เริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังได้ไม่นาน แต่ตั้งใจจะมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา
อนุโมทนา สาธุ _/|\_
ขอให้สำเร็จตามที่ต้ังใจนะค๊ะ อนุโมทนาด้วย _/\_
:) เป็นกำลังใจให้นะคะ อนุโมทนาบุญกับความตั้งใจดี ๆ ค่ะ
ขออนุโมทนาและจะเป็นกำลังใจให้นะคะ
ว่าแต่มีสติตลอดเวลาคงเหนื่อยแย่เนอะ ^^"
เอาเป็น มีสติให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ละกันนะคะ
ขอให้โชคดีค่ะ
ขอให้ระลึกรู้ได้บ่อย ๆ นะคะ
::33:: ::33:: ::33::
ขอเอาใจช่วย ด้วยคน นะครับ :)
ผ่านมา ๑ สัปดาห์แล้ว ใน ๒ วันแรกตั้งใจเป็นพิเศษ แต่ผ่านไปหลายวันระลึกได้บ้างล้มเหลวบ้างแต่จะไม่ย่อท้อค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจค่ะ _/\_
ขออนุโมทนากับคุณ pojanee ด้วยค่ะ ขอให้สำเร็จตามความตั้งใจนะคะ ถ้าเผลอบ้างก็ไม่เป็นไร ขอให้ระลึกรู้ตัว มีสติบ่อยกว่าเผลอเป็นใช้ได้ค่ะ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติอยู่เช่นกัน ตามรู้กายรู้ใจตัวเองไปเรื่อยๆ อย่าเครียดเกินไปนะคะ ::02::
อนุโมทนาในความตั้งใจดีนะครับ
แต่อยากแบ่งปันประสบการณ์ว่า เรายังไม่ใช่พระอรหันต์ เรารู้สึกตัวตลอดเวลาไม่ได้หรอกครับ
วิปัสสนา ที่เราทำกัน วิธีภาวนามาจากมหาสติปัฏฐานสูตร คือการตามรู้ ในฐานทั้ง 4 กาย เวทนา จิต ธรรม
ผมอนุมานว่า คุณน่าจะฝึกรู้สึกตัว ด้วยการตามรู้กาย และจิต เป็นสำคัญ
ที่จริง หลวงพ่อปราโมทย์เคยแนะแนวทางว่า รู้กาย พอจะตามรู้เป็นปัจจุบันได้ ถ้าสติว่องไวพอ
แต่จุดอ่อน คือเวลาพยายามรู้เป็นปัจจุบัน เรามักจะ "เพ่ง" เอา มากกว่าจะตามรู้
อันนี้ยืนยันได้ เพราะผมเคยเป็นอยู่หลายปี
กรรมฐานที่เหมาะกับคนเมืองส่วนมาก จึงเป็นการดูจิต
เพราะจิตพวกเรามีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ค่อยอยู่นิ่ง
เดี๋ยวก็ไปรู้โน่น รู้นี่ เดี๋ยวก็คิด นึก ปรุงแต่ง
แต่หลักสำคัญที่ต้องบอก คือ เรา "ตามรู้" นะครับ
แปลว่า จิตมันต้องเคลื่อนไปทำงานก่อน หรือพูดภาษาชาวบ้านคือ ต้องหลงไปก่อน แล้วจึงค่อยรู้
ฉะนั้น การพยายามรู้สึกตัวตลอดเวลา จึงทำไม่ได้ด้วยประการฉะนี้
เพราะเรายังมีจิตที่ยังมีธรรมชาติ คิด นึก ปรุงแต่ง หลงเผลอตลอดเวลา
ที่เราทำได้ ก็เพียงแค่ เผลอแล้ว รู้สึก เผลอแล้วรู้สึก
ก็คือ ตามไปรู้ว่าเผลอนั่นแหละ
ฉะนั้น วางใจใหม่ ให้สบายกว่าเดิม
มีฉันทะ หรือความยินดี พอใจ เพียงแค่ได้คอย รู้สึกตัว บ่อยๆ ก็พอ
ไม่งั้นเวลาเผลอไปทีนึง เราจะเครียดมาก เพราะคิดว่าปฏิบัติไม่ดี
ไม่ใช่นะครับ แบบนี้ ทำไปสักพัก จะกลายเป็นชาวเกษตรกรสวนท้อ
::01::
เพิ่มไว้เป็นเกร็ด อันนี้หลวงพ่อปราโมทย์เคยเทศน์ไว้ ผมจำท่านมา
จิตตานุปัสสนา มาจากคำว่า จิตต = จิต + คำว่า "อนุ" แปลว่า "ที่ตามมาทีหลัง" + ปัสสนา = ทัศนา การดู การเห็น
อนุ นี่เรามักจะเข้าใจว่าแปลว่า "น้อยๆ" หรือ "เล็ก" เพราะตีความจากคำว่าเมียน้อย หรืออนุภรรยา
จริงๆอนุภรรยา ต้องแปลว่า ภรรยา ที่ตามมาทีหลัง
หรืออนุชา แปลว่า ชายที่ตามมาทีหลัง ก็เป็นน้องชาย นั่นเอง
อีกอย่างหนึ่ง ในการภาวนา รู้ว่าจิตเผลอบ่อยๆได้วันเดียว
ดีกว่าภาวนาทั้งเดือน แต่จิตไม่เผลอเลย
เพราะถ้าไม่เผลอแปลว่าสติปัญญาไม่เกิดเลยนะครับ
ที่บอกอย่างนั้น เพราะจิตมีธรรมชาติ หลงเผลอ คิดนึก ปรุงแต่งฟุ้งซ่าน
เราจะเรียนธรรมะ เราก็ต้องเรียนจากความจริง ของกาย ของจิต
รู้ธรรม คือรู้ธรรมชาติ เห็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติแท้ๆได้มากพอเมื่อไหร่ ก็ตื่นได้เมื่อนั้น
ภาวนาเพื่อให้ "รู้" นะครับ ไม่ใช่ ภาวนาให้ "นิ่ง" _/\_
อนุโมทนาครับพี่ aston _/\_ ::01::
อนุโมทนากับความตั้งใจดีค่ะ
ดินสอสีม่วง