็นว่าถ้าย่อหย่อนก็มานะให้มากขึ้น ถ้ามานะมากไปเกินพอดีก็ให้รู้ว่าตึงเกินไป
- ตั้งใจว่าจะเอากลางๆ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวเองน่ะค่ะ ::02:: เลยได้รู้เลยว่า แม้ตัวเองนั้นก็ไม่อาจ "ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า" ได้โดยง่าย กิเลสนอนเนื่องในสันดานมาช้านาน ปราบมันลงไม่ได้ง่ายๆในคราวเดียว แต่เรารู้ทันมัน หลอกล่อมันทีละนิด เดี๋ยวมันคงค่อยๆเดินตามทิศทางที่เราตั้งใจไว้ได้บ้างแหละ (ปราบตัวเองยังไม่ได้ จะไปปราบสัตว์เลี้ยง - ดูซิ)

แล้วมาติดตามดูกันนะคะ ว่ายัยทานตะวันจะตกม้าตายอีกกี่รอบ ::115::

แต่จะลุกใหม่อย่างที่คุณwanraweeบอกค่ะ ฮิๆ ::33::
-----------------------------------------------------------------------------

ป.ล. ขอบพระคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ ไม่งั้นตกม้าตายแล้วอาจตายสนิทเลยจริงๆ แต่พอรู้ว่ามีกองเชียร์ช่วยกันดันเลยลุกขึ้นมาฮึดสู้ใหม่ได้ค่ะ ;) เป็นพระคุณจริงๆ
11
หนีเร้นไปซ่อนกายเพราะตกม้าตายค่ะ  :'(

ยอมไม่ได้ เดี๋ยวเอาใหม่! :D
12
สวัสดีค่ะ

ผ่านไปสองวันปรากฎผลดังนี้
๑. เดินจงกรมวันละสองช.ม.เป็นอย่างน้อย

ทำสำเร็จค่ะ! แต่ว่าเดินแล้วมึนๆ จิตไม่ตั้งมั่น รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น รู้ว่าคงทำอะไรผิด หรือเผลอไปเพ่ง แต่ไม่หายค่ะ เดินมาสองวัน รู้สึกจะตื่นอยู่แค่ไม่ถึงนาที

แต่ก็ช่วยให้ระหว่างวันสนใจตามดูตามรู้มากขึ้นนะคะ

๒. ไม่บ่นสามี (ศีลข้อสี่)

วันแรก แอบบ่นแบบรู้ตัวหลังปากอ้าไปได้หนึ่งวิ เห็นปากขยับ เห็นคำพูดออกมาจากปาก ใจคิด "จนได้" พอใจไปเห็นอะไรพวกนี้เข้าก็รู้สึกว่าเหมือนโทสะจะไม่ครอบอยู่ในคำพูดคำบ่นของเราน่ะค่ะ

ว่าแต่วันนี้ (ที่ไม่ได้อยู่ในแพลน) บ่นจนได้ค่ะ โกรธมาก สามีคงเผลอหยิบเอาข้าวกลางวันเราติดมือไปที่ทำงาน อุตส่าห์แบ่งไว้สองกล่องแล้ว คงนึกว่ากล่องนึงข้าว กล่องนึงกับมั้ง โกร๊ธโกรธ อุตส่าห์ตั้งใจทำ (เมตตาเลยแปรเป็นโทสะซะงั้น) เมสเสจไป สามีทำงานอยู่เลยไม่ได้ดู เลยโทรไปเลย "คุณเอาข้าวกลางวันชั้นไปไหน" "ขอโทษนะ ผมหยิบติดมาด้วย" ตอนโทร ในใจก็บอกนะว่า "ไหนว่าจะไม่บ่นไง" แต่อีกใจไม่ยอมฟัง ทนไม่ไหวแล้ว มันอยากบ่นอ้ะ อัดอั้นตั้นใจ

แย่จัง จริงๆใจมันอัดอั้นตั้นใจ เรามีหน้าที่ดูใจ ไม่ใช่ดูคนที่ทำให้เราโกรธนี่ แล้วโกรธไปได้อะไรขึ้นมาหว่า แก้ปัญหาอะไรก็ไม่ได้ แถมหลุดออกมาทางกายวาจาแล้วเอาคืนไม่ได้ด้วยนะ

ว่าแล้วก็ตั้งใจจะขอโทษสามี และจะเก็บคราวนี้เป็นบทเรียนไว้สอนตัวเอง ไม่ให้ทำพลาด และจะดูกายดูใจให้มากกว่านี้ค่ะ

หนูผิดไปแล้วค่าา ขอโทษนะ ฮือๆๆๆๆๆ

๓. ไม่ตีไอ้ตัวเล็กที่ชอบขับถ่ายนอกกรงเอย ซนจนข้าวของเละเทะเอย

วันแรก มือง้าง แต่นึกได้ มือเลยค่อยๆเคลื่อนช้าลงมาวางอยู่บนตัวมัน แล้วก็ปล่อยไป

วันที่สอง มันโดนเตะเบาๆแทน

วันที่สาม(ที่จริงไม่เกี่ยว) มันโดนเอ็ดเฉยๆ

๔. จะพยายามไม่เผลอเอ่ยถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดี แม้จะแค่อยากระบายก็ตาม

เหมือนวันแรกจะหลุดไปนะคะ โกรธเพื่อนคนนึงอยู่ ตอนนั้น พอหลุดไปก็นึกได้ แล้วบอกตัวเองว่าจะไม่ทำอีก

๕. จะพยายามไม่จมกับความหดหู่ ด้วยการหันมาทำสิ่งที่ทำให้ใจสว่าง

ทำได้ค่ะ ไปเดินจงกรมบ้าง ไปเดินเล่นสวนสาธารณะบ้าง ซื้อกับข้าวบ้าง

๖. จะอ่านหนังสือเตรียมสอบภาษาให้ได้ทุกวัน(ยอมเว้นให้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์)

ส่วนใหญ่มาอ่านก่อนนอนทุกทีเพราะว่ากิจกรรมอย่างอื่น และความจำเป็นเร่งด่วนส่วนอื่นๆทำให้หมดเวลา แต่พบว่าการตั้งสัจจะแล้วทำเนี่ย ทำให้ตั้งใจอ่านมากกว่าเวลาที่ไม่ได้ตั้งสัจจะเยอะเลย แม้จะเวลาสั้นๆแต่ก็มุมานะ ส่วนนอกนั้น อ่านไปใจลอยไปบ้าง ทำอย่างอื่นเล่นไปด้วยบ้าง ไม่ค่อยได้อะไร

และสุดท้ายนี้...
๗. จะไม่ย่อหย่อน หรือหาข้ออ้างให้ตัวเองในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น
ข้อนี้ทำได้นะ ไม่ได้เจตนาย่อหย่อน หรือหาข้ออ้างไม่ทำ แต่บางทีอารมณ์มันกินเรา เราเลยพลาด ต่อไปนี้จะดูกายใจให้มากขึ้น

เอาล่ะ สรุปบทเรียนแล้ว ขอตั้งสัจจะใหม่ดังนี้
"จะทำเจ็ดข้อที่ว่านั้นให้ได้ ยกเว้นเดินจงกรมลดเหลือวันละช.ม.เป็นอย่างน้อย (เพราะเวลาไม่ค่อยอำนวย) และจะพยายามตามดูตามรู้กายใจระหว่างวันให้มากเท่าที่จะนึกได้"

เอาตั้งแต่วินาทีนี้ถึงวันศุกร์ค่ะ

อ้า(เสียงแบบกินโค้กซ่าๆ)! ได้ทำตามสัจจะ(แม้จะยังไม่ครบ)แล้วรู้สึกดีเหลือเกิน อย่างน้อยมันก็ทำให้ใจฮึกเหิมมุ่งมั่นนะ

ขอบพระคุณโครงการดีๆนี้ รวมทั้งพี่ตุลย์ที่เป็นผู้ให้ทางสว่าง และทุกท่านที่มาให้กำลังใจค่ะ  _/\_

อนุโมทนาทุกๆท่านนะคะ  ::33::
13
รู้กายใจให้บ่อยๆระหว่างวันช่วยได้เยอะเลยค่ะ ทำตามรูปแบบก็ช่วยได้มาก พอสติเกิดบ่อยขึ้น เราก็รู้ตัวว่าเผลอไปคิดแล้วบ้าง จิตตกไปแล้วบ้าง ยินดียินร้ายก็รู้ รู้ไปเรื่อยอย่างไม่เข้าไปมีส่วนได้เสียกับมัน

รู้กายใจได้บ่อยๆ รู้เผลอได้บ่อยๆ มันจะตื่นและเบิกบานเองโดยอัตโนมัติค่ะ

ทำเหตุให้ถูก เดี๋ยวได้ผลตรงตามนั้นเองค่ะ อนุโมทนา ขอให้ทำสำเร็จนะคะ  _/\_ ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ไปฝากไว้ที่กระทู้ด้วยค่ะ ::33::
14
ขอบคุณมากค่ะ _/\_ ดีใจจัง รู้สึกได้กำลังใจเต็มเปี่ยมเลย  ::33::
15
เคยได้ยินค่ะคุณแม่ ว่าถ้าเวลาจะรักษาศีลให้มั่นคงเนี่ย จะเจอบททดสอบศีลข้อที่เรารักษายากที่สุด แต่ถ้าผ่านไปได้เราจะเข้มแข็งขึ้น

คุณแม่ตั้งคำถามได้ดีนะคะว่าตัวเองเจอบททดสอบอยู่หรือว่าที่ผ่านมาเราไม่เห็นเอง อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าอันไหน (ให้รู้ว่าสงสัยไปก่อนนะคะ) ที่แน่ๆน่าจะเป็นอันหลังค่ะ คงเพราะพอเราเริ่มเห็นกิเลสบ่อย เราก็รู้สึกว่าทำไมเราแย่ขนาดนี้ มันเป็นเพราะเราไม่ชอบกิเลสที่เราเห็นน่ะค่ะ

จริงๆกิเลสก็ไม่ใช่เรา แต่ใจเราเข้าไปจับมัน ยึดมันไว้ เลยนึกว่ามันเป็นของเรา มันเป็นเรา เราก็ไม่ชอบ อยากไล่มันไป มันไม่ไป เราก็ทุกข์

ก็รู้ว่าไม่ชอบก็พอค่ะ ใจมันจะดีหรือไม่ดีก็รู้ไป ชอบหรือไม่ชอบก็รู้ไป ส่วนทางกายทางวาจาอย่าให้ออกมาได้ อันนี้เยี่ยมมากค่ะคุณแม่ ขอชม (เพราะคนเขียนยังทำไม่ค่อยได้)

ส่วนตัวก็อยากมีลูกเหมือนกัน(แต่จริงๆยังไงก็ได้นะ) เพียงแต่รู้ว่าตัวเองไม่มีความอดทนพอ คงจะอาละวาดรุนแรงเวลาลูกทำอะไรไม่ถูกใจเรา แล้วมันทำร้ายเขา แล้วเราต้องเสียใจภายหลัง ไม่อยากให้ลูกต้องเจออะไรแบบนั้น เลยคิดว่าจะฝึกฝนตัวเองให้ดีซะก่อนนะค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้หรือเปล่า

ยังไงขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่นะคะ อ่านแล้วรู้สึกตื้นตันจัง คุณแม่เก่งจังค่ะ